GTO ตัวพ่อ

 

เรื่อง : วีรพงษ์ สุนทรฉัตราวัฒน์ / อภิรดา มีเดช / ดาริกา บำรุงโชค

ภาพ : อนุช ยนตมุติ

 

ความเคลื่อนไหวล่าสุดในวัย 77 ปี

สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เป็นหัวขบวนปัญญาชนจำนวนหนึ่ง ออกมายืนขวางการลงนามข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และ สมาคมพุทธศาสตร์สากล ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระมหามังคลาจารย์

เหตุผลหนึ่งของการออกมายืนขวางถนน ตั้งอยู่บนความเคลือบแคลงต่อพฤติกรรมเชิงพุทธพาณิชย์ และสาระของการศึกษาไทย

เรื่องที่ว่าใครถูก-ใครผิดนั้น คงต้องพึ่งพาวิจารณญาณส่วนบุคคล แต่อย่างน้อย สิ่งเหล่านี้น่าจะแสดงให้เห็นถึงท่าทีไม่เห็นคล้อยกับสังคมกระแสหลักที่เป็นอยู่วันนี้

สิ่งหนึ่งที่สุลักษณ์ ศิวรักษ์ มองเห็นว่าเป็นสาเหตุสำคัญของอาการป่วยไข้ของสังคมไทยทั้งระบบมาเป็นเวลากว่า 100 ปี นั่นคือ ‘ระบบการศึกษา’ จึงเป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มแนวทางการศึกษาทางเลือก พยายามรื้อความหมายของคำว่า ‘ความมั่นคงในชีวิต’ เสียใหม่ ในนาม ‘เสมสิกขาลัย’

way มีโอกาสพูดคุยกับสุลักษณ์ ศิวลักษณ์ ในวันที่อุณหภูมิไม่มีทีท่าว่าจะลดต่ำ ไม่ว่าจะยืนอยู่จุดไหน ราชประสงค์ ถนนพระอาทิตย์ อนุสาวรีย์ชัยฯ หน้ารามฯ หลังจุฬาฯ ข้างธรรมศาสตร์ หรือหน้าวัดพระธรรมกาย

ร้อน – ทั้งในความหมายตรงตัวและอุปมาอุปไมย

ถ้าเราจะมองว่าวิกฤติที่เกิดขึ้นในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งมีรากจากวิกฤติทางปัญญาของสังคม มันมีประเด็นไหนบ้างที่เราควรนั่งลงทบทวนกันดีๆ เพราะมีทั้งคนที่มองว่าชาวบ้านโง่ ขณะเดียวกันก็มีคนมองอีกแบบว่า ชนชั้นกลางนั่นแหละที่ทั้งโง่และมักง่าย

คำว่า ‘โง่’ นี่นะครับ ทางศาสนาพุทธใช้คำว่า ‘อวิชชา’ แปลว่า เห็นไม่ถูกต้อง เห็นไม่ถูกต้องเพราะเห็นไม่ชัด คนชั้นกลางมองว่าคนชั้นล่างโง่ก็ถูกต้องตามสายตาของคนชั้นกลางที่มองลงไป เพราะคนชั้นกลางไม่รู้จักคนชั้นล่างเลย ที่เราใช้คำว่าโง่ ลึกๆ แล้วเรานั่นเองที่โง่ ถ้าคนชั้นกลางเริ่มรู้จักคนชั้นล่าง คนชั้นกลางจะเริ่มเปลี่ยนทัศนะ

ผมเคยเอ่ยเสมอเลยว่า คุณอานันท์ ปันยารชุน เขาเป็นคนชั้นกลางที่ค่อนข้างเป็นคนชั้นสูงด้วยซ้ำไป แต่พอเขาเริ่มรู้จักคนข้างล่าง เขาเปลี่ยนทัศนะเลย ผมเป็นผู้หนึ่งที่พาเขาไปพบกับสมัชชาคนจน เขาเริ่มนับถือมด (วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์) คุณอานันท์เปลี่ยนไปเยอะครับ เริ่มเห็นคนข้างล่างว่าเขามีอะไรวิเศษ มดก็เป็นคนชั้นกลาง เป็นลูกหลานคนจีน แต่เขาไปอยู่กับคนชั้นล่างมาตลอด

โง่หรือไม่โง่ มันอยู่ที่ว่าเราเห็นอะไรชัดเจนหรือเปล่า เห็นชัดมากก็โง่น้อย เห็นไม่ชัดก็โง่มาก และที่โง่ส่วนใหญ่คือไม่รู้จักตัวเอง พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าคนเราทุกคนมีอคติครอบงำ อคติ แปลว่า ทางที่ผิด อคติ มี 4 อย่างครับ คือ หนึ่ง เกิดจากความรัก ถ้าความรักครอบงำ อะไรๆ ก็ไม่มีผิด สอง ความกลัว ความกลัวครอบงำไม่กล้าติอะไรเลย สาม ความเกลียด พวกเสื้อเหลืองก็เห็นเสื้อแดงเลวหมด มันจึงเกลียดกัน อีกอันก็คือ สี่ ความหลง ทั้งสี่อันเป็นพื้นฐานของเราเลย

ดังนั้น การศึกษาของศาสนาพุทธต้องการจะแก้ไขปัญหาพื้นฐานเหล่านี้ แต่การศึกษาที่เรารับจากฝรั่งมันไม่ได้แก้ปัญหานี้ ไม่ได้คลายความโง่ เราอาจจะฉลาดบางเรื่อง เราอาจจะฉลาดเรื่องรัฐศาสตร์ เรื่องเศรษฐศาสตร์ เราอาจจะฉลาดเรื่องแพทยศาสตร์ แต่เป็นความฉลาดแบบกระจายเป็นเสี่ยงๆ ไม่ได้เป็นความฉลาดที่เป็นองค์รวม เราเดินตามการศึกษาแบบฝรั่งมาร้อยกว่าปี ขจัดความโง่ไม่ได้เลย กลับยิ่งมีความโง่มากขึ้นทุกที

 

ในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ คนชั้นกลางซึ่งเป็นผลผลิตจากระบบการศึกษาควรจะเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหาหรือไกล่เกลี่ยปัญหามิใช่หรือ แต่ในสภาพความเป็นจริง คนชั้นกลางกลับเต้นไปกับความเกลียดชังที่ถูกปลุกขึ้น

ก็นี่ไงครับ เขาไม่รู้จักตัวเขาเอง บางคนคิดว่าเขาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย เขาเก่ง บางคนคิดว่าตนมีข้อมูลแม่นยำกว่าคนอื่น ทั้งหมดกลับเป็นตัวอัตตาทั้งนั้น เพราะฉะนั้น คุณจะแก้ปัญหาอะไรได้ คุณต้องรู้จักตนเองก่อน

