1.
“ก่อนไปนั่งเลื่อน โปรดฟังทางนี้และขอความร่วมมือปฏิบัติตามด้วย” เสียงของผู้ดูแลจัดการทริปหมาลากเลื่อนชาวกรีนแลนดิกประกาศเสียงดัง
“หนึ่ง-ในประเทศของเราไม่ได้เลี้ยงหมาเป็นสมาชิกในครอบครัวเหมือนประเทศของคุณ เราเลี้ยงหมาเพื่อใช้งาน หมาทุกตัวถูกฝึกมาเพื่อเป็นพาหนะในฤดูหนาว มันจะอยู่นอกบ้าน ไม่ได้อยู่ในบ้าน สอง-ห้ามให้อาหารหมา เล่นกับหมา ลูบหัวหมา ก่อนเจ้าของหมาจะอนุญาต สาม-หมาทุกตัวอยากแสดงความเป็นบอส ถ้าคุณกลัว มันจะได้ใจ ไม่ต้องกลัว ทำเฉยๆ กับพวกมันก็พอ สี่-ถ้าหมาตัวใดตัวหนึ่งกัดพวกคุณได้ หมาทุกตัวในทีมเดียวกันต้องถูกฆ่าทิ้งทั้งหมด”
“ทำไมต้องฆ่าหมาทั้งฝูงด้วย ในเมื่อมันกัดคนแค่ตัวเดียว” ใช่ มันน่าสงสัยน้อยเสียเมื่อไหร่
“หมาตัวที่กัดคนได้มันจะคิดว่าตัวเองเป็นบอส แล้วมันจะทำอีก หมาตัวอื่นในทีมจะทำตาม แล้วเราจะควบคุมมันไม่ได้เลย” เขาตอบ
“ทั้งๆ ที่คุณเป็นเจ้าของพวกมันเนี่ยนะ ควบคุมไม่ได้รึ”
“บอกแล้วว่าเราไม่ได้เลี้ยงหมาเป็นสมาชิกในบ้าน ไม่ได้ฝึกมันให้เชื่องแบบพูดรู้เรื่อง เซย์ฮัลโหล ขอมือ ยกมือให้ แต่เราเลี้ยงมันเป็นหมาใช้งาน เรามีวิธีฝึกให้มันทำงานให้เรา ถ้ามันใช้งานไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์”
2.
“หมดขวดนี้ผมว่าคุณไปพักผ่อนได้แล้วล่ะ พรุ่งนี้คุณต้องเดินขึ้นภูเขาแต่เช้า”
เด็กหนุ่มหลังเคาน์เตอร์หันมาบอกฉัน
แปลก ถ้าเป็นปกติฉันคงจะขุ่นนิดๆ โทษฐานที่มาล้ำเส้นพื้นที่ส่วนบุคคล แต่นอกจากไม่ขุ่นแล้วยังรู้สึกดี ค่าที่เด็กหนุ่มทำให้เห็นว่าเขาไม่ได้อยากขายเบียร์ซึ่งเป็นอาชีพของเขา เขาแค่ทำหน้าที่ในส่วนของเพื่อนสนทนาที่ดีเท่านั้น
จวนเที่ยงคืน พระอาทิตย์ยังแขวนตัวอยู่เหนือเส้นขอบฟ้าราวหนึ่งส่วนสามคืบ (วัดโดยเหยียดแขนออกไปจนสุด วางนิ้งโป้งไว้ที่เส้นขอบฟ้าวางนิ้วชี้ไว้ที่ดวงพระอาทิตย์) มันอยู่ระดับนั้นมาตั้งแต่ 5 โมงเย็น จากที่ค่อยๆ จมตัวลงทางทิศตะวันตก ดวงกลมจะเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันออกในระนาบเดิมจนถึงเวลาราวตีสอง จากนั้นจะค่อยๆ ทำองศาไต่ขึ้นไปกลางฟ้า แสงสีทองของพระอาทิตย์เที่ยงคืนสาดเข้ามาทางหน้าต่าง แดดแรงจนต้องสวมแว่นตาดำเวลาเดินถนนยามวิกาล ชัดเจนจนนั่งอ่านหนังสือหน้าบ้านได้โดยไม่ต้องพึ่งแสงไฟ
ฉันนั่งอยู่ในบาร์แห่งเดียวของเมืองเคเคอร์ตาร์ซวก (Qeqertarsuaq) เกาะดิสโก (Disko) ห่างจากเมืองอิลลูลิสแซต (Ilulissat) บนแผ่นดินใหญ่ของกรีนแลนด์ราวห้าชั่วโมงทางเรือ หรือราวหนึ่งชั่วโมงทางเฮลิคอปเตอร์ หรือราวหนึ่งวันทางหมาลากเลื่อนเฉพาะในฤดูหนาวที่น้ำทะเลกลายเป็นน้ำแข็ง เคเคอร์ตาร์ซวกมีประชากรราว 800 คน โอเค…น่าจะเรียกว่าหมู่บ้านมากกว่า