รักๆ เลิกๆ

ring

เรื่อง : กรรณิการ์ กิจติเวชกุล

 

 

เป็นธรรมดามากในยุคปัจจุบันที่คนจะเดี๋ยวรักกันหวานหยาดเยิ้มแล้วก็เลิกรากันแบบสุดแสบสันต์ เพียงแต่ยุคสมัยนี้มันอาจจะรุนแรง ซับซ้อนและรวดเร็วมากกว่า (ผู้คนก็ขอรู้ขอเห็นมากกว่าด้วย) ไม่ต้องขนาดกูรูด้านความรัก พี่อ้อย-พี่ฉอด ก็เห็นปรากฏการณ์ทางสังคมนี้ได้

เอาแค่ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา คนไทยหย่าร้างกันมากขึ้นถึง 27 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2555 มีผู้จดทะเบียนสมรสใหม่ทั่วประเทศจำนวน 314,338 คู่ และมีคู่สมรสเก่ามาจดทะเบียนหย่า 111,377 คู่ เฉลี่ยจดทะเบียนแต่งกันวันละ 876 คู่ จดทะเบียนหย่ากันวันละ 275 คู่เลยทีเดียว

ที่จีน ตัวเลขปี 2013 มีคู่รักจดทะเบียน13.5 ล้านคู่ คู่รักที่ไปกันไม่รอดต้องหย่าร้าง ประมาณ 3.5 ล้านคู่ โดย 2.5 ล้านคู่ หรือ 80 เปอร์เซ็นต์ จดทะเบียนหย่ากับฝ่ายกิจการพลเรือน ส่วน 685,000 คู่ ต้องพึ่งศาลเพื่อฟ้องหย่า

ส่วนสาเหตุที่น่าสนใจ ต้องไปดูที่อังกฤษ ปี 2011 เมื่อ Divorce-Online พบว่าคู่แต่งงานที่หย่าร้างในอังกฤษ  มีคู่แต่งงานที่ระบุสาเหตุของการหย่าร้างมาจาก Facebook ถึง 33 เปอร์เซ็นต์ เทียบกับ 20 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2008 และอีกหลายประเทศที่ชี้ว่า โปรแกรมแชทและบรรดาโซเชียลเน็ตเวิร์คเป็นสาเหตุของการหย่าร้าง

เอ…แล้วอาการคันในปีที่ 7 มีส่วนหรือไม่อย่างไร ช่วงนั้นเคมีอาจมีการเปลี่ยนแปลงก็ได้นะ ปรากฏว่า เมื่อปี 2008 สำนักงานสถิติแห่งชาติสหรัฐเคยไปทำการสำรวจพบว่า ค่ามีเดียนของการอยู่ร่วมกันก่อนหย่าร้างในคู่สมรสครั้งแรก อยู่ที่ 7.9 ปี แต่ไม่มีการสำรวจในคนที่แต่งงานครั้ง 2 และ 3 ถ้ามีหญิงอ้วนฯจะรีบนำมารายงาน

พูดถึงไอ้เรื่องเลิกร้างรักขมเนี่ย ไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบของชาวปากซีฟู้ดเท่านั้น นักวิจัย-นักจิตวิทยาก็ให้ความสนใจมาก เคยมีงานที่ทำการเปรียบเทียบน้ำพริกถ้วยเก่า เดมี มัวร์ กับ มิรา คูนิส น้ำพริกถ้วยใหม่ของ แอชตัน คุทเชอร์ ว่าทั้งสองมีส่วนคล้ายกันมาก เป็นดาราชื่อดัง สวย รวย ผมยาวตรง สีผมและสีผิวยังใกล้เคียงกัน แต่ที่แตกต่างคือ ‘อายุ’

น้ำพริกถ้วยใหม่ยี่ห้อ มิรา คูนิส สวยใสวัยกิ๊กกว่า ดังนั้นเรื่องอายุที่ต่างกันในทางที่ผู้หญิงอายุน้อยกว่าน่าจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ความสัมพันธ์ยืนยาวขึ้น สอดคล้องกับงานวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ว่า ผู้ชายวัยเลย 50 จะชอบผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า เพราะทำให้ความสัมพันธ์ยืนยงมากขึ้น

งานวิจัยอีกกลุ่มหนึ่งก็ตามไปดู พวกบรรดาคู่รักคนดังที่รักกันหวานหยดย้อย พบว่า ยิ่งรักกันดูดดื่ม หวานสุดติ่งเท่าไร ก็จะเลิกร้างเร็วเท่านั้น ผู้อาวุโสหลายท่านที่อาบน้ำร้อนหลายถังอาจจะบอกว่า เป็นสัจธรรมมากเรื่องนี้ ไม่ต้องมีงานวิจัยก็ได้