การจะแก้อะไรได้นั้น ทางศาสนาพุทธสอนให้ต้องรู้จักความอ่อนน้อมถ่อมตน นี่สำคัญมากนะครับ ความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นเรื่องสำคัญมาก ในขณะที่ฝรั่งเขาสอนให้เรายิ่งใหญ่ เพราะปรัชญาสมัยใหม่ของฝรั่ง เริ่มที่ เรอเน เดส์การ์ตส์ (René Descartes) คือ Cogito ergo sum หรือ I think, therefore I am เพราะฉันคิดได้ ถึงเป็นตัวฉัน ฝรั่งเน้นตัวฉันทั้งนั้นเลย เน้นที่ตัวกูทั้งนั้นเลย แล้วความคิดพวกนี้มันรู้ไว้เพื่อเอาชนะผู้อื่น พวกฝรั่งถึงเน้นรบราฆ่าฟันคนอื่นมาตลอดเลยครับ แล้วเราก็เอาอย่างฝรั่งอยู่ในตอนนี้

ในขณะที่การศึกษาแบบพุทธเน้นเรื่องความอ่อนน้อมถ่อมตน ให้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างโยงใยเกื้อกูลกัน เป็นหลักพื้นฐานที่เรียกว่าอิทัปปัจจยตา เช่น ต้นไม้มีคุณแก่เรา บ้านผมจึงไม่ตัดต้นไม้เลย เพื่อนบ้านตัดต้นไม้กันหมด เพราะจะเอาเงินจะพัฒนาครับ ผมไม่ใช่นักพัฒนาเหมือนพวกเขา ผมอยู่กับต้นไม้ ตอนเช้าๆ มีนกมีกระรอก ผมอยู่กับนกอยู่กับกระรอก ไม่อยู่กับสตางค์ และผมก็ไม่เคยอ้าขาผวาปีกไปแก้ปัญหาให้ใคร เพราะรู้ว่าตัวเองไม่มีความสามารถเท่าไหร่

 

อาจารย์ช่วยพูดถึงคำพูดที่ว่า ‘ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้รักประชาชน’ ให้คนรุ่นหลังอย่างพวกเราฟังได้ไหมครับ ว่าประโยคนี้มีที่มาจากอะไร และความหมายของมันเคลื่อนไปได้อย่างไร

อันนี้แหละสำคัญมากนะคุณ เพราะอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ นี่นะครับ เป็นคนซึ่งเข้าใจคนยากคนจน ที่จริงท่านได้รับการศึกษาแบบใหม่ เรียนสวนกุหลาบ เรียนเนติบัณฑิต แต่ท่านเรียนเร็ว พอท่านเข้าเรียนเนติฯ แต่อายุไม่ถึงเกณฑ์ ท่านก็เลยไปอยู่กับชาวนาที่อยุธยา ท่านไปเห็นว่าชาวนาถูกเอาเปรียบอย่างไรบ้าง ท่านรู้สึกเจ็บร้อนแทนชาวนา นี่แหละมันแก้ความโง่ตรงนี้

ส่วนอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ได้ทุนรัฐบาลไปเรียนเมืองนอก ท่านมาถูกจับที่ชัยนาทตอนกระโดดร่ม (สมัยอาจารย์ป๋วยเคลื่อนไหวในขบวนการเสรีไทย) ยายแก่คนหนึ่งถูกใส่กุญแจมือกุญแจตีนเลยนะฮะ ยายแก่ร้องไห้บอกว่า เห็นเอ็งแล้วคิดถึงลูกข้า ลูกข้าถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร เป็นตายอย่างไรก็ไม่รู้ อาจารย์ป๋วยร้องไห้เพราะเห็นใจคนแก่ นี่แหละจุดที่ทำให้เห็นใจคนจนก็ตรงนี้

กลับมาที่อาจารย์ปรีดี เพราะท่านเห็นใจคนยากคนจน ท่านไปเรียนเมืองนอกมา ถ้าท่านเรียนตามการศึกษาแบบฝรั่งนะ คุณคิดดูสิว่ากลับมาไม่เท่าไหร่ก็ได้เป็นขุนหลวงแล้ว…รองอำมาตย์เอก อยู่ต่อไปเป็นเจ้าพระยาแน่ๆ ดอกเตอร์คนแรกจากฝรั่งเศส แต่ท่านบอกว่ามันไปไม่รอดครับ บ้านเมืองมันต้องเปลี่ยน ต้องเปลี่ยนอะไร ที่ท่านมองเห็นในเวลานั้นนะครับ เมืองไทยเปลี่ยนครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 5 คือการเอาการศึกษาแบบฝรั่งมาใช้ ทีแรกเรียกโรงสกูลเปลี่ยนมาเป็นโรงสอนแล้วจึงมาเป็นโรงเรียน แล้วก็มีโรงเรียนราชการพลเรือน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงเรียนนายร้อยทหารบก

สิ่งที่พวกเสื้อแดงเรียกอำมาตย์นี่แหละรัชกาลที่ 5 สร้างขึ้นมา ในระยะแรกมันอาจจะจำเป็น เพราะถ้าเราไม่มี ฝรั่งจะว่าเราปกครองบ้านเมืองไม่ได้ แล้วจะมาเอาเราเป็นเมืองขึ้น ทีนี้ระบบอำมาตย์ตอนนั้นมันใหญ่โตเกินอำนาจ และมันแตกเป็นเสี่ยงๆ ฉิบหายหมดทุกแห่งครับ ทั้งทบวง กระทรวง กรม มหาวิทยาลัยต่างๆ พังหมดเลยนะ แต่คนไม่เห็นประเด็นนี้กันครับ

อาจารย์ปรีดีท่านมองเห็นในปี พ.ศ. 2475 ว่า ระบบนี้มันต้องมีการคานอำนาจ ฉะนั้น เมื่อท่านเปลี่ยนการปกครอง คือให้พระมหากษัตริย์เป็นเพียงประมุข ไม่มีอำนาจเหนือคนข้างล่าง ท่านใช้คำว่าราษฎร สมัยนี้เรียกว่าไพร่ อำนาจสูงสุดเป็นของราษฎรชาวสยามเลย

ที่สำคัญคือวันที่ 27 มิถุนายน ปี พ.ศ. 2477 ท่านตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เป็นสถาบันซึ่งปลุกคนให้เอาธรรมะมาเป็นศาสตราที่แหลมคมเพื่อรับใช้การเมือง การเมืองเป็นคำใหม่นะครับ เพราะสมัยก่อนการเมืองเป็นเรื่องกษัตริย์เป็นเรื่องของเสนาบดี แต่ท่านบอกว่าการเมืองเป็นเรื่องของทุกคนที่มีการศึกษา