บ้านส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้หลังเล็กๆ สีสันฉูดฉาด ทั้งแดง เขียว เหลือง ม่วง ชมพู ฯลฯ บ้านไม้สำเร็จรูปเหล่านี้เพิ่งมีขึ้นหลังจากที่กรีนแลนด์ตกเป็นอาณานิคมของเดนมาร์ก ท่อนไม้สำเร็จรูปส่งมาจากสแกนดิเนเวีย มีข้อตกลงเรื่องการใช้สีอาคาร อย่างเช่น สีแดงเป็นร้านค้า สถานีตำรวจใช้สีดำ โรงพยาบาลสีเหลือง การสื่อสารองค์กรโทรศัพท์ใช้สีเขียว โรงงานปลาใช้สีฟ้า ส่วนบ้านคนและสถานที่อื่นๆ ใช้สีม่วง สีส้ม ชมพู ฯลฯ หรือฟ้าเขียวเฉดต่างๆ ได้ตามอัธยาศัย อย่างบาร์แห่งนี้ก็ทาด้วยสีไลท์บลูสดสว่าง
ชายสูงวัยหน้าตาคุ้นเคยเหมือนคนที่พบได้ตามเทือกเขาหิมาลัยเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ว่างข้างๆ หันมาพูดกับฉันเป็นภาษากรีนแลนดิก ฉันหันไปมองยิ้มๆ ไม่ได้ใส่ใจนักนึกว่าแกอำเล่น จนแกพูดซ้ำอีกสองครั้งด้วยสีหน้าจริงจัง เด็กหนุ่มที่เคาน์เตอร์พูดอะไรกับแกบางอย่าง ฉันเอ่ยปากถามว่ามีอะไรเกิดขึ้น เด็กหนุ่มจึงหันมาบอก
“แกนึกว่าคุณเป็นกรีนแลนเดอร์ แกเลยขอให้คุณซื้อเบียร์เลี้ยงแก”
ฉันส่ายหน้าและหันไปสบตาชายสูงวัยเพื่อชัดเจนในเจตนา เด็กหนุ่มพูดต่อ
“ผมขอโทษ ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นแบบนี้ แกติดเหล้าและไม่มีรายได้เลย”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันเข้าใจ ทุกที่เป็นแบบนี้ทั้งนั้น”
คนกรีนแลนด์มีพื้นเพมาจากชนเผ่าอินูอิต ผู้ใช้ชีวิตล่องไปมาระหว่างแผ่นดินหมู่เกาะในแถบขั้วโลกเหนือ มีสายเชื่อมต่อกับคนไอนุที่ญี่ปุ่นและชาวเอสกิโมในแคนาดา ฉะนั้นไม่เป็นที่สงสัยว่าทำไมคนที่ไปจากประเทศเอเชียสายพันธุ์ใกล้เคียงพม่า ทิเบต จะมีลักษณะคล้ายกรีนแลนเดอร์ดั้งเดิม ปัจจุบันคนกรีนแลนด์มีเชื้อสายผสมระหว่างอินูอิตกับเดนมาร์ก เด็กหนุ่มหลังเคาน์เตอร์บาร์มีโครงหน้าส่วนผสมอันลงตัวของอินูอิตและเดนิช
“คุณรู้ไหม คนแก่กรีนแลนเดอร์ติดเหล้าเยอะมาก” เด็กหนุ่มชวนคุยต่อ
“ฆ่าตัวตายเยอะด้วยหรือเปล่า” ฉันเคยอ่านพบว่ากรีนแลนด์มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุดในโลก ราว 100 คนต่อ 100,000 คน มากกว่าอัตราการฆ่าตัวตายในญี่ปุ่นเท่าตัว ในทุกๆ สี่คนจะมีหนึ่งคนที่ยอมรับว่าเคยคิดฆ่าตัวตายอย่างน้อยหนึ่งครั้ง
“ฆ่าตัวตายส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่น ส่วนคนแก่จะติดเหล้า ในฤดูหนาวเราออกไปไหนไม่ได้เลย ทุกแห่งเต็มไปด้วยหิมะ เราจะไม่เห็นพระอาทิตย์เลยตลอดฤดูหนาว งานก็ไม่ได้ทำ ปลาก็จับไม่ได้ พอไม่มีอะไรทำ ผู้คนก็ดื่มเหล้า”
กรีนแลนด์เป็นประเทศที่ไม่มีระบบเชื่อมต่อกันระหว่างเมือง ในฤดูร้อนชาวเมืองไปมาหาสู่กันโดยเรือ ส่วนในฤดูหนาวต้องรอให้ทะเลแข็งเป็นน้ำแข็ง แล้วอาศัยนั่งหมาลากเลื่อน จากเกาะดิสโก้ไปแผ่นดินใหญ่ใช้เวลาประมาณหนึ่งวันเต็ม ทุกบ้านจึงมีเลื่อนจอดไว้หน้าบ้าน ไม่ต่างอะไรจากจักรยาน
