ปัจจุบัน ปัญหาประชากรทั่วโลกที่ลดน้อยลง และอัตราการเกิดต่ำอย่างไม่เคยมีมาก่อน กำลังเป็นปัญหาที่น่ากลัดกลุ้มในหลายประเทศ เช่น ประเทศญี่ปุ่นที่ปัจจุบันมีประชากรอยู่ที่ 125 ล้านคน และคาดการณ์ว่าเมื่อปีที่แล้วมีอัตราการเกิดอยู่ที่ 800,000 คนเท่านั้น ถ้าเทียบกับในช่วงยุค 1970 ที่มีอัตราการเกิดมากกว่า 2 ล้านคนต่อปี หรือประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีนที่อัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรต่ำที่สุดในรอบ 60 ปี ซึ่งปัจจุบันมีประชากรอยู่ที่ราว 1,400 ล้านคน โดยมีอัตราการเกิดต่ำลงอยู่ที่ 6.77 คนต่อประชากร 1,000 คนเท่านั้น
นอกจากนี้ ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของสหรัฐอเมริกายังแสดงให้เห็นว่า อัตราการเติบโตของประชากรสหรัฐเติบโตช้าที่สุดในรอบศตวรรษอีกด้วย
ปัญหาดังกล่าว หากมองในมุมของรัฐแต่ละรัฐ ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดี เพราะอัตราการเกิดที่ต่ำ ย่อมหมายถึงทรัพยากรมนุษย์ของรัฐในอนาคตจะน้อยลงตามไปด้วย ซึ่งส่งผลกระทบต่อเนื่องในอีกหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ กำลังแรงงาน การขาดแคลนนวัตกรรม และอีกมากมาย
แต่หากมองในแง่ผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ อัตราการเกิดต่ำ และจำนวนประชากรที่น้อยลง ดูเหมือนจะเป็นสัญญาณที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม เพราะปัญหาโลกรวนและสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง ดูจะสัมพันธ์กันกับจำนวนประชากรด้วยเช่นกัน
คำถามที่สำคัญคือ การจะหยุดยั้งปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ตัวเลือกที่ดีที่สุดคือปล่อยให้อัตราการเกิดลดต่ำลงเช่นนี้ ใช่หรือไม่?
คำตอบคือ ไม่จำเป็น อานู รามาซวามี (Anu Ramaswami) ศาสตราจารย์จาก Civil and Environmental Engineering, Princeton Institute for International and Regional Studies เธอย้ำให้เรากลับมามองที่ข้อมูลพื้นฐาน ว่าปัญหาสภาพภูมิอากาศไม่ได้มีสาเหตุโดยตรงมาจากจำนวนประชากรที่มากขึ้น แต่สาเหตุมาจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากเชื้อเพลิงฟอสซิลเพิ่มขึ้นต่างหาก แม้นักรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมอาจโต้เถียงได้ว่า จำนวนประชากรที่มากขึ้นก็ย่อมส่งผลให้การปล่อยก๊าซเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย แต่เธอก็ยืนยันอีกว่า ไม่จำเป็นว่ามันจะสัมพันธ์กันเสมอไป
หากเราใช้เกณฑ์จำนวนประชากรมาตัดสิน สหรัฐอเมริกามีจำนวนประชากรแค่ 4.5 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมดบนโลกนี้เท่านั้น แต่ข้อมูลจาก Global Carbon Project นับตั้งแต่ปี 1959 พบว่า สหรัฐได้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากถึงประมาณ 21.5 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับประเทศทั่วโลก และหากเรานับตั้งแต่ปี 1959 จนถึงปี 2020 จะเห็นว่าสหรัฐเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดในโลก หรือมากกว่าจีนซึ่งมีประชากรสูงสุดเสียอีก
