องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาหรือเอฟดีเอ (FDA) ประกาศห้ามใช้สารบีพีเอ (BPA) ในกระติกน้ำและแก้วน้ำต่างๆ อย่างเด็ดขาด เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา
แต่การเคลื่อนไหวของเอฟดีเอครั้งนี้ ส่งผลกระทบแค่วงจำกัด เพราะบรรดาผู้ผลิตส่วนใหญ่ในสหรัฐได้เลิกใช้สารบีพีเอในขวดหรือภาชนะบรรจุเครื่องดื่มชนิดต่างๆ ไปแล้วประมาณ 12 รัฐ ที่เอาจริงเอาจังเป็นพิเศษคือ แคลิฟอร์เนีย ที่ห้ามใช้สารบีพีเอกับข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างสำหรับเด็ก เช่นเดียวกับ แคนาดา สหภาพยุโรป และ สาธารณรัฐประชาชนจีน
“ผู้บริโภค สามารถมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไม่ปนเปื้อนสารบีพีเอ” เชลลี เบอร์เกส โฆษกหญิงเอฟดีเอ แถลงเพิ่มเติมอีกว่า โดยส่วนใหญ่ ผู้ผลิตต่างเชื่อว่าบีพีเอนั้นไม่ปลอดภัยอย่างแน่นอน แต่พวกเขาก็ยังต้องการกฏหมายหรือคำสั่งห้ามใช้ สำหรับผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กอย่าง เป็นทางการ
ตอนท้ายของการแถลง เบอร์เกสย้ำกว่าเอฟดีเอจะสนับสนุนและเดินหน้าการห้ามใช้สารบีพีเอกับภาชนะสำหรับใส่หรือบรรจุอาหารต่อไป
ก่อนหน้านี้ มีการตรวจพบสารบีพีเอในผลิตภัณฑ์พลาสติกหลายร้อยรายการ เช่น ขวดน้ำ กระป๋องบรรจุอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงกระดาษม้วนที่ใช้พิมพ์ใบเสร็จต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงต่อผลการศึกษาก่อนหน้านี้ที่พบว่าสารบีพีเออาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งเต้านม การติดเชื้อของเด็กแรกเกิด และ ปัญหาต่อระบบการเจริญพันธุ์
ผลการศึกษาด้านกุมารเวชศาสตร์ยังเผยอีกว่าพบสารบีพีเอในสารสำหรับอุดฟันให้เด็กๆ ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงให้เด็กๆ มีอาการเครียด วิตกกังวลและอาการทางจิตเวชอื่นๆ สูงกว่าปกติ
นับตั้งแต่มีการรณรงค์ห้ามใช้สารบีพีเอในภาชนะบรรจุอาหารและเครื่องดื่มหลายปีที่ผ่านมา ยังพบสารบีพีเอตกค้างในปัสสาวะชาวอเมริกันอย่างน้อย 90 เปอร์เซ็นต์
The American Chemistry Council ซึ่งเป็นตัวแทนกลุ่มผู้ผลิตพลาสติก ออกมาแย้งว่า ระดับสารบีพีเอที่ใช้อยู่ในปริมาณที่ปลอดภัย และข้อห้ามการใช้สารบีพีเอในขวดน้ำและแก้วน้ำเด็กๆ นั้นมีขึ้นหลังจากกลุ่มผู้ผลิตได้ตัดสินใจลดการใช้สารบีพีเอกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ไปแล้ว
นักสิ่งแวดล้อมเผยว่า เอฟดีเอ น่าจะทำอะไรมากกว่านี้ เพราะสิ่งที่ทำอยู่เท่ากับบรรลุผลเพียงครึ่งทาง คือกับมีผลเฉพาะผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กเท่านั้น
****************************
(ที่มา : usatoday.com)