ก่อนปี 1930 ไม่ปรากฏการฆ่าตัวตายในกรีนแลนด์ สถิติยังคงศูนย์อยู่แบบนั้น จนกระทั่งหลังยุค 1970 การฆ่าตัวตายเริ่มมีในหมู่วัยรุ่นและจำนวนสูงขึ้นเรื่อยๆ ที่น่าสงสัยคือ มีการฆ่าตัวตายในฤดูร้อนสูงกว่าฤดูหนาว
“แล้วพอถึงหน้าร้อนล่ะ เลิกดื่มมั้ย” ฉันถาม
“หน้าร้อนก็ฉลองครับ สว่างทั้งวันไม่มีกลางคืน บางคนนอนไม่หลับก็ดื่ม” โอเค สรุปว่าดื่มแค่สองวันเหมือนคนไทย คือดื่มในวันที่ฝนตก และดื่มในวันที่ฝนไม่ตก
“แล้วช่วงหน้าหนาว บาร์เปิดหรือเปล่า” ฉันถาม
“เปิดครับ หน้าหนาวนี้ขวดเหล้าขวดเบียร์กองสูงเป็นภูเขาเลย ดีกับธุรกิจ” เด็กหนุ่มพูดยิ้มๆ
เสียงเพลงร็อคคล้ายเสียงจากยุค 70s กีตาร์เด่น เบสแน่น จังหวะหนึบ เสียงร้องกังวานแบบร็อคแอนด์โรลล์ของนักร้องนำหญิงดังมาจากเวที วงดนตรีเล่นสดซ้อมเป็นเพลงสุดท้ายเสียงดังใช้ได้ ก่อนที่วงจะหยุดซ้อม นักร้องหญิงวัยราวยี่ 20 ต้นๆ หน้าคมสไตล์ผสมอินูอิต-เดนิช เดินมาทักฉันพร้อมบอกว่าวงจะเริ่มเล่นตอนตีหนึ่ง รอดูเธอด้วยนะ แล้วเดินออกจากบาร์
“กรีนแลนเดอร์ชอบดนตรีร็อคนะ ไม่เหมือนไอซ์แลนเดอร์” ฉันเปรย
“กรีนแลนเดอร์ชอบดนตรีง่ายๆ รักก็ไปต่อ ไม่รักก็จบ ตรงไปตรงมา ไม่อาร์ตเหมือนดนตรีไอซ์แลนดิก” เด็กหนุ่มพูดยิ้มๆ
“ใช่ ดนตรีไอซ์แลนดิกฟังยาก ต้องใช้จินตนาการเยอะ” ฉันเออออ เด็กหนุ่มหัวเราะ
เกือบถึงเวลาดนตรีสดโชว์ คนทยอยเข้ามามากขึ้น เสียงเพลงดังจนลำไส้ในช่องท้องเต้นตึบๆ ฉันลุกจากเก้าอี้เดินออกจากบาร์ เที่ยงคืนกว่าแล้วพระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน อุณหภูมิราวเลขตัวเดียวไม่หนาวไม่ร้อน แสงสีทองสาดต้องอาคารสีสด ทุกสรรพสิ่งนิ่งเงียบ บทสนทนาจากบาร์ยังคงก้องในหัว ยากจะจินตนาการว่าคนที่นี่กินอยู่ยังไงในฤดูหนาวอันยาวนานและมืดสลัว ลักษณะภูมิประเทศและอากาศที่ไม่อนุญาตให้ต้นไม้ขึ้นได้เลยสักต้น จะปลูกผักกินสักกำก็ต้องสร้างห้องกระจกเพื่อให้มันอยู่รอด ป่าที่มีเป็นป่าเขตทุนดรา ส่วนใหญ่จะห่มคลุมไปด้วยหิมะ มีฤดูร้อนเพียงสามเดือนเท่านั้น ที่ต้นไม้เล็กๆ จะงอกใหม่ให้เป็นอาหารของเหล่าสัตว์ จะกินเนื้อสัตว์ก็ต้องไปล่าสัตว์ป่าพวกเรนเดียร์ มัสอ็อกซ์ กระต่ายป่า ยิงนกทะเล ไม่ก็ลงเรือไปหาปลา ล่าแมวน้ำ ล่าวาฬ เป็นอาหาร หน้าหนาวก็ต้องเจาะน้ำแข็งเป็นเมตรเพื่อตกปลาในทะเล เงื่อนไขของชีวิตแต่ละท้องถิ่นความยากง่ายเปรียบเทียบกันไม่ได้เลยจริงๆ
วูบหนึ่งนึกถึงชายสูงวัยคนนั้น เบียร์ขวดหนึ่งราคาไม่เท่าไหร่เลย ถึงตอนนี้รู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ซื้อเผื่อแกมากกว่าที่จะคิดเสียดายเงิน แต่ก็สายไปเสียแล้ว
3.
