เรื่อง: ศุทธวีร์ ตันติวงศ์ชัย
ข้าพเจ้าหยุดยืนอยู่หน้าเขตเมืองแห่งหนึ่งที่มีกำแพงสีขาวบริสุทธิ์ล้อมกรอบปกปิดภายในไว้อย่างมิดชิด เหนือกรอบประตูเมืองมีตัวอักษรที่สลักไว้อย่างสวยงาม ‘ขาวดี’ คงเป็นชื่อเมืองกระมัง เมื่อเดินผ่านเข้ามาในเขตเมืองก็พบประโยคที่สลักบนหินสีขาวนวล คงเป็นคำขวัญของเมืองไม่ผิดแน่
“ขาวดี ขาวดี เมืองนี้ ของเราน่าอยู่
ใครใคร ก็ร้อง อู้หู เพราะ เราอยู่ เมืองขาวดี”
เมื่อกวาดตามองรอบกายก็พบสิ่งปลูกสร้างสีขาวบริสุทธิ์มากมาย ไม่เว้นแม่แต่ชาวเมือง…ทุกคนต่างอยู่ในชุดสีขาวบริสุทธิ์ และทักทายกันด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร สารภาพโดยบริสุทธิ์ใจว่าเมืองแห่งนี้คงเป็นเมืองที่ผู้คนมีความสุขและเป็นมิตรที่สุดตั้งแต่ข้าพเจ้าเคยท่องเที่ยวมา จนเสี้ยววินาทีหนึ่งที่ข้าพเจ้ารู้สึกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก หญิงสาวคนหนึ่งกรีดร้องร่ำไห้ ชายหนุ่มคนหนึ่งทำท่าโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา ทำไมพวกเขาถึงเปลี่ยนไป…ข้าพเจ้าอาจจะคิดไปเองเมื่อรู้สึกว่าทุกสายตาจับจ้องมาที่ข้าพเจ้า หรืออาจเป็นเพราะข้าพเจ้าเป็นคนแปลกหน้า อาจจะเข้าเมืองไม่ถูกวิธี ไม่น่าจะใช่ และเพราะเหตุใดกัน? – ชายคนหนึ่งในชุดขาวเดินตรงเข้ามา เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน
“สหาย… ที่แห่งนี้คือเมืองขาวดี เราไม่ต้อนรับสิ่งใดที่หาใช่สีขาว หากสหายต้องการเข้ามายังเมืองของเราโปรดทำตามกฎของเราด้วย”
ข้าพเจ้ายิ้มรับไมตรีจากชายแปลกหน้า พลางหาที่ลับตาเปลี่ยนการแต่งกายให้เหมาะสม…
ยินดีต้อนรับสู่เมืองขาวดี…
วันนี้ทุกคนมีความสุขกันไหมจ๊ะ
เมืองดูวุ่นวายเป็นพิเศษ จากการสอบถามชาวเมืองได้ความว่าอีกไม่กี่วันจะมีงานวิวาห์ของท่านนายกเมืองขาวดี…เป็นความรู้สึกโชคดีอย่างประหลาดที่ข้าพเจ้ามีโอกาสร่วมงานใหญ่ครั้งนี้ หากเพียงแต่เมืองดูสับสนวุ่นวายหรืออาจเพราะทุกคนตื่นเต้นกับงานแต่งงาน…ไม่น่าใช่ ข้าพเจ้าจึงสอบถามและได้ความเพิ่มเติมว่าโรงงานผลิตผงซักฟอก ซักรีด เกิดชำรุด ทำให้ไม่สามารถซักเสื้อผ้าให้ขาวหมดจดได้…ลำบากตรงไหน เราก็ใส่เสื้อสีแทนเสียสิ ทันทีที่พูดจบข้าพเจ้าก็เผชิญสายตาโกรธเคืองอีกครั้ง…เสื้อสีทำให้เราแตกแยก เราอยู่ภายใต้เสื้อขาว ทุกคนชอบสีขาว ทุกคนมีความสุข สีขาวช่วยลดความแตกต่างของเรา ทำให้เรารับความคิดของผู้อื่น ทำให้ชีวิตไร้ปัญหา เสื้อสีคือความเลวร้ายอันดับหนึ่ง นี่คือกฏของเมืองขาวดี – เราตัดสินความคิดจิตใจด้วยสีเสื้ออย่างนั้นเหรอ? ข้าพเจ้าทำได้เพียงค้านในใจ