เห็นไหมครับ จากธรรมศาสตร์นี่แหละ บักหนานบักเสี่ยวอย่างคุณเตียง ศิริขันธ์ คุณอะไรต่ออะไรมาเป็น ส.ส. มาเป็นรัฐมนตรี คุณเตียงไม่ได้เป็นแค่รัฐมนตรีธรรมดานะครับ เป็นผู้นำขบวนการเสรีไทย เมื่อเลิกสงครามแล้ว อาจารย์ปรีดีตั้งสมัชชาเอเชียอาคเนย์ โฮจิมินห์ส่งนายพลมาประชุม ท่านออง ซาน มาเองเลยจากพม่า มีคุณเตียงเป็นหัวหน้า ถ้าไม่มีธรรมศาสตร์ คุณเตียงก็เป็นเพียงแค่ครูประชาบาลต่อไป ธรรมศาสตร์มันสำคัญตรงนี้

อาจารย์ปรีดีท่านทำอย่างไรล่ะครับที่จะสอนให้รักประชาชน ตอนนั้นยังไม่มีสลัมนะครับ ก่อนที่นักศึกษาธรรมศาสตร์จะจบออกไป ต้องผ่านการปัจฉิมนิเทศ ต้องไปอยู่ในคุกครับ ไปดูว่าคนที่อยู่ในคุกเขาเดือดร้อนยังไงบ้าง สมัยนี้ผมถามหน่อยว่ามีใครเข้าไปดูในคุกบ้าง สมัยนี้ต้องไปดูในคุก ในสลัม ไปอยู่กับสมัชชาคนจน ตอนนี้มันมีพรรคพวกผมเอาเด็กฝรั่งมาเรียนที่ขอนแก่นนะครับ ไอ้เดวิด สเตรคฟัส (นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกัน) เด็กที่มาอยู่กับมันต้องไปอยู่กับสมัชชาคนจน ต้องไปอยู่ที่ปัตตานีไปอยู่กับคนที่เคยหาปลา แต่วันนี้ปลาเขาถูกแย่งไปหมด

การศึกษาที่แท้จริง คือต้องเห็นความทุกข์ยากของคนอื่น มองเข้าไปในความทุกข์ยากนั้นเพื่อตระหนักว่าเราก็มีส่วน ถึงแม้ไม่มีส่วนแก้ก็มีส่วนทำให้พวกเขาเดือดร้อนมากขึ้น เพราะฉะนั้น ธรรมศาสตร์ในห้วงเวลา 10 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2477 ถึงปี พ.ศ. 2490 โอ้โห…สร้างคน สร้างนักการเมือง

แต่พอรัฐประหารปี พ.ศ. 2490 ถูกฆ่าหมดเลยครับ คุณเตียงก็ถูกฆ่า คุณถวิลถูกฆ่า อาจารย์ปรีดีไม่ถูกฆ่าเพราะหนีทัน แต่เขาก็ฆ่าชื่อเสียงเกียรติคุณท่านทั้งหมด ตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลย พวกเสื้อแดงประกาศตัวเป็นไพร่ ประกาศยกย่องอาจารย์ปรีดี แต่วันที่ 10 พฤษภาคมวันเกิดอาจารย์ปรีดี ไม่เห็นมีพวกใส่เสื้อแดงสนใจเลย ผมบอกเฮ้ย…ถ้าเอ็งเก่งจริงเลิกวันที่ 10 เพื่อยกย่องอาจารย์ปรีดี ไม่มีใครยกย่องท่านเลยครับ เพราะอะไร เพราะเราไม่เห็นค่าของราษฎร เราไม่เห็นคุณค่าของคนธรรมดาสามัญ

สิ่งที่อาจารย์ปรีดีทำน่ะสำคัญมาก แล้วเราก็ลืมและมองข้าม และอาจารย์ปรีดีเห็นเลยครับว่าการศึกษาเป็นหัวใจหนึ่งในหลักหกประการครับ ตอนนั้นท่านเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นะครับ ท่านเคยคุยกับท่านพุทธทาส 4 วันซ้อนว่าจะเอาพุทธศาสนามาเป็นหลักให้การศึกษาประชาชน ให้มีความภูมิใจในตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเดินตามฝรั่ง ประชาธิปไตยของเราจะวิเศษเลย แต่ไม่กี่ปีท่านก็ถูกฆ่า พังหมดเลยครับบ้านเมืองไม่ฟื้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2490 เป็นต้นมา อเมริกันเข้ามาครอบงำเรา แล้วทำให้เราเดินตามอเมริกัน ทุกวันนี้เราก็ยังคงเดินตามฝรั่ง

ขอโทษนะ…ชื่อหนังสือคุณก็เป็นชื่อฝรั่ง เราถูกถอนรากวัฒนธรรมของเรากันหมด

 

สมัยนั้นแนวคิดของอาจารย์ปรีดี ที่ต้องการให้การศึกษาเห็นความทุกข์ยากของประชาชนถือเป็นแนวคิดกระแสรองไหมครับ

ก็เป็นของใหม่สำหรับเวลานั้น ธรรมศาสตร์เป็นของใหม่นะครับ เพราะจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นที่ฝึกขุนนางในสมัยนั้น ตอนนั้นเรายังไม่มีการฝึกพ่อค้าม้าขายเลย ตอนนั้นการค้าม้าขายอยู่ในมือคนจีน วิธีที่เราจะชนะคนจีนได้คือบังคับให้เขาเป็นไทยเท่านั้นเอง

จอมพล ป. พิบูลสงคราม สั่งคนไทยต้องขายก๋วยเตี๋ยว คนไทยต้องขายหมู ตั้งบริษัทไทยนิยมขึ้น เป็นเรื่องชาตินิยมที่จับประเด็นไม่ถูกต้อง ร้านแถวเสาชิงช้าขายเครื่องสังฆภัณฑ์หมด เจ๊กขายไม่ได้ ต้องให้คนไทยขาย เจ๊กก็ฉลาดครับ เขาก็เปลี่ยนชื่อเท่านั้นเอง เขาขายหมูตามเดิมแต่เปลี่ยนให้เมียมาเดินเก็บตังค์ แล้วบริษัทไทยนิยม จอมพล ป. เขาไม่มีปัญญาครับ ก็เอาคุณจุลินทร์ ล่ำซำมาเป็น คุณจุลินทร์ก็เคยชื่อจูเหลียง เคยล้มละลายมาแล้ว เหตุที่ล่ำซำร่ำรวยก็อุดหนุนจอมพล ป. เท่านั้นเอง

เราจับประเด็นไม่ถูกต้อง ประเด็นจริงๆ คือ ระบบการศึกษา และจอมพล ป. ไม่ได้ทำอันนี้เลย แล้วการศึกษาที่เกี่ยวกับทางค้าขาย คนที่ทำคนแรกคือพวกโรงเรียนอัสสัมชัญ ตั้งโรงเรียนอัสสัมชัญคอมเมิร์ส หรืออัสสัมชัญพาณิชย์ แต่ก็ไม่ได้ค้าขายจริงจังอะไร ฝึกเด็กอัสสัมชัญเพื่อเป็นลูกจ้างฝรั่ง ทำชวเลข พูดภาษาฝรั่งได้เท่านั้นเอง