ความน่าสนใจของงานวิจัยอยู่ที่พัฒนาการของอารมณ์ เมื่อความโรแมนติกคลายลงสักนิดหนึ่ง อีกฝ่ายจะเริ่มมีปฏิกิริยาทันทีว่าอีกฝ่ายเอาใจใส่กันน้อยลง ตอบสนองน้อยลง และถ้าความพยายามในการฟื้นฟูความโรแมนติกนั้นล้มเหลว ทีนี้ล่ะ ฝ่ายที่รู้สึกมากจะเริ่มจับผิดและหาข้อเสียของคู่สวีททันที และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของการเลิกรา
แต่ต้องบอกว่า ใครไม่เคยถูกบอกเลิก ไม่รู้หรอกว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน เอ…แต่ถ้าใครไม่เคยถูกทิ้ง แต่เคยถูกถีบเข้าที่ท้อง หรือถูกกระแทกอย่างรุนแรงจนสลบ ก็พอรับรู้ได้ว่าเจ็บปวดขนาดไหน

hand

นักประสาทวิทยาพบว่า สมองรับรู้และสั่งการความเจ็บปวดนี้เป็นจุดเดียวกัน แม้จะเป็นเรื่องของความรู้สึก แต่ก็เจ็บปวดเท่าร่างกายโดนกระทำอย่างรุนแรง ฉะนั้นจึงยากมากที่จะฟื้นคืนความรู้สึกปกติในเวลาแค่ไม่กี่เดือน โดยเฉพาะกับผู้หญิง

ฉะนั้นอย่าไปโทษตัวเองเลยที่ทำไมช้ำระทมเป็นซีรีส์ชีช้ำ 200 ตอนจบ อารมณ์ความรู้สึกและร่างกายต้องการการเยียวยา แต่มันก็มีวิธีจัดการอยู่บ้างเหมือนกัน นั่นคือ การเขียนบันทึกถึงข้อดีของการหย่าร้าง

คณะจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยมอนเมาธ์ (Monmouth University) ในสหรัฐ จับอาสาสมัครที่เพิ่งเลิกร้างใหม่ๆ สดๆ ไม่เกิน 3 เดือน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกให้เขียนข้อเสียของการเลิกรา กลุ่มที่ 2 ให้เขียนข้อดี ส่วนกลุ่มที่ 3 ให้เขียนเรื่องเหนือจริงที่ไม่เกี่ยวกับสัมพันธ์รักเลย โดยใช้เวลาอย่างน้อย 15-30 นาทีในแต่ละวัน โดยไม่มีการเมนท์จากทีมวิจัยใดๆ ทั้งสิ้น

ข้อค้นพบที่สำคัญคือ กลุ่มคนที่เขียนข้อดี มีความรู้สึกดีขึ้น อาทิ รู้สึกได้รับการปลดปล่อย มีพลัง มีความพอใจ มีความมั่นใจ ขอบคุณ ฯลฯ และไม่มีอารมณ์เศร้าๆ เพิ่มเติม และยิ่งถ้าความสัมพันธ์ที่ผ่านมาไม่ได้ทำให้ผู้เขียนมีความเติบโตขึ้นทางภายใน การฟื้นตัวและเยียวยาความรู้สึกก็จะยิ่งเร็วขึ้น โดยการเขียนเพื่อการเยียวยานั้นได้ผลกับทุกเพศ ส่วนอีก 2 กลุ่มนั้นพบว่า จะดีขึ้นก็ต่อเมื่อผู้เขียนเป็นคนบอกเลิกเท่านั้น

คณะวิจัยจึงสรุปว่า การจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกหลังการถูกบอกเลิกรา ก็ควรมองมันในมุมใหม่ ยิ่งถ้ารักนั้นไม่ได้สร้าง self-improvement ยิ่งเยียวยาตัวเองได้ง่ายขึ้น
ใครที่อกหักช้ำรักเจียนตายก็ลองเขียนบันทึกดูนะคะ ไม่แน่งานเขียนที่ว่าอาจถูกเผยแพร่ ถูกตีพิมพ์ ได้ทั้งชื่อเสียงได้ทั้งเงินทองกลับมา กลายเป็นกูรูด้านความรักคนใหม่ก็ได้นะ ใครจะไปรู้ ที่แน่ๆ หญิงอ้วนฯจะรีบไปลงมือเขียนก่อนเลย

สุดท้าย ของแถมจากการอ่านงานวิจัยด้านความรักความสัมพันธ์เพื่อการเยียวยาตั้งใหญ่ สายตาปราดไปเจอ ‘Sex and Back Pain’ อิอิ เผื่อใครจะฟื้นตัวเร็วไปเริ่มมีรักใหม่ในวัยดึก

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยวอเทอร์ลู (University of Waterloo) ที่แคนาดาบอกว่า ท่า spoon ที่ใครเคยคิดว่าดีนั้น ไม่ดีต่อหลังช่วงล่างอย่างมาก missionary ก็ไม่ดีนะคะ doggy น่าจะดีที่สุด

ส่วนงานวิจัยท่าไหนเหมาะสำหรับคุณผู้หญิงที่เข้าวัยเริ่มมีอาการปวดหลัง รอสักนิด เพราะจะต้องวิจัยหลากหลายท่านิดนึง โดยเฉพาะซับเซ็ตของท่า ‘พี่ไม่ต้องน้องทำเอง’ นะจ๊ะ

 

อ้างอิงข้อมูลจาก:
www.apa.org
scienceofrelationships.com
The Economist / economist.com
เดลินิวส์ / dailynews.co.th
ASTV ผู้จัดการ / manager.co.th
gotoknow.org
blognone.com

(หมายเหตุ : ตีพิมพ์ครั้งแรกในคอลัมน์ itchy world นิตยสาร Way ฉบับที่ 81, มกราคม 2558)

Author

WAY

Author

กองบรรณาธิการ
ทีมงานหลากวัยหลายรุ่น แต่ร่วมโต๊ะความคิด แลกเปลี่ยนบทสนทนา แชร์ความคิด นวดให้แน่น คนให้เข้ม เขย่าให้ตกผลึก ผลิตเนื้อหาออกมาในนามกองบรรณาธิการ WAY

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า