ข้าพเจ้าเดินสำรวจเมืองอีกครู่หนึ่งก็พบหญิงสาวสูงสง่า เธอทักทายชาวเมืองด้วยรอยยิ้ม คงจะเป็นนายกฯหญิงของเมืองกระมัง ‘วันนี้ทุกคนมีความสุขกันไหมจ๊ะ’ เธอถามขึ้น… แต่คำตอบก็ปรากฏชัดเจนบนใบหน้าชาวเมือง พวกเขาไม่มีความสุข และสิ่งที่ทำให้พวกเขาไม่มีความสุขก็เป็นเพียงความต่างของสีเสื้อ…ดูไม่ต่างจากเมืองที่ข้าพเจ้าเคยพักพิงมาก่อน จะดีหน่อยก็ตรงที่มีเสื้อไม่กี่สี
นายกฯหญิงยังคงเดินทักทายชาวเมืองพลางสอบถาม ‘วันนี้ทุกคนมีความสุขกันไหมจ๊ะ’ ใบหน้าเรียบเฉย โกรธเคือง คือคำตอบ – เพียงความต่างเล็กน้อย คำทักทายอย่างเป็นมิตรก็ไม่ต่างอะไรกับสวะรกสายตาที่ไม่มีใครอยากแล
จงฟังเราและมันจะดี
อาจจะไม่เกี่ยวกับ ‘ขาวดี’ เสียทีเดียว เมืองแห่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าเคยแวะพักก็เคยมีกรณีพิพาทเรื่องความต่างเช่นกัน ครั้งนั้นก็มีเรื่องสีนี่แหละที่ชักเชิดเอาไว้ อาจจะต่างจากขาวดีบ้างตรงที่เมืองแห่งนั้นมีสีไม่ถึง 10 สี…ปัญหาซ้ำซากที่มนุษย์มักถกเถียงกันคือความต่างทางความคิด เราไม่ยอมรับความคิดของผู้อื่นเพียงเพราะเขาแตกต่างจากเรา ครั้งนั้นเมืองแห่งนั้นหยิบยกสีขึ้นมาจับกลุ่มทางความคิดและโต้เถียงกันอย่างดุเดือด จนวันหนึ่งมีกลุ่มคนหยิบยกนโยบายและ ‘สีอันเป็นหนึ่งเดียว’ ขึ้นมากล่าวอ้าง – ไม่ต่างจากขาวดีเลยใช่ไหม?
สีอันเป็นหนึ่งเดียวของเมืองนี้คือ ‘ไร้สี’ หากทุกคนไร้สีทุกคนย่อมเหมือนกัน ทุกคนย่อมยอมรับความต่างได้แน่ แต่ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เมื่อคำว่าไร้สีของผู้นำเมืองกลับแอบซ่อนสีอื่นไว้จนเปิดให้ผู้คนโกรธเคืองและต่อต้าน เกิดปัญหาขึ้นอีกแล้ว….มันเกิดขึ้นเพราะสีอีกแล้วสินะ – ผิดถนัด!! มันเกิดจากความไม่บริสุทธิ์ใจต่างหาก ความเคลือบแคลงใจ ความไม่โปร่งใส การชี้นำที่ไร้ทิศทาง การไม่รับฟังความเห็น ประเด็นพวกนี้ต่างหากเล่าที่ก่อให้เกิดปัญหา ไม่ใช่สี ‘เสื้อ’
ข้าพเจ้ายืนมองภาพชาวเมืองขาวดีที่กำลังวุ่นวายสับสน ผู้คนที่นี่จิตใจดี รักพวกพ้อง บริสุทธิ์ อาจจะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ทำให้พวกเขาไม่เข้าใจกัน แต่ข้าพเจ้าเชื่ออย่างแรงกล้าว่าเมืองแห่งนี้จักไม่เป็นอย่างเมืองที่ข้าพเจ้าเคยพบผ่านมา – ชายสูงวัยผู้หนึ่งเดินออกมาด้วยท่าทางผึ่งผาย เขาเอยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวกระตุ้นสติ
“จงฟังเราและมันจะดี”
ชาวเมืองที่กำลังวุ่นวายต่างหยุดกึกและฟังคำเขา…ข้าพเจ้าก็เชื่อเช่นกันว่าทุกอย่างกำลังจะดีขึ้น ทุกอย่างกำลังกลับมาเป็นปกติ และมันคงจะเห็นผลได้ใน 2 สัปดาห์
———————————————————————–
‘INWHITE: เห็นผลได้ในสองสัปดาห์’
ซื้อบัตรได้ที่ www.nitadechula.net
เปิดแสดงตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม – 2 พฤศจิกายน และ 7 – 9 พฤศจิกายน 2557 เวลา 19.00 น.
(วันเสาร์-อาทิตย์เพิ่มรอบ 13.00 น.) ณ โรงภาพยนตร์สกาล่า