รุ่งขึ้น ฉันและเพื่อนร่วมทริปไปเดินไต่ภูเขาด้านหลังเมืองไปประมาณ 4-5 ชั่วโมง จนถึงพื้นที่ราบกว้างใหญ่บนแนวภูเขา ซึ่งเป็นธารน้ำแข็งปกคลุมอยู่แบบนั้นชั่วนาตาปี ถึงจะเป็นฤดูร้อนแต่หิมะยังหนา ถ้าไม่ได้สวมรองเท้าโครงอะลูมิเนียมใหญ่สำหรับเดินบนหิมะเพื่อกระจายน้ำหนัก ทุกก้าวย่างจมลึกลงในหิมะจนถึงโคนขา หลายครั้งต้องเรียกเพื่อนมาช่วยขุดขาขึ้นจากหลุมหิมะ กว่าจะถึงกระท่อมที่หมาย ทั้งกางเกงรองเท้าก็ชุ่มน้ำ
ฝูงหมาลากเลื่อนยืนประจำตำแหน่งตามแนวเชือก เสียงเห่าหอนของบรรดาหมาวัยรุ่นเพิ่งเห่อเลื่อนคล้ายจะบอกว่าพวกมันพร้อมแล้ว ส่วนหมาที่ดูมีวุฒิภาวะหน่อยจะนั่งนิ่งเก็บเชิง
เลื่อนหนึ่งคันนั่งได้ 4-5 คนพร้อมเจ้าของผู้บังคับฝูงหมาที่คอยส่งเสียง ยิ่วๆๆ อาตุ๊กกั๊ก เสียงขากในลำคอตามสไตล์ภาษากรีนแลนดิก สั่งให้พวกมันวิ่ง หยุด ไปซ้าย ไปขวา หมาหัวหน้าฝูงจะมีประสบการณ์ที่สุด มันรู้ว่าจะวิ่งกระโดดข้ามเชือกไปดึงทางปีกซ้าย ไปกระตุ้นทางปีกขวา ในช่วงเวลาที่ลูกทีมไม่ได้ดั่งใจ โดยที่เชือกไม่พันกันได้อย่างฉลาด
แม้จะสวมชุดหนังแมวน้ำก็ยังรู้สึกว่าความหนาวแทรกเข้าไปข้างใน ถ้าไม่ได้ชุดแมวน้ำอาจจะแข็งตายไปแล้วก็ได้ ขณะที่เหล่าหมาห้อตะบึงไปข้างหน้ามองไปทางไหนก็มีแต่สีขาว เข้าใจแล้วว่าทำไม Eric the Red ไวกิ้งที่ถูกเนรเทศออกจากไอซ์แลนด์ล่องเรือมาพบเกาะใหญ่ในปี 982 ถึงกลับไปบอกคนอื่นว่าพบ ‘กรีนแลนด์’ ไม่เช่นนั้นเรือจำนวน 25 ลำจะพร้อมใจกันออกจากท่าที่ไอซ์แลนด์ล่องไปหาดินแดนใหม่หรือ…ก็คงไม่ ในจำนวนนั้นมีเพียง 14 ลำที่ขึ้นฝั่งได้ ที่เหลือสาบสูญไปกับคลื่นในมหาสมุทร นั่นเป็นจุดเริ่มต้นการลงหลักปักฐานของไวกิ้งผู้มาใหม่ มาอยู่ร่วมกับคนอินูอิตที่อยู่มาก่อน
กรีนแลนด์เป็นประเทศปกครองตนเองภายใต้การปกครองของเดนมาร์ก การเข้าถึงประเทศกรีนแลนด์ต้องมีวีซ่าเชงเกนที่ขอผ่านสถานทูตเดนมาร์ก และต้องมีคำว่า Valid for Greenland ถึงจะขึ้นฝั่งกรีนแลนด์ได้ ธุรกิจใหญ่ในกรีนแลนด์ดำเนินงานโดยคนเดนมาร์ก ฉันไม่รู้ลึกซึ้งว่าระหว่างอินูอิตผู้อยู่ก่อนกับเดนิชผู้มาใหม่และเป็นผู้ปกครองจะมีความขัดแย้งอะไรกันหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้คือพวกเขาอยากปกครองตัวเองไม่อยู่ภายใต้ใคร
นั่นคือความต้องการพื้นฐานขั้นต่ำที่มนุษย์ทุกคนต้องการจริงๆ