ปิดเทอมยาวนานทำให้เด็กๆ ถดถอย ความข้อนี้เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่จำนวนมากยังไม่เข้าใจได้มากพอ วันนี้จะอธิบายอีกครั้งหนึ่ง
พัฒนาการทุกเรื่องของเด็กๆ มีเวลาวิกฤติในตัวเอง หมายความว่าถ้าเด็กๆ ไม่ทำอะไรบางอย่างในปีนั้นๆ เราจะไม่ได้ทำอีกหรือทำได้ยาก เหตุที่ทำได้ยากเพราะว่าเด็กๆ จะสนใจและมีหน้าที่ต้องพัฒนาเรื่องถัดไป
จะว่าไปก็คล้ายเรื่องเด็กสอบตก เด็กสอบตกแทนที่จะให้เขาสอบเรื่องเดิมจนกว่าจะเข้าใจ แต่เรามักออกข้อสอบใหม่ให้เขาตกซ้ำ เวลาที่เสียไปในการตกซ้ำทำให้งานใหม่ไหลเข้ามาพอกหนาขึ้นทุกวันจนกระทั่งทำไม่หวาดไม่ไหว สุดท้ายไม่ได้อะไรเลยทั้งเรื่องเก่าและเรื่องใหม่
กลับมาที่เรื่องพัฒนาการ เวลาเด็กๆ พัฒนาติดขัดที่เขาต้องทำคือซ่อมแซมหรือชดเชย
ยกตัวอย่าง
เรามีคำแนะนำที่ชัดเจนจากสมาคมกุมารแพทย์ทั่วโลกว่า ไม่ควรให้เด็กเล็กดูหน้าจอก่อนอายุ 2 ขวบ เหตุเพราะ 2 ขวบปีแรกเป็นเวลาวิกฤติของการสร้างใบหน้าแม่ตามด้วยการสร้างแม่ หากปล่อยให้เด็กดูหน้าจอมากเกินไปในแต่ละวันและถ้าเด็กคนนั้นโชคไม่ดี เขาจะสร้างวงจรประสาทเพื่อมีปฏิสัมพันธ์กับจอสี่เหลี่ยม มากกว่าที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับวงกลมสองวงและรอยยิ้ม
นั่นคือดวงตาและริมฝีปากของแม่
เป็นไปได้ว่าเขาจะไม่สบตา มองผ่านดวงตาแม่เลยไปด้านหลัง และไม่ยิ้มตอบเมื่อแม่ยิ้มให้ ตามด้วยไม่พูด และไม่มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นติดตามมา เราเรียกภาวะนี้ว่าออทิสติกเทียม
เรารักษาออทิสติกเทียมได้ คือพฤติกรรมไม่สบตาแม่ที่เกิดจากการดูหน้าจอมากเกินไป นี่มิใช่ออทิสติกแท้ที่เกิดจากปัจจัยทางชีววิทยาแท้ๆ ซึ่งยากต่อการรักษามากกว่า เด็กดูหน้าจอมากไปจนเกิดเหตุเราก็หยุดหน้าจอ สมมุติว่าเด็กมีอาการออทิสติกเทียมที่อายุ 2 ขวบครึ่ง คือไม่สบตาแม่ ไม่ยิ้มให้แม่ ไม่สนใจแม่ เราหยุดหน้าจอทันที
เมื่อเราหยุดหน้าจอที่ 2 ขวบครึ่ง สมมุติเด็กพัฒนาคืนมาเป็นปกติที่อายุประมาณ 4 ขวบ เขาสบตาแม่และพูดได้เล็กน้อยแล้ว เรื่องที่อยากให้ทุกท่านเข้าใจคือ ‘เวลาที่สูญหาย’ ระหว่าง 2 ขวบครึ่งถึง 4 ขวบนั้นเราไม่มียาให้กินเพื่อเอาเวลาคืนมา กับไม่มีทางลัดที่จะเอา ‘พัฒนาการที่สูญหาย’ ซึ่งควรกินเวลา 1 ปีครึ่งนั้นคืนมา
พูดง่ายๆ ว่าเด็กคนนี้จะล้าหลังอยู่ 1 ปีครึ่งไปพักใหญ่ อาจจะค่อยๆ พัฒนาและพยายามสปีดเอาคืนมาได้ทีละเล็กละน้อย ในที่สุดก็อาจจะทำสำเร็จที่อายุ 6-7 ปี หรือมากกว่า
แต่หืดขึ้นคอ
เพราะอะไรจึงหืดขึ้นคอ เพราะระหว่างที่เขาพยายามเร่งความเร็วของพัฒนาการให้ทันเด็กคนอื่นที่อายุเท่ากัน โจทย์พัฒนาการใหม่ๆ ของช่วงชั้นอายุต่างๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาทับถม ไหนของเก่าก็ต้องทำ ไหนของใหม่ก็ต้องเอา อะไรๆ จึงติดขัดไปหมดนับแต่นั้น ซ่อมแซมได้บ้างไม่ได้บ้างไปเรื่อยๆ สุดท้ายพัฒนาการก็กะพร่องกะแพร่ง มีรอยโหว่เป็นจุดๆ ไม่รู้ที่ไหนบ้าง
แม้แต่จิตแพทย์และนักจิตวิทยาก็งง
ควรรู้ว่าตอนที่เด็กดูหน้าจอ เขาอาจจะโชคดีมิได้เป็นออทิสติกเทียม แต่ออทิสติกเทียมหรือความพร่องของพัฒนาการใดๆ มิใช่ปรากฏการณ์มีหรือไม่มี (all-or-none) แต่อาจจะมีนิดหน่อย มีปานกลาง หรือมีมากที่สุดได้ เด็กคนหนึ่งมิได้เกิดอาการออทิสติกเทียมขั้นสูงสุดเสมอไป แต่ที่เกิดแน่คือความกะพร่องกะแพร่งของพัฒนาการเป็นจุดๆ กระจัดกระจายไปทั่วรากฐาน แล้วเราไม่รู้ว่าตรงไหนบ้าง
