เรื่อง : ณัฐกานต์ อมาตยกุล
1
เด็กน้อยเซเซ่ล้มพับไปนอนสลบยู่บนรางรถไฟ หลังรู้แน่ชัดว่าความตายได้มาเยือนปอร์ตุก้าแล้ว – เพื่อนรักวัยชราของเขาจะไม่อาจส่งรอยยิ้มอบอุ่นนั้นมาได้อีก
เด็กน้อยผู้เคยชินกับความเจ็บปวดมาตลอดชีวิตระยะสั้นๆ กลับไม่อาจรับความทุกข์รูปแบบใหม่ที่ถาโถมมาได้ทัน
เขาลืมตาตื่นมาพร้อมความว่างเปล่า เพราะสิ่งที่เคยเติมเต็มชีวิตได้จากไปแล้ว
ก่อนหน้านั้น ในวันหนึ่ง เซเซ่นำปลาที่ตกได้มาอวดพ่อ พ่อผู้นั่งแซ่วพ่ายแพ้ต่อชีวิตกลับไม่มีอาการดีอกดีใจ เซเซ่หวังเพียงเพลง ‘ลูกผู้ชาย’ ที่เขาฟังมาจากนักดนตรีข้างถนน จะพอบรรเทาความทุกข์ของพ่อได้บ้าง
เนื้อหาของมันพูดถึงสามีที่เลี้ยงชีพได้ด้วยการให้ภรรยาไปขายบริการทางเพศ … เด็กน้อยเซเซ่จะรู้อะไรมากมายนอกจากมัน ตลกดี จึงร้องออกมาด้วยเสียงแหลมใส โยกตัวไปมาประกอบเพลง
เขาโดนฟาดไม่ยั้ง เสียงหนักๆ ที่ปะทะเข้ากับร่างกาย ไม่ได้ส่งผ่านออกมาเป็นเสียงร้องโหยหวน
“ร้องอีก” พ่อฟาดมืออย่างหนักจนเสียงสั่น
เขายังคงร้องเพลงต่อไป โดยที่ผู้เป็นพ่อไม่ได้ขำไปด้วย
ความขมขื่นหากเป็นของคนอื่นอาจมองเป็นเรื่องขบขันได้ แต่ไม่ใช่สำหรับครอบครัวนี้ เพราะมันเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องสัปดนที่แต่งขึ้นมา
เซเซ่เคยชินกับความเจ็บปวดแบบนี้มานานแล้ว เขาเพียงสงสัยว่าเหตุใดจึงไม่ฆ่าเขาไปเสีย
2
“เด็กนั่นมันไม่ร้องสักแอะ” ปอร์ตุก้ากล่าวชื่นชมเซเซ่ให้คนขายขนมหวานฟัง หลังจากที่พาไปผ่าเศษแก้วออกจากเท้า มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์สำหรับเด็กวัยเท่านั้น วัยที่เห็นเพียงเข็มฉีดยาก็อาจร้องไห้
ความทุกข์ทางกายไม่อาจสัมผัสเซเซ่ได้แล้ว หรือไม่เขาก็เก่งกาจในการปิดซ่อนมันไว้ตั้งแต่วัยเด็ก
ต้องไม่ร้องไห้ หากร้องออกมาแล้วชีวิตจะฟาดเราให้สาหัสกว่าเดิม
กระนั้น เด็กชายไม่ปิดบังว่ามีความสุขขนาดไหนที่ได้กินขนมหวานอร่อยๆ ด้วยท่าทางมูมมามเบิกบานใจนั้น สิ่งเล็กๆ จากเศรษฐีปอร์ตุก้า คือสิ่งยิ่งใหญ่ในแต่ละวันของเซเซ่ แม้ว่าทั้งสองจะไม่ได้มีความผูกพันทางสายเลือดเลยก็ตาม
3
เขาบอกปอร์ตุก้าว่าเขา ฆ่าพ่อตัวเอง
เพราะ “เมื่อเราเลิกรักใคร เขาจะค่อยๆ ตายไปจากหัวใจเรา” เขาพูดเช่นนั้น อาจทำให้ใครจุกอก น้ำตาหลั่งริน
คนรักที่ทำให้เราเจ็บปวด สมองของเราอาจเริ่มแปรเปลี่ยนความจริงให้กลายเป็นแค่จินตนาการ เป็นภาพหลอนที่เราตบแต่งมันเข้ากับการละเล่นของเด็ก และหัวเราะเยาะมัน ราวกับเป็นความสัมพันธ์ที่ไร้ค่า
ก่อนนั้นการโดนด่าทอ ทุบตี อาจมีความหมายบางอย่าง แต่วันหนึ่งบุคคลนั้นก็เป็นอากาศธาตุที่เราเดินผ่านไปได้ และแน่นอน แม้แต่ความอุ่นของอ้อมกอดปลอบประโลมจากเขาไม่อาจสร้างความรู้สึกใดๆ ได้อีก
เท่านี้ก็สลายความมีตัวตนของคนคนนั้นไปเสียสิ้น
ต้นส้มในฐานะมิตรที่ดีจากจินตนาการ ของเซเซ่ อาจเป็นจริงเสียมากกว่า อย่างน้อยที่สุดร่มเงาก็บดบังความร้อนในวันแดดจัดได้ แม้จะไม่อาจขยับกิ่งก้านใดๆ เลย – แต่ก็ไม่เคยสร้างความเจ็บปวด
(คำเตือน: ****ส่วนสุดท้าย มีการเปิดเผยเนื้อหาส่วนสำคัญของภาพยนตร์****)
4
ปอร์ตุก้าถูกรถไฟชนเสียชีวิตคาที่ ส่วนต้นส้ม อาจโดนโค่นเพื่อเคลียร์พื้นที่ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง เมื่อครอบครัวเซเซ่ย้ายไปอยู่เมืองอื่น
บางที การจากไปของคนหรือวัตถุที่เรารัก นั้นเจ็บปวดทางความรู้สึกมากกว่าการมีอยู่ของคนที่เราเกลียด
น่าจะวัดได้จากปริมาตรและจำนวนหยดน้ำตา ทั้งของเซเซ่ และของผู้ชมที่อยู่หน้าจอนั้น
คำว่า “โลกน่าอยู่” บนกระดานหน้าห้องเรียนของเซเซ่ พร่ามัวไปด้วยแถบของน้ำตา
แต่มันก็ยังอยู่ตรงนั้น เมื่อเรายิ้มได้อีกครั้ง