จรรยาบรรณอาจารย์อยู่ตรงไหน

ภาพประกอบ: Shhhh

ในยุคที่ไร้ขื่อแป บ้านเมืองตกอยู่ใต้การปกครองด้วยระบอบอำนาจบาตรใหญ่ กฎหมายอยู่ในเงื้อมมือคนพาล กติกาที่เราเคยมีร่วมกันถูกฉีกทึ้งทำลาย แม้กระทั่งในรั้วมหาวิทยาลัยอันทรงเกียรติ บุคคลผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นครูอาจารย์ยังปฏิบัติต่อศิษย์เยี่ยงอนารยชน

แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่า เราจะอยู่ร่วมกันต่อไปอย่างไร ในเมื่อสภาพบรรยากาศและบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาอันได้ชื่อว่าเป็นแหล่งบ่มเพาะทางปัญญายังตกต่ำได้ถึงเพียงนี้

ถ้าเรายังเชื่อว่า สิทธิเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน เป็นสิ่งที่พึงปรารถนาในสังคมอารยะ กรอบกติกาในสังคมย่อมเป็นสิ่งที่ทุกคนพึงเคารพ ตรงกันข้าม การละเมิดสิทธิผู้อื่นด้วยการใช้ความรุนแรงและอำนาจบาตรใหญ่ ย่อมควรได้รับการประณามและลงโทษ

จากการสำรวจระเบียบข้อบังคับในสถาบันอุดมศึกษาหลายแห่ง ล้วนมีเงื่อนไขให้บุคลากรและคณาจารย์ยึดถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด รวมถึงมีข้อกำหนดว่าด้วยบทลงโทษอย่างชัดเจนหากมีผู้ใดฝ่าฝืน เว้นเสียแต่ว่ากฎเกณฑ์ข้อบังคับนั้นจะเสื่อมความหมายไปเสียแล้ว


พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2547

มาตรา 7 ผู้ที่จะเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม (ข) (4) เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดี

มาตรา 38 ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ต้องสนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยด้วยความบริสุทธิ์ใจ

มาตรา 41 ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาต้องประพฤติเป็นแบบอย่างที่ดี มีความสุภาพเรียบร้อย วางตนให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมอันดีงามของสังคมไทย อุทิศเวลาให้กับทางราชการอย่างเต็มที่ รักษาความสามัคคี ช่วยเหลือเกื้อกูลในการปฏิบัติหน้าที่ราชการระหว่างผู้ร่วมปฏิบัติราชการด้วยกัน

การกลั่นแกล้ง การดูหมิ่น เหยียดหยาม กดขี่ ข่มเหง ผู้ร่วมปฏิบัติราชการ นักเรียน นิสิต นักศึกษา หรือประชาชนอย่างร้ายแรง เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง

มาตรา 44 ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาต้องรักษาชื่อเสียงของตนและรักษาเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ราชการของตนมิให้เสื่อมเสีย โดยไม่กระทำการใดๆ อันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว

มาตรา 45 ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาต้องปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณตามที่สภาสถาบันอุดมศึกษากำหนด

จรรยาบรรณที่กำหนดขึ้น จะกำหนดว่าการประพฤติผิดจรรยาบรรณในเรื่องใดเป็นความผิดวินัยหรือเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงด้วยก็ได้

มาตรา 46 ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาผู้ใดประพฤติผิดจรรยาบรรณที่เป็นความผิดวินัยหรือผิดวินัยอย่างร้ายแรง ให้ดำเนินการทางวินัยตามพระราชบัญญัตินี้ ถ้าการประพฤติผิดจรรยาบรรณนั้นไม่เป็นความผิดวินัย ให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการตักเตือน สั่งให้ดำเนินการให้ถูกต้องภายในเวลาที่กำหนด หรือทำทัณฑ์บน

ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำตักเตือน ดำเนินการให้ถูกต้อง หรือฝ่าฝืนทัณฑ์บน ให้ถือว่าเป็นการกระทำผิดวินัย