คือตึกที่รอวันถล่มเมื่อสร้างสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
เวลาเด็กติดขัด อาจจะมีปรากฏการณ์อีกชนิดหนึ่งเกิดร่วมด้วย หนึ่งคือการติดขัด เรียกว่า fixation สองคือการถดถอย เรียกว่า regression
เปรียบง่ายๆ เหมือนเราขับรถไปแล้วพบการจราจรติดขัด เราทำได้สองวิธีคือติดต่อไปหรือถอยหลังไปตั้งหลักใหม่
การถอยหลังไปตั้งหลักใหม่ทำได้สองวิธีคือ หนึ่งไปนอนดีกว่า สองคือหาทางลัดชอร์ตคัตเพื่อจะไปต่อไป เราพบว่าสำหรับเรื่องพัฒนาการแล้วเด็กๆ มักจะทำประการแรกมากกว่าคือ ไม่ทำอะไรแล้ว
การหาทางลัดชอร์ตคัตเพื่อซ่อมแซมหรือชดเชยพัฒนาการเป็นเรื่องทำได้ แต่ก็ต้องการคำแนะนำพิเศษไปจนถึงการลงมือช่วยเหลือของผู้เชี่ยวชาญ คือจิตแพทย์ นักจิตวิทยา หรือพยาบาลกระตุ้นพัฒนาการ
เมื่อเด็กๆ ปิดโรงเรียนบ่อยครั้ง ทุกครั้งที่ปิดก็ไม่มีอะไรก้าวหน้ามากนัก เพราะเราเรียนออนไลน์ด้วยวิธีดั้งเดิมเสียมาก คือตั้งกล้องสอนแล้วถ่ายทอดมาที่บ้าน ไม่นับว่าบางแห่งเรียนวันละ 6-8 ชั่วโมง จริงๆ แล้วมีการบ้านวันละ 6-8 ชิ้นอีกต่างหาก (เพราะเป็นภารกิจของครูที่จำเป็นต้องสอนให้หมดก่อนปิดภาคการศึกษาของปีนั้นๆ)
ผลลัพธ์ที่ได้คือ เด็กไม่ได้ความรู้อะไรดังคาดหวัง แต่ที่เสียหายมากกว่าการไม่ได้ความรู้คือ เด็กมีพัฒนาการติดขัดและบางคนถดถอย
เด็กๆ พัฒนาด้วยวิธีมีปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่ หรือปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์คนอื่น ในกรณีนี้คือเพื่อนๆ ที่โรงเรียน เด็กๆ มิได้พัฒนาด้วยการนั่งทางในหรือเข้าฌานอยู่ที่บ้าน สำหรับเด็กอนุบาลการเล่นคนเดียวมิใช่เรื่องเสียหาย แต่การได้ออกไปเล่นกับมนุษย์คนอื่นบ้างเป็นเรื่องดี สำหรับเด็กประถมการไม่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นมากพอเป็นเรื่องเสียหาย
เด็กที่เรียนด้วยโฮมสคูลกลับเสียหายน้อยกว่า เหตุเพราะพ่อแม่ที่ตัดสินใจทำโฮมสคูลได้ระวัง (aware) เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว พวกเขามีวิธีที่จะให้เด็กได้พบปะหรือเรียนรู้ร่วมกันกับ ‘สังคม’ รอบตัวตามความเป็นจริงตั้งแต่แรก โดยไม่ต้องไปนั่งรวม 40-50 คนที่ห้องเรียน แต่สำหรับพ่อแม่ที่มิได้ตั้งตัวมาเพื่อการโฮมสคูล การปิดโรงเรียนสร้างความเคว้งคว้างมากกว่ามาก
อ่านถึงตรงนี้ พยายามไม่สับสนระหว่างเรื่อง ‘การมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น’ กับเรื่อง ‘การเข้าสังคม’ สองอย่างนี้ไม่เหมือนกัน ความข้อนี้ติดไว้ก่อน ไว้จะกลับมาเล่าใหม่
เวลาผ่านมา 1 ปีครึ่งแล้ว และเรายังไม่เห็นนวัตกรรมการศึกษาเลย นอกเหนือจากเรื่องปิดทั้งหมดหรือเปิดทั้งหมด (all-or-none) ไม่มีความพยายามจะถักทอโรงเรียนต่างๆ เข้าสู่นิวนอร์มอลตามสโลแกนที่ให้ไว้ เราทำได้เพียงสร้างคำศัพท์ออนไซต์ ออนไลน์ ออนนั่น ออนนี่ ที่เขียนในประกาศปิดโรงเรียนเป็นระยะๆ
1 ปีครึ่งเป็นเวลาที่นานมาก เป็นเวลาวิกฤติของพัฒนาการหลายเรื่อง ของแต่ละช่วงชั้น ของพัฒนาการ ของเด็กแต่ละคน ทุกเดือนที่ผ่านไปเด็กจะติด – fixate หรือถอย – regress ไม่มากก็น้อย
เหล่านี้เป็นการขาดทุนครั้งใหญ่ของทุกคน ของเจเนอเรชั่น และของประเทศ