หากเปรียบเทียบกับเคนย่า ซึ่งมีประชากร 55 ล้านคน มากกว่ารัฐไวโอมิงของสหรัฐกว่า 95 เท่า แต่ไวโอมิงกลับปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าเคนย่าถึง 3.7 เท่าเลยทีเดียว และทั้งๆ ที่เคนย่ามีอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ไม่ได้สูงอะไร แต่กลับต้องเผชิญกับภาวะภัยแล้ง ซึ่งเป็นผลพวงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยที่ตนเองอาจไม่ใช่เป็นผู้ก่อ
ส่วนในทวีปแอฟริกาซึ่งมีประชากรรวมกันคิดเป็น 16.7 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งโลก แต่กลับปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
สิ่งที่นักวิจัยด้านสภาพภูมิอากาศหลายๆ คนชวนมองก็คือ มายาคติเกี่ยวกับประชากรที่ล้นเกิน อาจทำให้เราหลงประเด็นเมื่อถกกันเรื่องปัญหาสภาพภูมิอากาศโลก บิล แฮร์ (Bill Hare) นักวิเคราะห์ด้านภูมิอากาศกล่าวไว้ว่า “คำถามสำคัญไม่ใช่เรื่องจำนวนประชากร แต่เป็นลักษณะการบริโภคมากกว่า”
ประเทศมหาอำนาจที่ร่ำรวย แม้เทียบสัดส่วนจำนวนประชากรของโลกอาจไม่ได้สูงนัก แต่กลับมีอัตราการบริโภคทรัพยากรและพลังงานที่สูงมาก จนเป็นตัวการสำคัญในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และหากกล่าวอย่างเฉพาะเจาะจงไปอีก ตัวการที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมหาศาลอาจหมายถึง ‘กลุ่มคนผู้ร่ำรวย’ ซึ่งก็คือคนเพียงหยิบมือในแต่ละประเทศเท่านั้น
แคทเธอรีน ฮายโฮ (Katharine Hayhoe) นักวิทยาศาสตร์จาก The Nature Conservancy กล่าวว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของคนที่จนที่สุดบนโลกนี้มีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียงแค่ 7 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่ประเทศที่มีคนจนเหล่านี้อยู่จำนวนมาก เช่น มาลาวี โมซัมบิก เซเนกัล อัฟกานิสถาน กลับเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบมหาศาลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก และก็เช่นกัน ที่คนร่ำรวยจำนวนน้อยในประเทศเหล่านี้ ก็มีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมหาศาลสู่โลก ไม่ใช่เหล่าคนยากจนแต่อย่างใด
ฮายโฮสรุปว่า ประชากร 80 เปอร์เซ็นต์บนโลกนี้ มีส่วนเพียงเล็กน้อยในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการชี้นิ้วไปยังปัญหาประชากรนั้น อาจไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องนัก และมายาคติประชากรล้นเกิน อาจทำให้เราชี้นิ้วไปโทษใครอย่างผิดฝาผิดตัวได้ และบางครั้งมันอาจเป็นเครื่องมือในการปัดความรับผิดชอบอีกด้วย
“สิ่งที่ฉันได้ยินบ่อยที่สุดเวลาถกเถียงกันเรื่องนี้ โดยเฉพาะพวกผู้ชายจากประเทศร่ำรวย เขามักจะบอกว่า ปัญหาพวกนี้มันเป็นเรื่องของประชากรล้นเกินไงล่ะ”
คนล้นไม่ใช่สาเหตุ แต่ก็ใช่ว่าเราควรจะมีลูกในโลกที่เป็นแบบนี้?