หลักเกณฑ์และวิธีการในการตักเตือน การมีคำสั่ง หรือการทำทัณฑ์บนตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามข้อบังคับที่สภาสถาบันอุดมศึกษากำหนด

มาตรา 48 โทษทางวินัยมี 5 สถาน คือ

(1) ภาคทัณฑ์

(2) ตัดเงินเดือน

(3) ลดเงินเดือน

(4) ปลดออก

(5) ไล่ออก

หมวด 6 การดำเนินการทางวินัย

มาตรา 49 ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาผู้ใดถูกกล่าวหาโดยมีหลักฐานตามสมควรว่าได้กระทำผิดวินัย หรือความปรากฏต่อผู้บังคับบัญชาว่าข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาผู้ใดกระทำผิดวินัย ให้ผู้บังคับบัญชาตั้งคณะกรรมการสอบสวนโดยพลัน และต้องสอบสวนให้แล้วเสร็จโดยไม่ชักช้า เว้นแต่เป็นกรณีการกระทำผิดวินัยที่มิใช่ความผิดวินัยอย่างร้ายแรง หรือเป็นกรณีความผิดที่ปรากฏชัดแจ้งตามที่ ก.พ.อ. (คณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา) กำหนด จะไม่ตั้งคณะกรรมการสอบสวนก็ได้

มาตรา 52 ให้กรรมการสอบสวนเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา และให้มีอำนาจเช่นเดียวกับพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเพียงเท่าที่เกี่ยวกับอำนาจและหน้าที่ของกรรมการสอบสวน

จรรยาบรรณของอาจารย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

มหาวิทยาลัยเป็นสถาบันแสวงหาความรู้ สร้างสรรค์ จรรโลง ถ่ายทอดเทคโนโลยีและประยุกต์วิชาการ ตลอดจนการบ่มเพาะบัณฑิตเพื่อประโยชน์สุขของมวลมนุษย์และสังคม แต่ความรู้และบัณฑิตที่ปราศจากคุณธรรมกำกับย่อมไม่เป็นที่พึงประสงค์ เพราะขาดความดีงามและเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์โทษทั้งปวง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีปณิธานเพื่อสร้างสมและส่งเสริมจรรยาบรรณ จึงเห็นสมควรประกาศจรรยาบรรณของอาจารย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและแนวปฏิบัติดังต่อไปนี้ (อาทิ)

ข้อ 1 อาจารย์พึงอุทิศเวลาและเสียสละให้กับงานสอนด้วยความรับผิดชอบ

– ให้เวลาแก่นิสิตอย่างเต็มที่

– ให้เกียรติและปฏิบัติต่อศิษย์อย่างวิญญูชน

– มีจิตใจกว้างยอมรับความคิดเห็นของศิษย์และผู้ร่วมงาน

– ปฏิบัติต่อศิษย์แบบกัลยาณมิตร

– ให้ความยุติธรรมและเสมอภาคแก่ศิษย์

ข้อ 3 อาจารย์พึงช่วยเหลือและปฏิบัติต่อศิษย์อย่างเป็นธรรม

– ส่งเสริมให้อาจารย์มีความรับผิดชอบเกื้อกูลต่อศิษย์ รักษาความลับของศิษย์

– สร้างความรู้สึกเป็นมิตรเป็นที่พึ่งพาและไว้วางใจของศิษย์แต่ละคนและทุกคน

– ตอบสนองข้อเสนอของศิษย์และการกระทำของศิษย์ในทางสร้างสรรค์ ตามสภาพปัญหา ความต้องการ และศักยภาพของศิษย์แต่ละคนและทุกคน

– เสนอแนะแนวทางพัฒนาศิษย์แต่ละคนและทุกคน ตามความถนัด ความสนใจ และศักยภาพของศิษย์

– รักและเมตตาศิษย์ โดยให้ความเอาใจใส่ช่วยเหลือส่งเสริมให้กำลังใจแก่ศิษย์โดยเสมอหน้า