ระบบการศึกษาของไทย เมื่อรัชกาลที่ 5 ทุนนิยมเสรีมันเข้ามาแล้ว เป็นครั้งแรกที่ฝรั่งมาตั้งห้างในเมืองไทย ฉะนั้นระบบการศึกษาตอนนั้นก็รับใช้ราชการและห้างฝรั่ง อย่างโรงเรียนอัสสัมชัญ โรงเรียนคริสเตียนนี่ชัดเจนเลยครับ เพราะตั้งโดยฝรั่ง แล้วห้างฝรั่งก็ต้องการเด็กพวกนี้ อย่างพวกลุงผมจบ ม.1 ม.2 ฝรั่งก็จ้างไปแล้ว พ่อผมฝืนจนจบ ม.7 สูงที่สุด ก็ต้องเป็นลูกจ้างฝรั่งอยู่ดี พอจบก็ต้องไปทำงานกับฝรั่ง รับใช้จักรวรรดินิยม รับใช้ทุนนิยม หรือไม่ก็ต้องรับใช้รัฐ เป็นคุณหลวงคุณพระไป

ดังนั้น ธรรมศาสตร์จึงผลิตนักการเมืองที่ไม่ได้รับใช้ฝรั่ง ไม่ได้รับใช้รัฐ แต่รับใช้ราษฎร แต่มันพัง นักการเมืองก็หมดคุณภาพตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เช่นเดียวกับหนังสือพิมพ์ เริ่มแรกฝรั่งทำ หนังสือพิมพ์มันดีอยู่อย่างคือ ฝรั่งมันทำมันมีจิตสำนึกในทางเสรีภาพ ฝรั่งมันก็เริ่มท้าทายอำนาจรัฐ หมอบรัดเลย์ถูกจับนะครับถูกปรับนะ แต่ว่ามันไปขึ้นศาลกงสุลอเมริกัน ทีหลังคนไทยมาทำหนังสือพิมพ์สมัยราชาธิปไตยก็เอาอย่างฝรั่งก็กล้าด่ารัฐบาล เพราะหนังสือพิมพ์เจ้าของมันขึ้นกับใต้ธงฝรั่ง

หนังสือพิมพ์สมัยราชาธิปไตยมันเข็มแข็งกว่าสมัยนี้เยอะ มันกล้าด่ารัฐบาลเต็มที่เลย หนังสือพิมพ์มันสนุกจนกระทั่งถึงสมัยอเมริกันเข้ามาครอบงำ คุณกุหลาบ สายประดิษฐ์ ไม่อยู่เมืองไทย ไปตายที่เมืองจีน หนังสือพิมพ์ไทยหมดสภาพตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

 

ในสมัยที่อาจารย์ปรีดีบุกเบิกเรื่องนี้ สภาพการณ์แบบใครมีฐานะดีก็สามารถเข้าถึงการศึกษาที่ดีกว่าได้ เกิดขึ้นหรือยังครับ

ก็นี่แหละ…ตั้งธรรมศาสตร์เพราะต้องการให้ราษฎรทั้งหมดได้รับการศึกษา คนอย่างคุณเตียง ศิริขันธ์ แต่ก่อนอยู่โน่น…อีสาน เมื่อก่อนไปมาลำบากมาก แต่คุณสามารถซื้อชีทไปเรียนได้เลยไม่ต้องมา มันเป็น Open University แห่งแรกเลย แต่เมื่อจะได้ปริญญาแล้วจะต้องมาปัจฉิมนิเทศ เพื่อมาฝึกจริยธรรม มาเห็นคนยากคนจน นี่สำคัญมากเปิดโอกาสให้ทั้งหมดเลย

แต่พออาจารย์ปรีดีไป ทุกอย่างผิดไปหมดเลยครับ ธรรมศาสตร์กลายเป็นสถานที่ของคนชั้นกลางคนรวย ต่อมา…อาจารย์ป๋วยมาเป็นอธิการบดี ท่านเรียกตัวเลขมาดู ท่านตกใจ มีคนจนไม่ถึง 7 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้น ท่านจึงมีโครงการช้างเผือกเพื่อให้คนจนได้เข้าเรียน แต่ท่านก็อยู่ไม่นานเท่าไหร่ ท่านก็ไป ตั้งแต่นั้นทุกอย่างก็พัง

 

ถ้าไม่นับช่วงเวลา 10 ปีที่ธรรมศาสตร์และการเมืองพยายามทำให้ระบบการศึกษารับใช้สังคม อุดมคติของระบบการศึกษาที่ว่าผลิตบัณฑิตออกมารับใช้สังคมเคยมีอยู่จริงหรือไม่

อุดมคติ แปลว่าอะไร รับใช้สังคมแปลว่าอะไร

 

ถ้าแปลว่าเข้าใจในความทุกข์ของคนยากจนและทำเพื่อคนส่วนใหญ่จะได้ไหม

การเข้าใจความทุกข์ของประชาชนมีทางเดียว คือเขาต้องไปเห็นความทุกข์ยากของราษฎร ถ้าคุณเรียนในห้องแอร์คอนดิชั่นไม่มีทางเห็นหรอก อย่างเจ้าชายสิทธัตถะ ท่านเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย เห็นความทุกข์ยาก ถ้าท่านกลับไปนอนกอดเมีย…ศาสนาพุทธก็ไม่เกิดครับ เพราะท่านเห็นเลยว่ามันเป็นรูปธรรมในสังคมคือเห็นความไม่ยุติธรรมทางสังคม ท่านเปลี่ยนเลยครับจากลูกกษัตริย์มาเป็นภิกขุ มาเป็นขอทาน นุ่งผ้าที่เขาทิ้งเเล้ว กินข้าวที่เขาให้ ตอนนี้พระของเราตรงกันข้ามเลยครับ พระของเราเป็นลูกคนจน แต่อยากเข้าวังฉิบหายเลยครับ ศาสนาพุทธในเมืองไทยมันหมดสาระหมดความหมาย ตอนนี้ธรรมกายเอาเงินมาอบรมคนเป็นแสนเป็นล้านเลยนะ รัฐบาลก็กำลังจะให้เงินมัน

 

ถ้าเราจะรื้ออุดมคติแบบเดิมๆ มาใช้ในปัจจุบัน มันเป็นของยากไปแล้วหรือว่าไม่มีทาง

ถ้าพูดว่าไม่มีทางก็เป็นการปิดประตูหมด ของยากแต่เป็นของดีก็ต้องเอา ของเก่าก็ไม่ได้เสียหายนะครับ พระพุทธเจ้าตรัสตลอดเวลา สิ่งที่ทรงค้นพบเรียกว่า ‘ปุราณธรรม’ เป็นของเก่าเพียงแต่มาค้นพบใหม่ อย่าไปดูถูกของเก่า