เมื่อทำความเข้าใจถึงมายาคติประชากรล้นเกินที่ลวงตาเราเวลามองปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่สิ่งที่ดูเหมือนจะไม่ลวงตาเราก็คือ ปัญหาที่ว่านั้นก็ยังคงมีอยู่จริง ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิที่สูงขึ้น การละลายของธารน้ำแข็ง ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ฝนฟ้าไม่ตกตามฤดูกาล ภัยพิบัติที่รุนแรงมากขึ้น โลกที่เต็มไปด้วยปัญหาเหล่านี้ก็ดูจะไม่ใช่โลกที่เราอยากให้ลูกของเราเกิดมาเจออยู่ดี
ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก ทำให้ในปัจจุบันหลายคนตัดสินใจที่จะไม่มีลูก หรือเกิดความลังเลขึ้นมาว่า ควรจะมีลูกดีไหมในโลกแบบนี้
จากผลสำรวจโดย Morning Consult ในปี 2020 พบว่า 1 ใน 4 ของผู้ใหญ่ชาวอเมริกันไม่ต้องการที่จะมีลูก โดยผู้ตอบคำถามให้เหตุผลว่า ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้พวกเขาตัดสินใจไม่มีลูก
บริตต์ เรย์ (Britt Wray) นักวิจัยที่ศึกษาเรื่องผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อสุขภาพจิต และผู้เขียนหนังสือ Generation Dread เธอได้พูดคุยกับคนหนุ่มสาวที่รณรงค์เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ถึงสาเหตุที่ทำให้พวกเขาไม่อยากจะมีลูก โดยมีสาเหตุมาจาก 2 ปัจจัยคือ 1) ความรู้สึกผิดที่จะสร้าง รอยเท้าคาร์บอน (carbon footprint) ใหม่ๆ จากลูกของพวกเขา และ 2) ความกังวลต่อความปลอดภัยในชีวิตลูก
ในปี 2021 เรย์ได้ทำการสำรวจคนหนุ่มสาวอายุ 16-25 ปี กว่า 10,000 คน ใน 10 ประเทศ โดยเกือบ 40 เปอร์เซ็นต์ของคนหนุ่มสาวเหล่านี้ บอกว่าพวกเขามีความลังเลว่าจะมีลูกดีหรือไม่ ซึ่งสาเหตุก็มาจากปัญหาสภาพภูมิอากาศเช่นกัน
ในสารคดี The Climate Baby Dilemma นักรณรงค์หญิงคนหนึ่งกล่าวว่า “ในอีกสิบปี อะไรๆ จะแย่ลงกว่านี้อีก ฉันอยากมีลูกนะ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นก็คือหากฉันมีลูกในปี 2030 ฉันไม่รู้เลยว่าตัวฉันเองจะเป็นอย่างไร”
ในขณะที่คนหนุ่มสาวเอง อาจมีทัศนคติไปในด้านที่ไม่อยากจะมีลูกกันสักเท่าไร แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านปัญหาสภาพภูมิอากาศหลายคนกลับตัดสินใจที่จะมีลูก เช่นตัวของเรย์เอง
เรย์คิดอยู่นานว่าเธอจะมีลูกดีหรือไม่ โดยใช้เวลาถึง 4 ปี ในการไตร่ตรองเรื่องดังกล่าว ก่อนเธอจะตัดสินใจมีลูกและคลอดลูกของเธอในปี 2021 เธอกล่าวว่า
“การตัดสินใจที่จะไม่มีลูก เพราะความกังวลเรื่องปัญหาภูมิอากาศ เป็นความรู้สึกหวาดกลัวที่หยั่งรากลึกลงไปในจิตของคนทั่วโลก ฉันไม่อยากจะให้มุมมองเช่นนั้นมาพรากชีวิตของฉันไป ฉันจึงมุ่งมั่นที่จะสร้างความรู้สึกดีๆ ให้แก่คนที่ฉันรัก แม้กระทั่งท่ามกลางสภาพความจริงที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้
“ความกังวลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้ฉันต้องคิดให้หนักขึ้น ว่าคุณสมบัติอะไรคือสิ่งที่พ่อแม่ในโลกที่แสนจะร้อนขึ้นเช่นนี้ต้องมี ไม่ใช่แค่การยอมรับและตัดสินใจที่จะไม่มีลูก”