– ละเว้นการกระทำที่ทำให้ศิษย์เกิดความกระทบกระเทือนต่อจิตใจ สติปัญญา อารมณ์ และสังคมของศิษย์

– ละเว้นการกระทำที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและร่างกายของศิษย์

– ละเว้นการกระทำที่สกัดกั้นพัฒนาการทางสติปัญญา อารมณ์ จิตใจ และสังคมของศิษย์

ข้อ 4 อาจารย์พึงเป็นแบบอย่างที่ดีของศิษย์

– พึงปฏิบัติตนเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีสอดคล้องกับคำสอนของตนและวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม

– ส่งเสริมและผดุงเกียรติแห่งความเป็นอาจารย์

– ส่งเสริมความก้าวหน้าซึ่งกันและกันด้วยเหตุผล และไม่เล่นพรรคเล่นพวก

– ปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่อาจารย์

– พูดจาสุภาพและสร้างสรรค์โดยคำนึงถึงผลที่จะเกิดขึ้นแก่ศิษย์และสังคม

– พึงปฏิบัติตนให้เป็นที่เชื่อถือของคนทั่วไป

ข้อ 7 อาจารย์พึงสร้างและส่งเสริมความสามัคคีในหมู่คณะ และมีส่วนร่วมในการพัฒนามหาวิทยาลัยโดยส่วนรวม

– ส่งเสริมและสร้างความสามัคคีในกลุ่มอาจารย์และนิสิต

– รักษาชื่อเสียงและประโยชน์ของมหาวิทยาลัย

ข้อบังคับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่าด้วยจรรยาบรรณของบุคลากรและอาจารย์ พ.ศ. 2551 แก้ไขเพิ่มเติมถึงปัจจุบัน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554

ส่วนที่ 5 จรรยาบรรณของอาจารย์

ข้อ 32 จรรยาบรรณในการปฏิบัติตนต่อนักศึกษา อาจารย์พึงเป็นที่พึ่งและแบบอย่างที่ดีแก่นักศึกษา ดังนี้

(3) ปฏิบัติต่อนักศึกษาด้วยความเสมอภาค ยุติธรรม ให้เกียรติซึ่งกันและกัน

(5) มีความเมตตา ให้อภัย เอาใจใส่ และให้กำลังใจแก่นักศึกษาอย่างเต็มกำลังความสามารถ

(6) ประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดี และวางตัวให้เหมาะสมกับการเป็นผู้ประสาทความรู้แก่นักศึกษา

 

หลักเกณฑ์และวิธีการลงโทษทางจรรยาบรรณ

ข้อ 49 การลงโทษทางจรรยาบรรณ

การลงโทษทางจรรยาบรรณให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาและตามข้อบังคับนี้

ข้อ 50 การตักเตือน

ในกรณีที่ผู้บังคับบัญชาเห็นควรลงโทษตักเตือน ให้สั่งลงโทษเป็นหนังสือหรือตักเตือนด้วยวาจา โดยแจ้งให้ผู้กระทำความผิดจรรยาบรรณได้ทราบด้วยว่าการกระทำใดที่เป็นความผิดจรรยาบรรณ และให้เก็บรวมคำสั่งหรือบันทึกการตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ในสำนวนการสอบสวน

ข้อ 51 การสั่งให้ดำเนินการให้ถูกต้อง

ในกรณีสั่งให้ดำเนินการให้ถูกต้องภายในเวลาที่กำหนด ให้ผู้บังคับบัญชาทำเป็นหนังสือ โดยระบุการกระทำที่เป็นความผิดจรรยาบรรณและสิ่งที่ประสงค์ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง พร้อมกับกำหนดระยะเวลาในการปฏิบัติให้ถูกต้องไว้ด้วย และให้เก็บรวมไว้ในสำนวนการสอบสวน