อาจารย์พุทธทาสบอกให้ถอยหลังเข้าคลองก็ไม่เป็นไรนะครับ ท่านเล่นงานคำว่า ‘พัฒนา’ เป็นคนแรกเลยนะ พัฒนาแปลว่าโง่ ภาษาอังกฤษ Development มันแปลว่าบ้าเลยนะ ถ้าเราต้องการจะดีขึ้นนะครับ ก็ต้องถามสิครับว่า เราต้องการดีขึ้นบนความทุกข์ยากของคนอื่นด้วยหรือเปล่า หัวใจของศาสนาพุทธอยู่ตรงนี้เองว่า ถ้าเรามุ่งความสุขของคนอื่นมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น แต่เวลานี้เรามุ่งความสุขตัวเรามากเท่าไหร่ เราก็ให้ความทุกข์คนอื่นมากเท่านั้น เราก็หาความสุขไม่ได้นะ ประเด็นมันอยู่เท่านี้เองครับ

 

ในงานวิจัยเรื่องการศึกษาทางเลือกของอาจารย์ ที่บอกว่ามนุษย์ควรมีโอกาสในการเลือกการศึกษาที่เหมาะกับตัวเอง มีความหลากหลาย มหาวิทยาลัยส่วนมากที่ออกนอกระบบเราก็จะเห็นความหลากหลายของสาขาวิชาของหลักสูตรที่ออกมา สิ่งนี้สะท้อนว่าสังคมของเรามีทางเลือกมาขึ้นไม่ใช่หรือ

ครับ เป็นทางเลือกระหว่างอัปรีย์กับจัญไรยังไงครับ (หัวเราะ) คือเขาไม่เข้าใจ ต้องกลับมาที่ว่าการศึกษามีเพื่ออะไร ผมพูดในฐานะคนถือพุทธ พระพุทธเจ้าบอกว่าคนที่ไม่ศึกษาคือคนที่สำเร็จอรหันต์แล้ว เรียกว่า อเสขบุคคล คือไม่ต้องศึกษา ที่เราศึกษาก็เพื่อจะรู้เท่าทันความโลภ โกรธ หลง ประเด็นหลักอยู่ตรงนี้เลย เพราะความโลภ โกรธ หลง มันทำให้เราเป็นคนผิดปกติ ทีนี้ทำอย่างไรเราจึงจะเป็นปกติ

ศีล มันแปลว่า ปกติ เราจะปกติได้อย่างไร นี่คือเนื้อหาสาระ สมาธิ ช่วยอบรมจิตใจให้เรารู้เท่าทันตัวเองว่าตอนนี้ไม่ปกติแล้วนะ เมื่อเกิดปัญญา ก็มองเห็นความจริงต่างๆ ตามที่มันเป็นจริง นี่คือหัวใจของการศึกษา

ทีนี้คุณพูดว่าเรามีทางเลือกต่างๆ อาทิ คอมพิวเตอร์ นี่ไม่ใช่ทางเลือกนี่ครับ เป็นเพียงวิถีทางที่ต่างกันเท่านั้นเอง ไปเรียกมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ เป็นเรื่องเหลวไหลทั้งนั้นเลย

ถ้าเราจะมองไปที่เมืองฝรั่ง ตอนนี้มันเริ่มรู้ตัวแล้ว อย่างที่ชูมาร์เกอร์ คอลเลจ (Schumacher College) เขาต้องการเสนอเศรษฐศาสตร์แนวพุทธเป็นกระแสหลัก ไม่ต้องใช้คำว่าพุทธก็ได้ เป็นเศรษฐศาสตร์ที่ถือว่า ‘มนุษย์’ สำคัญ เพราะตอนนี้เศรษฐศาสตร์ถือ ‘ทุน’ สำคัญ พูดถึงเศรษฐศาสตร์เขาจะต้องพูดถึงตัวเลขตลอดเวลา ไอ้นั่นตกไปเท่านั้น ไอ้นี่ตกไปเท่านี้ ไม่เคยคิดว่าราษฎรเป็นอย่างไร อย่างกรณีมาบตาพุด ก็คิดว่าประเทศจะร่ำรวยใหญ่ ไม่สนใจเลยว่าราษฎรเดือดร้อนขนาดไหน
แต่ถ้าเห็นว่าราษฎรสำคัญ ชาวบ้านสำคัญ ต้นไม้ ทะเล สำคัญ คำตอบมันอยู่ตรงนี้ต่างหากล่ะ อย่างอื่นเป็นเรื่องรอง เงินเป็นเรื่องรอง

ผมนับถือคุณป๋วยมาก คุณป๋วยท่านเป็นคนฟังคนมาก ท่านเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติที่ดีที่สุดที่เราเคยมี เป็นถึง 12 ปี ท่านบอกผมเลยนะว่าท่านสิทธิพร (ม.จ.สิทธิพร กฤดากร) พูดกับท่านว่า ‘คุณป๋วย…เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาเป็นของจริง’ ท่านเชื่อท่านสิทธิพรมาก

ท่านสิทธิพรก็สนิทกับผมมาก ท่านเป็นเจ้านายองค์หนึ่ง ท่านบอกผมว่าหัวใจของบ้านเมืองก็คือชาวนานะสุลักษณ์ ถ้าไม่มีชาวนาเราจะเอาข้าวที่ไหนกิน แล้วท่านบอกว่าต่อไประวังนะเธอ รุ่นเธออาจจะต้องซื้อข้าวจากเมืองนอก เพราะเราไม่ให้การศึกษาชาวนา แต่เรากลับให้การศึกษาที่ทำให้ลูกชาวนาไม่อยากเป็นชาวนา (เน้นเสียง) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยชาวนานะครับ ตั้งเพื่อให้คนมารับราชการ ท่านบอกต้องให้การศึกษากับชาวนา ให้ลูกชาวนาเขาภูมิใจที่เขาเป็นชาวนา ให้เขามีสถานะทางเศรษฐกิจไม่แพ้อาชีพอื่น

ท่านสิทธิพรเป็นคนยอดเยี่ยมมาก แต่คนอื่นหาว่าท่านบ้าท่านเลอะ ท่านตั้งพรรคการเมืองนะครับ ผมบอกผมไม่สนใจการเมือง แต่ผมเขียนหนังสือได้ค่าลิขสิทธิ์เล่มแรกผมถวายให้ท่านเลย 3,000 บาท ท่านบอกผมว่าท่านต้องการคนเดียวนะสุลักษณ์…อยากจะมี ส.ส. คนเดียวที่พูดแทนชาวนา…ท่านตั้งพรรคชื่อพรรคสัมมาชีพช่วยชาวนา แล้วท่านก็ได้ผู้แทนฯ เข้าไปคนหนึ่งครับ เป็นคนนครปฐม ไอ้นี่เข้าไปไม่กี่วันก็ขายตัว มันเศร้านะ รากฐานเราถูกทำลาย ท่านก็เสียใจมากเลย

