วงที่หนึ่ง
*Heavy eyes but a tongue won’t stutter.
Mouths are moving and this heart’s still fluttering.
I’m on my own.
หน้า Rock Pub ราชเทวี วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ เวลา 19.00
ผมไปก่อนเวลาทุกครั้งที่ไปดูคอนเสิร์ต งานเริ่ม 2 ทุ่ม ร้านชำคือเป้าหมายที่หนึ่ง เบียร์กระป๋องแรกถูกเปิดและจิบเงียบๆ รับเงินทอน โยนใส่กระเป๋า แล้วเดินออกมา
“Periphery?” เขายิงประโยคคำถาม ชายเอเชียเดินออกจากร้านพร้อมๆ กับผม ในมือมีสุราไทยขวดแบน สำเนียงแปลกๆ บอกว่าเราไปทางเดียวกัน ถามว่าเขามาจากไหน คำตอบคือ “แจแปน” แต่ “อยู่เมืองไทยมาโฟร์เยียร์ส…สี่ปีแล้ว” คุยกันอีกสองสามประโยคก็ถึงหน้า Rock Pub เราชนกระป๋องกับขวดแบน “เชียร์ส”
เราสองคนหายไปในกลุ่มคนหน้าตาหลากหลายแต่เสื้อสีโทนดำใกล้เคียงกัน จำนวนคนดูมากเป็นพิเศษ วงโปรเกรสสีฟอเมริกัน Periphery อยู่ในกระแสหลักที่รุ่นใหญ่และรุ่นเล็กฟังได้ ผมรู้จักคนไม่มาก แต่ก็ยังเป็นคนซ้ำๆ ที่เคยเห็นหน้าชินตาตามคอนเสิร์ตเมทัลเกือบทุกครั้ง
บางที – คิดเอาเองว่าหลายคนที่นั่นวันนั้นก็คงรู้สึกคล้ายๆ กัน เสื้อ รอยสัก รสนิยม ภาษาดนตรี บนพื้นที่ใต้สถานีรถไฟฟ้าราชเทวีไม่มีความโดดเดี่ยวบรรจุอยู่เลย
วงที่สอง
You found me in the cold, now I am.
Wrapped within the warmth of your touch.
There’s never a moment that I’d let slip by, in your eyes.
Periphery เดินทางมาทัวร์เอเชียในช่วงที่ชื่อวงอยู่ในลิสต์ชิงรางวัลแกรมมีสาขา Best Metal Performance กับเพลง ‘The Price is Wrong’ จากอัลบั้ม Periphery III: Select Difficulty วงยุคใหม่ที่กำลังบิ๊กเนมขึ้นเรื่อยๆ มาเล่นที่ไทยเป็นครั้งที่สอง หลังจากทัวร์อัลบั้มชุดที่สองเมื่อสามปีที่แล้ว
ไม่ต่างจากไลฟ์ครั้งก่อน Rock Pub สถานที่จัด มีขนาดไม่ใหญ่นัก พื้นที่ไม่กี่สิบตารางเมตรบรรจุคนเต็มที่ จนแทบล้นออกหน้าประตู เป็นหนึ่งในคอนเสิร์ตที่คนเยอะจนต้องเข้าแถวยาวม้วนไปจนถึงริมถนนพญาไท ครั้งนี้ก็เช่นกัน ที่ผู้จัดจาก Indy Pop Concerts บอกว่า เป็นงานที่ sold out
บรรยากาศข้างในก็ไม่ทำให้ผิดหวัง คนชอบฟังเพลงแฮปปี้ คนชอบดูยอดฝีมือเล่นดนตรีก็สนุก และเนื่องจากไปดูคอนเสิร์ตที่ซื้อบัตรล่วงหน้าเป็นเดือน live in live show – ใช้ชีวิตอยู่กับความสุขอายุสั้นแค่ชั่วโมงนิดๆ ไม่อยากหมดเวลาไปกับการถ่ายรูป ดังนั้น ขอลงเพียงรูปประกอบง่ายๆ ไว้แค่เท่าที่มี
วงที่สาม
Are we growing old day and day?
Am I melting in the rays of this love?
Never ever gonna let you go.
Don’t let go.
“ผมนั่งกินเบียร์รอพี่ข้างนอก” มิตรสหายรุ่นน้องผู้ตามมาสมทบบอก หลังจากเห็นจำนวนคนดูแล้วเกิดอาการท้อ จึงตัดสินใจไม่ซื้อบัตรหน้างาน
หลังคอนเสิร์ตจบ เราเดินมานั่งที่ร้านเบียร์ ร้านเบียร์ย่านราชเทวีมีแต่ลูกค้าวัยนักศึกษานั่งเต็มทุกโต๊ะ โทรทัศน์ที่อยู่ไกลๆ ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก เบิร์นลีย์กับเชลซี
สมัยยังเล่นดนตรี เรามานั่งแถวนี้กันบ่อย ตอนนั้นมีห้า ตอนนี้นั่งอยู่แค่สอง เราคุยกันเรื่องงาน การออกกำลังกาย ตรวจสุขภาพ สังขาร โรค สายตาที่เริ่มเปลี่ยนระยะการมอง และคิดว่าควรเลิกสูบบุหรี่ตอนไหน บทสนทนาหลังผ่านไปเกือบ 10 ปีเปลี่ยนไปมาก
ก่อนแยกย้าย เรากลับมาคุยเรื่องเล่นดนตรีกันอีกครั้ง “อย่าเพิ่งรีบตายพี่ เล่นดนตรีกันก่อน” เออ…ยัง
นั่นแหละ พยายามถามทุกคนว่าเรายังรักมันอยู่หรือเปล่า รักที่จะเล่นดนตรี ผมคิดว่ามีคำตอบให้ตัวเอง
2πr
Do you feel the love?
Yes, I feel the love.
Chase it, hold it, feel it, never let it go.
Never let it go.
Don’t let go.
ผมยืนดูคอนเสิร์ตอยู่แถวหลังสุด เพราะคนแน่นมาก จนเบียดกับแผงคอนโทรล
ด้านหน้าเป็นหญิงชายคู่หนึ่ง “เออ แปลก” ประโยคนี้แวบมาในหัว เพราะธรรมดาแล้วเวลามาดูหรือมาฟังดนตรีแนวนี้มักจะเป็นฝ่ายชายลากฝ่ายหญิงมาเปิดโลก แต่ครั้งนี้แตกต่าง เธอชูมือ ส่งเสียง ร้องเพลง กระโดดได้ตลอดเวลา ขณะที่เขาสะพายกระเป๋า ยืนนิ่งๆ โยกหัวตามจังหวะเพลงแบบอัตโนมัติ
ผมอยู่ด้านหลัง เลยไม่เห็นแววตาของเธอว่าสนุก มีความสุข และรักวงนี้มากแค่ไหน แต่เห็นตอนที่เขาหันมามองคนข้างๆ ร้องเพลงแล้วยิ้ม คิดว่าความรักและความสุขของเขาไม่ได้อยู่บนเวทีหรอก