ข้อ 52 การทำทัณฑ์บน

ในกรณีการทำทัณฑ์บน ให้ทำเป็นหนังสือแสดงว่าผู้ถูกลงโทษกระทำความผิดจรรยาบรรณในกรณีใด ตามข้อใด และให้ผู้บังคับบัญชาเก็บรวมไว้ในสำนวนการสอบสวน

ข้อ 53 การบันทึกในทะเบียนประวัติบุคคล

เมื่อได้ดำเนินการลงโทษทางจรรยาบรรณตามข้อ 50 ข้อ 51 ข้อ 52 แล้ว ให้บันทึกไว้ในทะเบียนประวัติบุคคลด้วย

ข้อ 54 สภาพบังคับกรณีฝ่าฝืนโทษทางจรรยาบรรณ

บุคลากรผู้ใดถูกลงโทษทางจรรยาบรรณข้อใดแล้ว ไม่ปฏิบัติตามคำตักเตือน ดำเนินการให้ถูกต้อง หรือฝ่าฝืนทัณฑ์บน ให้ถือว่าเป็นการกระทำผิดวินัย

ข้อบังคับมหาวิทยาลัยมหิดล ว่าด้วยจรรยาบรรณบุคลากรและนักศึกษาของมหาวิทยาลัยมหิดลและการดำเนินการทางจรรยาบรรณ

ข้อ 6 (3) เป็นผู้มีศีลธรรมอันดีและประพฤติตนให้เหมาะสมกับการเป็นบุคลากรของมหาวิทยาลัย

ข้อ 9 (1) ให้บริการแก่ผู้รับบริการ หรือนักศึกษาและสังคมอย่างเต็มกำลังความสามารถ ด้วยความเป็นธรรม เอื้อเฟื้อ มีน้ำใจ และใช้กิริยาวาจาที่สุภาพ

โทษทางจรรยาบรรณ

ข้อ 13 บุคลากรมหาวิทยาลัยที่ประพฤติผิดจรรยาบรรณ (6) หากก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ทรัพย์สิน เกียรติ และชื่อเสียงมหาวิทยาลัย ให้ถือเป็นการกระทำผิดจรรยาบรรณอย่างร้ายแรงและเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง

การดำเนินการทางจรรยาบรรณ

ข้อ 19 เมื่อปรากฏว่า บุคลากรมหาวิทยาลัยหรือนักศึกษาผู้ใดประพฤติผิดจรรยาบรรณและพฤติการณ์ของการกระทำผิดจรรยาบรรณดังกล่าว เป็นการกระทำผิดวินัยหรือวินัยร้ายแรง ให้ผู้บังคับบัญชาหรือคณบดีแล้วแต่กรณี ดำเนินการทางวินัยกับบุคลากรมหาวิทยาลัยหรือนักศึกษาผู้นั้น ตามกฎหมายหรือข้อบังคับที่เกี่ยวข้องต่อไป

จรรยาบรรณคณาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ข้อ 7 อาจารย์พึงมีคุณธรรม มีความเมตตากรุณา มีความยุติธรรม และไม่แสวงหาผลประโยชน์จากศิษย์และหน้าที่โดยมิชอบ

ข้อ 8 อาจารย์พึงรักษาและส่งเสริมความสามัคคีในหมู่คณะ ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน มีส่วนร่วมในการพัฒนากิจการต่างๆ ของมหาวิทยาลัย และมุ่งประโยชน์ต่อส่วนรวมเป็นสำคัญ

ข้อ 9 อาจารย์พึงรักษาความสัมพันธ์กับศิษย์อย่างกัลยาณมิตร เป็นที่พึ่งแก่ศิษย์ สนับสนุนให้ศิษย์มีความก้าวหน้าทางวิชาการอยู่เสมอ

ข้อบังคับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ว่าด้วยจรรยาบรรณของผู้ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัย พ.ศ. 2559

ข้อ 8 ผู้ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัยพึงเป็นผู้มีศีลธรรมอันดี และประพฤติตนให้เหมาะสม