 

ถ้าชาวนาไม่อยากให้ลูกตัวเองเป็นชาวนา เพราะไม่อยากให้ลูกลำบากเหมือนตัวเองมันผิดตรงไหน

ก็นี่ละครับ นี่มันเป็นมายา เป็นอวิชชาที่ร้ายแรงที่สุด คุณเห็นไหมตอนนี้พวกขายนาขายควาย แล้วมันได้อะไรครับ พวกที่ดีหน่อยก็ได้เป็นผู้นำเสื้อแดง

คือเราไปเข้าใจผิดว่าจะต้องเป็นเจ้าคนนายคน จะเป็นได้ยังไงครับ ถ้าคุณสอนให้ทุกคนอยู่ข้างล่าง มันก็ไม่ต้องแย่งกันครับ พวกเขาก็ต้องเอาพวกเขา ใครเขาจะมาเอาเรา

ตอนนี้มันก็ถูกหลอกเต็มไปหมด มหาวิทยาลัยเอกชนห่าเหวเต็มไปหมดเลย ผมไม่อยากพูด เป็นมิจฉาอาชีวะทั้งนั้นเลย แล้วคุณก็ไปเห็นว่าดี

คนจะดีได้ มันต้องมีความภูมิใจในตัวเอง ต้องรู้สึกว่าทำอย่างไรถึงจะรับใช้ผู้อื่น อย่างที่ผมยกตัวอย่างอาจารย์สิทธิพรก็ได้ อาจารย์ป๋วยก็ดี หรือท่านปรีดี เขาคิดถึงการรับใช้ผู้อื่นตลอดเวลาเลยครับ

 

ภาคอุตสาหกรรมมักวิจารณ์ว่าระบบการศึกษาของไทยไม่ตอบโจทย์ตลาดแรงงาน ระยะหลังจะเห็นว่า อุตสาหกรรมประเภทใดเติบโต หลักสูตรที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมนั้นก็จะเกิดขึ้น หากมองตามสายตาภาคอุตสาหกรรมก็เป็นการผลิตจากปลายน้ำ ซึ่งเป็นการผลิตที่ตอบตรงโจทย์ – แก้ตรงจุด

อันนี้เรามองไม่เป็นกระบวนการ ไม่ครบถ้วน ทำไมเราเอาเงินแผ่นดินไปอุดหนุนอุตสาหกรรมที่มันรวยมหาศาลอยู่แล้ว ก็คุยกับเขาสิครับ เราไม่ได้เห็นเขาเป็นศัตรูนะครับ ก็มาร่วมกัน ตั้งโรงเรียนฝึกด้วยกัน ซึ่งแต่ก่อนอังกฤษเป็นอย่างนั้นนะครับ พ่อค้าเขาตั้งโรงเรียนเพื่อฝึกคนให้ออกมาค้าขายเฉพาะเขาทำกันเอง แต่ก่อนมหาวิทยาลัยเขาไม่ทำกันครับ อย่างมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เขาไม่ทำเลยครับ เขาฝึกให้คนคิดเป็น ให้เข้าหาสาระของชีวิตด้วยการเรียนภาษาอังกฤษและภาษาละติน

 

แสดงว่าระบบการศึกษากระแสหลักของเรากำลังทำเกินหน้าที่ไปหน่อย

เรากำลังเดินตามฝรั่งครับ เราไม่เคยเข้าใจฝรั่ง แล้วเราก็เอาฝรั่งมาวัดเลยว่าได้ที่เท่าไหร่ อันดับเท่าไหร่ ทำไมเราไม่คิดวัดของเราเอง แสวงหาความเป็นเลิศของเราเอง ถ้าเราวัดของเราเอง ดีไม่ดีฝรั่งอาจมาตามเรา

นี่ผมไม่อยากพูด ผมทำเสมสิกขาลัยมา 15-20 ปี ตอนนี้มหาวิทยาลัยมาให้ผมเข้าไปช่วยด้วยซ้ำไป แล้วผมไม่ได้ช่วยอะไรมาก อย่างน้อยผมอยากช่วยให้มันเกิดความสุข เพราะตอนนี้มหาวิทยาลัยมันทะเลาะกันวายป่วงเลยคุณ คณบดีแย่งกระดูกกันเหมือนหมูเหมือนหมาเลยนะ

เสมสิกขาลัยที่เราทำ ทำให้เขาเลิกเกลียดกัน ตอนที่วิศิษฐ์ (วิศิษฐ์ วังวิญญู) เขาทำ สุนทรียสนทนา ก็เริ่มมีคนสนใจมากขึ้น อย่างน้อยให้มีบรรยากาศมิตรภาพเกิดขึ้น

พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า เมตตาธรรมค้ำจุนโลกให้เกิดความรัก เราก็เอาตรงนี้มาใช้ เอา ‘จิตสิกขา’ เอา ‘ไตรสิกขา’ มาใช้ แล้วก็ทำได้ผลพอสมควร ถ้าคุณต้องการศึกษาทางเลือก ผมก็ทำการศึกษาทางเลือกแบบนี้อยู่ เลือกออกจากกระแสหลัก เลือกให้เห็นคุณค่าของตัวเอง ทุกคนมีคุณค่าหมด ไม่ต้องรอให้เป็น PH.D.ก่อน

อย่างยายไฮ (ไฮ ขันจันทา) เขารู้สึกเลยว่าตัวเขามีคุณค่า แล้วเราไปเรียนจากเขา แล้วพวกนี้วิเศษมาก ทำไมเขาถึงมีคุณค่า เพราะเขายังอยู่กับธรรมชาติ ยังอยู่เป็นชุมชน เขาไม่ได้ถูกถอนรากถอนโคนมาจากวัฒนธรรมดั้งเดิม ศาสนาพุทธอยู่ในเมืองไทยมีมา 800-900 ปียังอยู่กับพวกเขา แต่ชนชั้นกลางเราถอนออกไปหมดแล้ว ศาสนาพุทธสำหรับชนชั้นกลางมันเป็นของเล่นเป็นพิธีกรรม

เมืองไทยมันไม่มีสาระอะไรเลยนะ ทุกอย่างเป็นพิธีกรรมหมด ชีวิตมันต้องมีสาระครับ แต่การศึกษาในเมืองไทยเป็นพิธีกรรมทั้งหมด แล้วสิ่งสำคัญคืออะไร คือพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ฉิบหายกันไปเท่าไหร่วันนั้น ไม่ได้อะไรห่าอะไรเลย

การศึกษาเมืองไทยผมเห็นมีดีอยู่อย่างเดียว คือคุณเข้าไปเรียนแล้วได้เพื่อน เพื่อนมันจะฮั้วกันช่วยกัน…มีดีอันเดียว (หัวเราะ) เพราะศาสนาพุทธเขาสอนกัลยาณมิตรเป็นของดี

