ณ หุบเขามืดมิดเงียบงัน สิ่งมีชีวิตตนหนึ่งร่วงหล่นจากท้องฟ้าพร้อมอัญมณีเรืองแสงสีแดง ทันทีที่สิ่งมีชีวิตตนนั้นสัมผัสพื้นดิน เขาก็หายวับไร้ร่องรอย ทว่าอัญมณีก้อนนั้นยังส่องแสงประกาย จนสร้างความสงสัยแก่ผู้พบเห็น แสงนั่นทำให้ใครบางคนไต่ปีนเนินเขาขึ้นไปค้นหาต้นกำเนิดของแสงสว่าง หากแต่ก็ถูกปัดกระเด็นโดยยักษ์สีฟ้าครั้งแล้วครั้งเล่า
ณ หุบเขามืดมิดเงียบงันนั้น แท้จริงคือใต้โต๊ะของยักษ์สีฟ้า 5 ตน ซึ่งครอบครอง (และกัดกิน) แสงสว่างเรืองรองจากอัญมณีเม็ดมโหฬาร และแน่นอนว่าอัญมณีที่ตกใต้โต๊ะนั้น เป็นเพียงเสี้ยวของเศษจากการกินอย่างตะกรุมตะกรามมูมมามของยักษ์ ซึ่งมีเพียงพวกมันที่ไม่ต้องทนความหนาวเหน็บเฉกเช่นสิ่งมีชีวิตเบื้องล่าง ปัญหาเดียวของยักษ์ทั้งห้าคือการสรรหากลวิธีต่างๆ เพื่อไล่สิ่งมีชีวิตตัวจ้อยเหล่านี้ออกไปจากโต๊ะอาหาร
ฉีดน้ำ พ่นควัน ไล่ทุบ ไล่กระทืบ ฉีดน้ำ พ่นควัน ไล่ทุบ ไล่กระทืบ และฉีดน้ำ พ่นควัน ไล่ทุบ ไล่กระทืบ
สิ่งมีชีวิตตัวเล็กตัวน้อยจำนวนมากล้มตาย แต่ก็ยังมีอีกมากมายที่กำเนิดเกิดใหม่ และมันมีจำนวนมากพอที่จะทำให้ยักษ์ทั้ง 5 ประสบความปราชัย แล้วแสงสว่างก็หวนคืนสู่บรรณพิภพ เศษซากหลักฐานจากยุคดึกดำบรรพ์ค่อยๆ ปรากฏรับไออุ่นจากฟ้าวันใหม่
รั้วลวดหนาม ตู้คอนเทนเนอร์ เป็ดยาง โบว์ขาว ประตูแดง เก้าอี้เหล็กพับ บ่วงแขวนคอ มิเตอร์แท็กซี่ โทรโข่ง และหมุดทองเหลือง
มันปรากฏอยู่ทั่วทั้งบริเวณหุบเขา ที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมืดมิดและเหน็บหนาว แล้วดวงดาวก็ส่องแสงสว่างให้กับท้องฟ้าและผืนดิน ที่นั่นต้นกล้ากำลังงอกเงยด้วยแสงแห่งศักราชใหม่ และสิ่งมีชีวิตมากมายไม่ต้องผจญกับภัยความแห้งแล้งหนาวเหน็บนั้นอีกต่อไป
ข้างต้นเรื่องราวคร่าวๆ จาก MV เพลง ‘อิสรภาพ…ไม่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ’ ของ Greasy Cafe ที่ปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2564
และนั่นเป็นเพียงคำอธิบายผ่านสายตาของผู้เขียน ซึ่งเมื่อคลุกเคล้าเข้ากับเนื้อเพลงและเสียงร้องแหบแห้งของ เล็ก-อภิชัย ตระกูลเผด็จไกร หรือ Greasy Cafe นับว่าเป็นบทบรรเลงปัจฉิมบทของโลกยุคหนึ่งก็ไม่ปาน
เราจะร่วมกันร้อง และจะไม่ยอมให้ใครทำร้ายเราได้อีก ไม่มีชัยชนะ อิสรภาพไหนเลย จะเกิดขึ้นโดยบังเอิญ
อินโทรและท่อนฮุคของเพลงทำให้เรานึกถึงหนังสือ มันทำร้ายเราได้แค่นี้แหละ ของ กอล์ฟ-ภรณ์ทิพย์ มั่นคง อดีตนักโทษคดี 112
มันอาจเหน็ดเหนื่อยหัวใจ ปลายทางอาจอยู่แสนไกล แต่มันไม่ไกลเกินถึง
สิ้นสุดเสียงร้องท่อนสุดท้ายพร้อมกับท้องฟ้าเปลี่ยนสีใน MV สัญลักษณ์ทางการเมืองก็ปรากฏออกมาอย่างโต้งๆ ซึ่งในสายตาของผู้เขียน มันชวนให้นึกถึงคน เหตุการณ์ ทั้งผ่านประวัติศาสตร์ทางการเมือง และเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นวานนี้
รั้วลวดหนาม/ตู้คอนเทนเนอร์ – ชวนให้นึกถึงการชุมนุมของคนรุ่นใหม่
เป็ดยาง – สัญลักษณ์การเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มราษฎร
โบว์ขาว – การแสดงออกทางการเมืองของนักเรียน
ประตูแดง – จากเหตุการณ์ฆาตกรรม 2 ช่างไฟฟ้า ชนวนเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
เก้าอี้เหล็กพับ/บ่วงแขวนคอ – เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
มิเตอร์แท็กซี่ – รถแท็กซี่ลุงนวมทอง ไพรวัลย์ หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
หมุดทองเหลือง – หมุดคณะราษฎร
สิ่งเหล่านี้ที่ปรากฏใน MV ถูกพูดถึงครั้งแล้วครั้งเล่าผ่านการเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยนับแต่ปี 2563 เป็นต้นมา และชัดแจ้งว่าบทเพลงนี้พูดถึงการต่อสู้ ต่อกร ต่อต้าน กับระบอบบางระบอบ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับหลักการทางประชาธิปไตย
ท้องฟ้าเปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิม ไม่มีหยาดฝน เมฆลุกเป็นไฟ ท่วมฟ้า พื้นดินกลบคน จมกลืนน้ำตา ถูกเหยียบเย้ยตา ให้เมินความจริงที่เห็นอยู่ ถ้าเพียงแค่เราจะลุกขึ้นมา ร่วมเปิดปล่อยฟ้าที่โดนใครปิดเอาไว้ เปิดทางให้แสง ไล่ความมืดไป ให้ความกล้าหาญ รุกโชนในใจ ของทุกคน