เช่นเดียวกับ เจีย ฮู (Jia Hu) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยแอริโซนา ก็ตัดสินใจจะมีลูกเช่นกัน ความกังวลของเธออยู่ที่ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และความเหลื่อมล้ำที่จะเกิดขึ้นมากกว่า
มีลูกก็อาจช่วยโลกได้
ข้อเสียของการมีลูกในโลกที่เป็นเช่นนี้ อาจเป็นอะไรที่ไม่จำเป็นต้องกล่าวในที่นี้มากนัก แน่นอนว่าเด็กๆ ที่เกิดมาย่อมต้องเผชิญกับมลพิษทางอากาศ ภัยพิบัติ อากาศที่ร้อนขึ้น และอื่นๆ นี่เป็นความเสี่ยงที่แต่ละคนจะต้องยอมรับ หากตัดสินใจมีลูก
แต่ขณะเดียวกันการมีลูกก็อาจมีข้อดีอยู่บ้าง ไบรอัน วอลช์ (Bryan Walsh) หนึ่งในบรรณาธิการของ Vox เชื่อว่ามีความจำเป็นที่เราจะต้องทำให้สังคมเป็นสังคมของคนหนุ่มสาวอยู่เสมอ ในสหรัฐอเมริกา คะแนนเสียงของผู้สูงอายุมีผลอย่างมากในการเลือกตั้ง แต่ชาวอเมริกันสูงวัยเหล่านี้กลับมีความใส่ใจในปัญหาต่างๆ น้อยลงเรื่อยๆ เช่น ปัญหาผู้อพยพในประเทศ และปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พวกเขามีความเป็นเสรีนิยมน้อยลงเรื่อยๆ ไปตามวัย และหากปล่อยให้สังคมเป็นเช่นนี้ต่อไป การจะผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวกับการจัดการปัญหาสภาพภูมิอากาศก็อาจเป็นไปได้ยากขึ้น
และในการจัดการปัญหาเหล่านี้ เราอาจต้องการความคิดสร้างสรรค์จากคนหนุ่มสาว ในการหาวิธีใหม่ๆ มาจัดการกับปัญหาดังกล่าว ซึ่งวอลช์เชื่อว่าคนหนุ่มสาวมีพลังของความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มเปี่ยม
“ไอเดียที่จะเปลี่ยนโลกได้ มักจะมาจากคนอายุ 25 ไม่ใช่คนอายุ 65”
ฝากความหวังไว้ที่คนรุ่นลูก…ความเห็นแก่ตัว หรือเชื่อใจ
หากเราเชื่อว่าจำเป็นต้องอาศัยพลังจากคนรุ่นใหม่ๆ เพื่อมาช่วยโลกของเราจริง คำถามสำคัญที่เราอาจต้องถามตัวเองคือ ตัวเลือกนี้เป็นความเห็นแก่ตัวหรือไม่
เพราะเด็กที่เกิดมาหลังจากนี้ จะไม่ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ พวกเขาต้องเผชิญกับฝนฟ้าคะนอง น้ำท่วมบ้าน และความแห้งแล้ง การตัดสินใจให้พวกเขาเกิดมานั้น ดูจะเป็นการผลักภาระของคนรุ่นเราไปให้คนรุ่นเขารึเปล่า เหมือนเช่นที่ เกรตา ธันเบิร์ก (Greta Thunberg) เคยบอกว่าเธอต้องสูญเสียความฝันและชีวิตในวัยเด็กไปเพื่อจะต่อสู้กับปัญหาเหล่านี้ ขณะที่พวกผู้ใหญ่ดูจะนิ่งเฉยไม่ใยดี
แต่หากมองในอีกมุมหนึ่ง การตัดสินใจมีลูกทั้งๆ ที่เราต่างก็รู้ว่าโลกเป็นแบบนี้ อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าตัวเราเองยังมีความหวัง เพราะหากไม่เชื่อว่าโลกจะดีขึ้นได้ ไม่เชื่อว่าปัญหาเหล่านี้จะถูกแก้ได้ เราก็คงจะไม่กล้าตัดสินใจให้หนึ่งชีวิตต้องเกิดมาบนโลกใบนี้
อ้างอิง:
- Japan PM says country on the brink over falling birth rate
- China’s population falls for first time since 1961
- Is population growth fuelling climate change? It’s not that simple, say experts
- Deciding to have a baby amid the climate crisis: whatever you’re feeling, you’re not alone
- Yes, you can have kids and fight climate change at the same time