โรงเรียนมันสอนอะไรครับ มันสอนให้เคารพรัฐ เคารพทุน เคารพความสำเร็จจอมปลอมต่างๆ มันไม่ให้เคารพตัวเองเลย ไม่สอนให้เคารพธรรมชาติ ไม่สอนให้เคารพสิ่งที่มีคุณค่า

 

สภาพความเป็นจริงอย่างหนึ่งก็คือเขาพยายามออกแบบการศึกษาให้เอื้อต่ออุตสาหกรรม ทีนี้แนวความคิดเรื่องการศึกษาแบบที่อาจารย์ว่า มันควรจะมีที่ทางอยู่ตรงไหน ถึงจะไม่ไปขัดแข้งขัดขาขัดขวางความเจริญของประเทศ

ผมจะมีความภูมิใจมากเลยที่มีคนมาบอกแบบนี้ เพราะผมไม่มีความต้องการให้ประเทศเจริญเลย (หัวเราะ)

ประการแรกคือ เราไม่รู้จักฝรั่ง เราเรียนมาว่าอุตสาหกรรมเป็นของวิเศษ การปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นของวิเศษ แต่เราไม่ได้เรียนเลยว่ามันช่วยพ่อค้าจำนวนน้อย นักการเมืองจำนวนน้อย เจ้าที่ดินจำนวนน้อย ระบบอุตสาหกรรมทำให้คนอังกฤษทิ้งบ้าน แยกกับเมีย ส่งลูกมาเป็นแรงงาน สิ่งที่มันเกิดขึ้นในบ้านเรามันเกิดในอังกฤษมาตั้ง 200 ปีแล้ว

ลองไปอ่านที่ชาร์ลส์ ดิกเคนส์ เขียนสิว่ามันเลวร้ายอย่างไรบ้าง พวกที่ต่อสู้กับระบบอุตสาหกรรม เขาถือว่าผ้าขาวม้าทอมือเป็นของวิเศษ ทอด้วยเครื่องมันได้อะไร ได้ความเร็ว แต่คุณทำลายทรัพยากรธรรมชาติหมดเลย ซึ่งอังกฤษเองก็ไม่มีจึงต้องไปตีเอาที่อื่นมา แล้วอังกฤษก็เล็กนิดเดียว มันเลยต้องเอาไปขายที่อื่น จักรวรรดิมันถึงเกิดขึ้นมา อุตสาหกรรมมันทำลายหมดครับ คานธีถึงปฏิเสธระบบนี้มาก ของพวกนี้มันต้องร่วมมือกันผลิต (Produce by the Masses) แต่อุตสาหกรรมบอก Mass Product แล้วก็ฉิบหายเลย เราอยู่ใต้อำนาจเครื่องยนต์กลไกทั้งหมด อันตรายมันอยู่ตรงนี้

ผมไม่รังเกียจอุตสาหกรรม แต่ต้องตีประเด็นให้แตกว่าอุตสาหกรรมมันมีคุณโทษอย่างไร การศึกษาที่สาระมันต้องดูตรงนี้ ไม่ใช่มีอย่างเดียวว่าขอให้มีงานทำ ถ้าเป็นลูกจ้างเขาแล้วชีวิตจะมั่นคง มันหลอกทั้งนั้นเลย สื่อก็กลัวถูกปิด อ้างว่าเซ็นเซอร์ตัวเอง

โรงเรียนทางเลือกที่มีแนวคิดอิงศาสนาพุทธอย่างโรงเรียนวิถีพุทธหรือโฮมสคูลที่มีความพยายามจะผลิตคนที่ไม่หลงวนไปกับกระแสหลักออกมา ในช่วงหลัง มันค่อยๆ เป็นทางเลือกสำหรับคนรวยมากขึ้นๆ ทำอย่างไรให้การศึกษาทางเลือกเหล่านี้เป็นที่บ่มเพาะปัญญาอย่างแท้จริง

อ้าว โรงเรียนหมู่บ้านเด็กก็ทางเลือกเพื่อคนจนนะ ไม่มีคนรวยไปเรียนเลยนะครับ แล้วโรงเรียนของสมัชชาคนจน ผู้ปกครองเขาให้ลูกออกจากโรงเรียนของรัฐหมดเลยนะครับ ให้มาอยู่กับเขาเอง เขาสอนเอง สอนเรื่องที่สำคัญ สอนเรื่องหมอนวดอะไรพวกนี้ แล้วก็เริ่มมีความภูมิใจ

การศึกษาที่จะอยู่ในสังคมทุกวันนี้ได้ ต้องมองสภาพความเป็นจริงของสังคม แล้วก็ศึกษาข้อเท็จจริงของสังคม ต้องรู้จักตัวเองรู้จักสังคม การศึกษากระแสหลักไม่สอนให้รู้จักตัวเองเลย ถ้าสอนให้รู้จักสังคมก็สอนจากตำราที่ฝรั่งมันเขียนให้เราอีกที สังคมไทยยกย่องชนชั้นสูงซึ่งไม่เป็นความจริงเลย ถ้าจับประเด็นพวกนี้แล้วเอามาปรับมันก็ไม่ยากเย็นอะไร

 

คนที่ออกมาจากโรงเรียนทางเลือกหรือการศึกษาทางเลือกจะดำรงชีวิตในสังคมที่มีสภาพความเป็นจริงแบบนี้ได้อย่างไร

นี่สำคัญมากเลยนะ…สำคัญมาก ที่นาโรปะ มหาวิทยาลัยพุทธแห่งแรกในอเมริกาหรือในโลกตั้งมา 25 ปี เขาบอกเขาสอนเพื่อให้เด็กจบออกมาไม่ต้องไปเป็นลูกจ้างเขา เรียนเพื่อที่จะเป็นนายของตัวเอง เมืองไทยของเราจบจากมหาวิทยาลัยนาโรปะ 3 คน ณัฐฬส วังวิญญู นี่เขาทำของเขาเองเลย โยคีตั้ม (วิจักษณ์ พานิช) ก็ทำของเขาเองเลย เขาเป็นลูกหมอวิจารณ์ พานิช หมอวิจารณ์เขาเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยมหิดล

เมื่อกลับมา แม่เขาก็ถามตั้มเลยว่า จบการศึกษามาจะทำอะไรกิน ตั้มบอกแม่ว่าผมจะภาวนา…ใช้เวลาภาวนา แม่บอกก็ดีนะลูก แล้วจะทำอะไรกินล่ะ ตั้มบอกก็มีคนมาเรียนกับผมนะครับ…ทำวิจัยอะไรด้วย แม่บอกนั่นไม่ใช่การทำมาหากินนะลูก ตั้มก็อธิบายได้นะแม่…เดือนหนึ่งหนูก็ได้ค่าวิจัยสองหมื่นสามหมื่นนะแม่ แม่ถามแล้วจะเอาความมั่นคงมาจากไหนล่ะลูก ตั้มก็เลยบอกว่าความมั่นคงมันไม่มีนะแม่…ผมจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แม่จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ คุณแม่ร้องไห้เลยครับ

