เรื่องและภาพ : หญ้าน้ำ ทุ่งขุนหลวง
ผมรอวันไปสันเขาขุนห้วยแม่นิงอยู่หลายเดือน ด้วยคำบอกเล่าจากโถ่เรบอ
ถึงจังหวะเวลาเหมาะสมที่สุด ต้องเป็นปลายฝนต้นหนาว ซึ่งชาวบ้านแถบนั้นกำลังขุดมันอะลู หรืออะลูตี บ้างเรียก หัวลู ก็คือมันฝรั่งนี่เอง ผมอยากไปดูให้เห็นกับตาสักครั้ง หัวลูกับหัวมันสำปะหลัง มันเทศ มันคล้ายหรือต่างกันอย่างไร
สุดถนนรถโดยสารหน้าที่ว่าการอำเภอแม่แจ่ม โถ่เรบอควบมอเตอร์ไซค์มารับ เราแวะซื้อเสบียงติดตัวไปบ้าง แล้วสองล้อเครื่องก็ห้อตะบึงไปตามทางภูเขา ลมเย็นเฉียบพัดมาแรงๆ ทำเอาผมคางสั่น หยุดตากแดดกันข้างทางเป็นระยะๆ
ผมคุ้นเคยกับทางดอยเส้นนี้ ที่ทอดไปหาบ้านพ้อเลป่า – ผู้เฒ่ากวีนักเขียนปกากะญอแห่งบ้านแม่แฮคี้ และทางลัดไปออกอำเภอแม่ลาน้อยจังหวัดแม่ฮ่องสอน จะดูแปลกตาก็คงเป็นถนนปูคอนกรีตราบเรียบ แทนที่ถนนดินลูกรังขรุขระ
แยกบ้านปางปะโอ อันเป็นเสมือนสถานีพักระหว่างทาง มีร้านค้าขายของสองสามร้าน ขายก๋วยเตี๋ยว เครื่องดื่ม อาหารสด อาหารแห้ง ผัก เรียกว่าครบเครื่องของกินที่พอหาซื้อได้ รถผ่านมาก็หยุดแวะพัก ผมเห็นคนงานนั่งจับกลุ่มอยู่กลางแดด
โถ่เรบอบอกว่า เป็นแรงงานไทใหญ่ทั้งนั้น รับจ้างทำงานไปเรื่อยในแถบนี้ ผมถึงกับอึ้งในปริศนาเส้นทางแลกเปลี่ยนแรงงานตามถิ่นภูเขา
แยกไปทางซ้ายเป็นถนนดิน สู่บ้านพุย เห็นบ้านแม่ศึกอยู่ในหุบเหวไกลๆ อย่างกับบ้านจำลองที่จัดวางกันในแผนภูมินิทรรศการ ปรากฏร่องรอยดินถล่มเป็นทางยาวจากยอดเขาลงสู่ตีนเขา ดินหินถล่มลงทุกทิศทาง ราวกับภูเขาชราภาพ เปื่อยผุไปตามกาล บ้านแม่ศึก 60 หลังคาเรือนพลอยรับลูกหลงภูเขาพังตามไปด้วย บ้านพังไปหลายหลัง
ถนนดินยังทอดคดเคี้ยวไปตามไหล่เขา ผ่านบ้านสันปูเลย แม่หงานน้อย
แม่หงานหลวง ผ่านทุ่งข้าวโพด ไร่ข้าว สวน เป็นแปลงเพาะปลูกรูปตาหมากรุกปูอยู่บนไหล่เขา ต่อเนื่องกันไปจนถึงสันเขาขุนห้วยแม่นิง
ถนนดินขอดเล็กลงเรื่อยๆ ไปจนถึงสันเขา สภาพถนนแยกไม่ออกระหว่างทางเกวียนกับทางรถ ดูร้างๆ ปล่อยเลยตามเลยจนเห็นความงาม เมื่อส่วนประกอบรายรอบเป็นทุ่งหญ้ากับป่าแพะไม้พุ่มเตี้ยๆ โอบล้อมถนนไว้
เกือบ 3 ชั่วโมงถึงสันเขาขุนห้วยแม่นิง บางช่วง — รถวิ่งด้วยความเร็วเดินเท้า ต้องกระโดดลงจากเบาะซ้อนท้ายแล้วเดินตาม
ความหมายของสันเขาขุนห้วยแม่นิง คือที่ราบสั้นๆ สลับกับลอนคลื่นสูงต่ำลดหลั่นไปบนยอดเขา และลมพัดแรงอยู่ตลอดเวลา เป็นความกว้างสัณฐานรูปหลังช้างหมอบทะมึน กับความยาวทอดไปไกลเป็นระยะราว 3 กิโลเมตร