ข้อ 9 ผู้ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัยพึงมีทัศนคติที่ดี และพัฒนาตนเองให้มีคุณธรรม จริยธรรม

ข้อ 18 ผู้ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัยพึงให้บริการต่อนักศึกษา ประชาชน และผู้รับบริการอย่างเต็มกำลังความสามารถ ด้วยความเป็นธรรม เอื้อเฟื้อ มีน้ำใจ และใช้กิริยาวาจาที่สุภาพอ่อนโยน

การดำเนินการทางจรรยาบรรณ

ข้อ 22 ให้มีคณะกรรมการจรรยาบรรณคณะหนึ่ง มีอำนาจหน้าที่พิจารณาและวินิจฉัยการกระทำผิดจรรยาบรรณของบุคลากรมหาวิทยาลัย และจัดให้มีมาตรการส่งเสริมจรรยาบรรณแก่ผู้ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัย

ข้อ 25 ผู้ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัยผู้ใดถูกกล่าวหา โดยมีหลักฐานตามสมควรว่าได้ประพฤติผิดจรรยาบรรณหรือความปรากฏต่อผู้บังคับบัญชาว่าได้ประพฤติผิดจรรยาบรรณ หรือคณะกรรมการจรรยาบรรณเห็นสมควรสอบสวน ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าคณบดีหรือเทียบเท่าขึ้นไป มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางจรรยาบรรณ เพื่อพิจารณาเสนอความเห็น แล้วแจ้งคำสั่งให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบโดยเร็ว

ข้อ 26 เมื่อมีคำวินิจฉัยของคณะกรรมการจรรยาบรรณว่า ผู้ใดประพฤติผิดจรรยาบรรณ ให้ผู้บังคับบัญชาทำการตักเตือน หรือสั่งให้ดำเนินการให้ถูกต้องภายในเวลาที่กำหนด หรือให้ทำทัณฑ์บนตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการจรรยาบรรณ หากผู้ประพฤติไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำผิดวินัย

สิทธิทางกายและใจ

แม้ว่าในมหาวิทยาลัยหลายแห่งอาจไม่ได้ระบุถึงรายละเอียดความผิดจรรยาบรรณฐานใช้กำลังทำร้ายร่างกาย หรือการมีพฤติกรรมอันเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายและจิตใจของลูกศิษย์ ทว่าในประมวลกฎหมายอาญา ได้มีบทบัญญัติไว้อย่างชัดเจน และสามารถนำมาบังคับใช้ได้หากเกิดกรณีดังกล่าว

ไล่มาตั้งแต่ความผิดลหุโทษ อาทิ การแตะเนื้อต้องตัวบุคคลโดยไม่มีอำนาจ หรือการใช้กำลังผลัก ต่อย ตบ เตะ ถีบ ย่อมถือเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ตามมาตรา 391 บัญญัติว่า “ผู้ใดใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นโดยไม่เป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

แต่หากมีการใช้กำลังในระดับที่รุนแรงขึ้น มาตรา 295 บัญญัติว่า “ผู้ใดทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย หรือจิตใจของผู้อื่นนั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

และถ้าหนักกว่านั้น คือ ความผิดฐานทำร้ายร่างกายถึงอันตรายสาหัส มาตรา 297 แห่งประมวลกฎหมายอาญา บัญญัติว่า “ผู้ใดกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำร้ายรับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี”

หากกฎหมายและกติกาบ้านเมืองยังคงเชื่อถือได้ ผู้กระทำย่อมได้รับผลจากการกระทำ เว้นเสียแต่กระบวนการยุติธรรมจะหมดสิ้นความเป็นธรรม

Author

กองบรรณาธิการ
ทีมงานหลากวัยหลายรุ่น แต่ร่วมโต๊ะความคิด แลกเปลี่ยนบทสนทนา แชร์ความคิด นวดให้แน่น คนให้เข้ม เขย่าให้ตกผลึก ผลิตเนื้อหาออกมาในนามกองบรรณาธิการ WAY

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า