หมอวิจารณ์พ่อของตั้มเป็นลูกคนยากคนจนที่ชุมพร มาได้รับความสำเร็จในระบบกระแสหลัก ได้เป็นอธิการบดี เป็นนายกสภาในมหาวิทยาลัย แต่ไอ้วิจักษณ์มันบอกว่า พ่อมัน Empty ไม่มีห่าอะไรเลย มีแต่ตำแหน่ง ไม่มีหัวใจความเป็นมนุษย์เลย ตอนหลังมาคบกับลูก เริ่มดีขึ้น เริ่มพูดกับลูก ‘เออ…เราต้องฟังคนจนบ้างนะลูกนะ’ ตั้มมันบอกเมื่อก่อนพ่อมันไม่เคยพูดอย่างนี้เลย หมอมีคำตอบทุกอย่างเลย แล้วตอนนี้ในเมืองไทย หมอแม่งคุมแทบทุกแห่งเลย อธิการบดีแทบทุกแห่ง พวกนี้ไม่มีห่าอะไรเลย

ไอ้วิจักษณ์ พานิช ไอ้ณัฐฬส วังวิญญู ที่จบมาจากนาโรปะ 3-4 คน มันมีงานทำทั้งนั้น ไม่เข้ากระแสหลักสักคนหนึ่ง อีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิงเป็นคาทอลิกด้วย แล้วมันก็ท้าทายคาทอลิกด้วย ไอ้ผู้หญิงมันมีผัวเป็นผู้หญิงด้วย โอ้ย…มันเป็นบ้าเลย (หัวเราะ) คือระบบการศึกษามันจะให้คุณเข้ากรอบหมดเลยนะ ถ้าเป็นชนชั้นกลางจะต้องมีผัวแบบนี้ มีเมียแบบนี้ มีลูกแบบนี้ ชีวิตน่าเบื่อตายห่า (หัวเราะ)

 

สังคมไม่อนุญาตให้เข้าใจความหมายของคำว่า ‘ความมั่นคง’ ในความหมายอื่น นอกจากหลักประกันทางรายได้ ถ้าเราจะอธิบายความหมายของคำคำนี้เสียใหม่ เราจะรื้อความหมายของคำว่าความมั่นคงในชีวิตอย่างไรให้สอดรับกับสภาพความจริง

พระพุทธเจ้าท่านสอนมาตั้งนาน มันไม่มีหรอก สิ่งที่เรียกความมั่นคงในชีวิต

Security ในภาษาฝรั่งมันหลอกทั้งนั้น มันไม่มี ตอนนี้ไอ้บุชมันใช้ไปหมดแล้วนะความมั่นคง ความมั่นคงในอเมริกาจะไม่มีเหลือเหี้ยอะไรแล้ว เราไปเชื่อรัฐบาล…มันสร้างให้เชื่อว่าความมั่นคงคือรัฐบาล ที่แล้วๆ มา ระบบบำนาญระบบต่างๆ มันหลอกทั้งนั้น ตอนนี้รัฐมันพังฉิบหายวายป่วงหมดแล้ว ตอนนี้ที่มันวุ่นวายอยู่ที่กรีซ เงินยูโรมันฉิบหายวายป่วงหมดแล้ว เลือกตั้งที่อังกฤษ เงินปอนด์ตกฉิบหายวายป่วงหมดแล้ว 2 วันก็เป็นเศษกระดาษ แล้วเมื่อก่อน เราไปเชื่อไง เงินปอนด์ต้องเอาทองไปไว้ที่ลอนดอนเลย แล้วตอนหลังไอ้เวิลด์แบงก์บอกไม่ต้องแล้ว เราเชื่ออเมริกา เศษกระดาษดอลลาร์นี่เชื่อ  2 วันมันจะเป็นเศษกระดาษจริงๆ แล้ว เห็นไหมฮะ…สิ่งที่เรียกว่าความมั่นคง เราถูกหลอกทั้งนั้น

 

การศึกษาทางเลือกจำเป็นต้องผูกติดกับศาสนาใดศาสนาหนึ่งไหมครับ

ศาสนามีทั้งคุณและโทษ ถ้าคุณเลื่อมใสศาสนาใดศาสนาหนึ่ง จับสาระศาสนานั้นให้ได้…เป็นของดี ถ้าคุณไม่นับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งก็ไม่จำเป็นอะไรเลย รวมทั้งพุทธศาสนาด้วย ไม่มีความจำเป็นอะไรเลย สมมุติ คุณเลื่อมใสพระเยซู เชิญท่านเข้ามาอยู่กับคุณ คุณนับถือพระแม่มาเรียเชิญท่านมาอยู่กับคุณ ถ้าคุณไม่นับถือก็แล้วไป เช่นเดียวกัน ถ้าเชื่อในพระพุทธคุณก็นิมนต์พระพุทธคุณมาอยู่ แต่ไม่ใช่พระพุทธรูปนะ ต้องแยกกันนะครับ เมืองไทยมีพระพุทธรูปแต่ไม่มีพระพุทธคุณเลย ขายกันฉิบหายวายป่วงหมดเลย อะไรที่มันค้าขายกันนี่อันตรายมาก ทุกศาสนากำลังค้าขายกัน ฉะนั้น อย่าไปเอาตัวอย่างที่มันค้าขายกัน อย่าไปเอา เอาที่มันเป็นของแท้

ที่เขาใช้คำว่า ‘จิตวิญาณ’ ผมไม่ชอบคำนี้ ถ้าเข้าใจชีวิต…มันมีอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าวัตถุ ชีวิตมันยิ่งใหญ่กว่าร่างกายของเรา ที่ศาสนาพุทธเขาใช้คำว่านามกับรูป ที่เราสนใจน่ะเรื่องรูป คุณไปดูสิโฆษณาในโทรทัศน์เรื่องรูปทั้งนั้น ขายยาสระผมขายยาสีฟันห่าเหวเรื่องรูปทั้งนั้นเลย แต่เรื่องนามเราไม่สนใจ รูปกับนามมันไปด้วยกัน ถ้าเราสนใจเรื่องนามสิ่งที่มันไปพ้นรูป เช่น ตายแล้วไปไหน ถามคำถามเหล่านี้มันจะทำให้เรามีคุณค่าความเป็นคนมากกว่า

Author

WAY

Author

กองบรรณาธิการ
ทีมงานหลากวัยหลายรุ่น แต่ร่วมโต๊ะความคิด แลกเปลี่ยนบทสนทนา แชร์ความคิด นวดให้แน่น คนให้เข้ม เขย่าให้ตกผลึก ผลิตเนื้อหาออกมาในนามกองบรรณาธิการ WAY

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า