เพียงพอทำให้สันเขาธรรมดาๆ กลับดูลี้ลับน่าค้นหาขึ้นมาทันที ไกลกว่านั้น ดูเหมือนทุกอย่างถูกโยนลงไปกองสุมไว้ในเหวลึก พร่ามัวทึมทึบอยู่ใต้เงาแดดเย็น
ผมเดินพินิจไม้พุ่มเตี้ย ใบหนา ท่ามกลางลมพัดแรง เหมือนใบไม้ทั้งสันเขาไม่เคยผ่านช่วงเวลาผลัดใบ มันจึงปรับตัวอยู่ร่วมกับลมแรง เพิ่มจำนวนใบหนา ลมเย็นเยือกพัดมาเป็นระลอกคลื่นกระเพื่อมไล่กันไม่รู้จบสิ้น มองไปทางไหนเห็นแต่พุ่มไม้ใบไม้สั่นไหว อย่างกับท้องทะเลลอยมาอยู่เหนือสันเขา เพียงแต่ไม่มีฝูงปลาตามมาด้วย เห็นแต่นกเหยี่ยวกางปีกเล่นลมอยู่เหนือหน้าผา
ผมเหยียดสันหลังให้ขนานกับสันเขา เป็นความรู้สึกแปลกๆ ในความแปรปรวนของลม ผมเห็นต้นไม้ใหญ่ยืนนิ่งต้านลมใต้ฟ้ากว้างๆ ตามลำต้นก้านกิ่งล้วนห่อหุ้มด้วยพืชจำพวกตะไคร่น้ำ กล้วยไม้ เฟิร์น มอส อย่างกับต้นไม้ใส่เสื้อ ยืนต้นอยู่ตามลำพัง
โถ่เรบอ ผมน่าจะแนะนำเขาบนบรรทัดนี้ นักเขียนหนุ่มปกากะญอที่ปลุกปล้ำเรื่องสั้นไปโผล่ตามนิตยสารต่างๆ (เพิ่งมีงานรวมเรื่องสั้นเล่มแรกชื่อ เชวาตัวสุดท้าย) วันนี้เขาเป็นครูในสังกัดการศึกษานอกโรงเรียน คลุกคลีอยู่กับชาวบ้านตามป่าเขา เขาควบมอเตอร์ไซค์ขึ้นเขาลงห้วย เดือนหนึ่งๆ หลายร้อยกิโลเมตร
เขานำทางสู่ทางเล็กๆ แต่ตัดชันแหวกทุ่งดอกบัวตองไปตามไหล่เขา เหมือนลงหลุม ผมไม่รู้อะไรเป็นอะไร มองไปรอบตัวพบแต่ความเงียบกับลม ไม่เห็นสิ่งใดเคลื่อนไหว ต่อเมื่อเห็นเถียงไร่ดูเหมือนเพิงร้างอยู่ไกลๆ จึงเห็นคนเคลื่อนไปมาเหมือนมด
เถียงไร่แต่ละหลังมุงใบตองสาด ลักษณะคล้ายใบกล้วย หยิบจับมาผูกร้อยกันเป็นตับวางซ้อนเป็นหลังคากับฝากั้นลม มันเป็นเถียงไร่ที่ดูเหมือนเพิงพักชั่วข้ามคืนมากกว่า สร้างขึ้นจากวัสดุที่หยิบหาได้ง่ายๆ โผล่สูงขึ้นมาจากพงหญ้า ห้อมล้อมด้วยทุ่งดอกบัวตองเหลืองสว่างไปทั่งอาณาบริเวณ
เป็นที่พักหลบแดด หลบลมหนาวของชาวบ้านที่มาพักแรมเก็บมันอะลู พักค้างคืนยื้อวันกันจนกว่าจะเก็บเสร็จสิ้น การงานที่เป็นเสมือนแขนขาของมันฝรั่งบรรจุซอง มันฝรั่งทอดกรอบตามห้างศูนย์การค้ากลางเมืองใหญ่นั่นเอง มันต่อท่อน้ำเลี้ยงมาโผล่ถึงกลางภูลึก
ลุงดีแคะเพิ่งกลับมาจากขุดมัน กำลังง่วนอยู่กับกองไฟใต้หลังคาตองสาด
“ทำอะไรกิน พะตี” ผมถาม
แล้วมือพะตีก็ชูบางอย่างขึ้นให้ดู หน้าตาเหมือนหนูมีปีกเป็นพังผืด
“เคยกินมั้ย บ่างเบี้ย” แกถามแล้วยิ้มกว้างขวาง
ผมบอกไม่เคยกิน ลุงดีแคะจึงชวนกินข้าวเย็น
ลุงดีแคะเฝ้าขุดมันอะลูกับลูกเกือบ 1 อาทิตย์มาแล้ว เหมือนคนอื่นๆ ที่พักกันอยู่ตามเถียงไร่ถัดๆ กันไป ผมนึกไม่ออกว่าขุดมันอะลูต้องทำกันยังไง กระทั่งตอนสายวันต่อมา ลุงดีแดะชวนไปดูถึงไร่
ช่างไม่ต่างไปจากขุดมันสำปะหลัง ต่างไปตรงที่มันอะลูเหมือนไข่ยักษ์ จอบขุดระวังอย่างกับกลัวมันแตก มันเติบโตข้ามหน้าฝน และเก็บหัวกันหน้าหนาว ลุงดีแคะเล่าให้ฟังย่อๆ ว่า พื้นที่แถบนี้เมื่อก่อนเป็นไร่ฝิ่น จากนั้นมิชชันนารีก็เอาเมล็ดบัวตองมาหว่าน เกิดเป็นทุ่งบัวตองไปทั้งหุบ แต่ด้วยสภาพดินร่วนสีแดงบนไหล่เขา อากาศเย็น เหมาะกับการปลูกมันอะลู
มันอะลูจึงเข้ามาเมื่อ 5 ปีก่อน เริ่มต้นด้วยซื้อหัวเชื้อกิโลละ 100 บาท ปีนี้ ลุงดีแคะต้องใช้ 25 กิโล จ่ายเงินไป 3,000 บาท จากนั้นก็เลี้ยงหัวเชื้อให้งอก ก่อนเอาไปปลูก ซึ่งต้องเตรียมดิน ใส่ปุ๋ยเร่งหัวสูตร 13-13-21 ในราคากระสอบละ 600 กว่าบาท
จากนั้นก็ต้องจัดการกับระบบน้ำด้วยสายยาง ประคบประหงมอย่างใกล้ชิด กว่าจะได้หัวมันอะลูงามๆ ขายกันในราคาคัดเกรดชั่งกิโล
เกรด O(โอ) เป็นเกรดดีที่สุด หัวใหญ่ ไม่มีหนอนแมงไช ไม่มีตำหนิ ราคากิโลกรัมละ 10 บาท ยังไม่คิดค่าขนส่ง เกรดรองลงมาเป็นเกรด B หัวเล็กลง ไม่มีรอยตำหนิ ขายกันกิโลกรัมละ 5 บาท ไม่รวมค่าขนส่ง ส่วนเกรดที่เหลือเป็นเกรด C เกรดต่ำสุด หัวเล็กสุดและไม่มีรอยตำหนิ ราคากิโลกรัมละ 3 บาท หากต้องขนด้วยมอเตอร์ไซค์จากไร่ถึงรถกระบะ ต้องจ้างขนกันเที่ยวละ 10 บาท และค่าขนส่งด้วยรถกระบะไปส่งขายกลางเมืองเชียงใหม่ กิโลกรัมละ 2 บาท
หักลบคูณหาร ผลลัพธ์ออกมาพอคุ้มกับต้นทุนแบบไม่คิดค่าแรง
ผมตระเวนดูการเก็บมันอะลู อย่างกับเดินตากอากาศยังถิ่นแรงงานที่เป็นทั้งผู้ผลิต และผู้ขาย การกินอยู่อันจำกัดจำเขี่ย นอนเย็นกันข้างกองไฟคืนแล้วคืนเล่า จอบแล้วจอบเล่าขุดลงไปหาไข่ยักษ์ เดินทางไปถึงกลางเมืองเมื่อไหร่ ราคาสูงเทียบกับไข่เงินไข่ทองเลยทีเดียว เพียงคนปลูกไม่เคยได้ลิ้มรสไข่เงินหรือไข่ทอง
ผมถามถึงความหมายชื่อดีแคะ ลุงยิ้มมุมปาก ก่อนจะบอกว่าเมื่อตอนเป็นเด็กชอบร้องไห้ดังแคะๆๆ ก็เลยได้ชื่อดีแคะ “ชื่อความหมายดีเขาไม่อยากเลือก”
เหมือนจะบอกว่า รอยตำหนิเท่านั้น ทำให้คนอื่นจดจำร่องรอยไปชั่วชีวิต
มื้อข้าวเป็นบ่างเบี้ย กองไฟอุ่นๆ พร้อมพาเที่ยวชมไร่มันอะลู สู่สันเขาห้วยแม่คะนิงต้นน้ำสาขาน้ำแม่แจ่ม แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับการดั้นด้นไปสู่ที่เย็นที่ยาก
ถึงอย่างไรการมีชีวิตอยู่ที่นั่น ยังต้องดิ้นรน หนักยากกันไม่รู้สิ้น เพราะแทบไม่อาจหวังได้เลยว่า สักวันหนึ่งไข่มันอะลูจะเปลี่ยนเป็นไข่ทองคำจริงๆ
********************
(หมายเหตุ : ตีัิิพิมพ์ มกราคม 2551)