ในขณะที่โลกพยายามมุ่งสู่พลังงานสะอาด หลังจากพลังงานฟอสซิลรูปแบบเดิมที่สร้างปัญหาโลกร้อนและก๊าซเรือนกระจกอย่างน้ำมันค่อยๆ ถูกต่อต้านมากขึ้น ทว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากผู้มีอำนาจในประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา กลับเป็นผู้ลงทุนหลักในธุรกิจทำลายโลกเช่นนี้เสียเอง
ประเด็นนี้ได้ถูกบรรจุเป็นหนึ่งใน ‘ข่าวที่ไม่เป็นข่าว’ ประจำปี 2022 โดยกลุ่มสื่ออิสระอย่าง ‘Project Censored’ ซึ่งพยายามตีแผ่เรื่องราวที่ถูกปิดบังให้เป็นที่รับรู้ในสังคมมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสิทธิ เสรีภาพ และการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยที่ดี
องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่คอยติดตามและตรวจสอบการหมุนเวียนของเงินในช่วงการเลือกตั้งอย่าง The Open Secrets ระบุว่า ในปี 2021 บริษัทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติใช้เงินไปกว่า 119.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการล็อบบี้ประเด็นดังกล่าว และหากย้อนกลับไปยังการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 ยังพบอีกว่า บริษัทเหล่านี้มอบเงินกว่า 40 ล้านเหรียญสหรัฐ ให้แก่ว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบ่งเป็น 8.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ให้แก่พรรคเดโมรแครต และอีก 30.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ให้แก่พรรครีพับลิกัน
บรรดากลุ่มทุนพลังงานทั้งหลายต่างกังวลว่าจะสูญเสียผลประโยชน์หากปล่อยให้มาตรการลดมลภาวะและการต่อต้านสภาวะโลกร้อนอยู่ภายใต้การบังคับใช้กฎหมาย จึงใช้วิธีการสนับสนุนเงินทุนให้แก่ผู้มีอำนาจทั้งสองพรรค เพื่อให้การออกกฎหมายเหล่านั้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก มีการเชิญให้มาร่วมลงทุนและให้ตำแหน่งที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหาร จนสามารถชักจูงทั้ง ส.ส. และ ส.ว. ได้ถึง 128 คน เพื่อให้การอุดหนุนอุตสาหกรรมน้ำมันดิบยังคงเดินหน้าค้ากำไรต่อไปได้
การพยายามเปิดโปงเรื่องราวเหล่านี้โดยสื่อมวลชนและภาคประชาสังคมในสหรัฐฯ จึงกลายเป็นประเด็นร้อนที่น่าจับตามอง เนื่องจากปัจจุบันโลกของเรากำลังอยู่ในจุดหัวเลี้ยวหัวต่อ ว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมาย Net-Zero (การจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์) ได้ภายในปี 2050 หรือไม่ โดยที่ไม่มีอุตสาหกรรมพลังงานดิบเกิดขึ้นเพิ่มอีกแม้แต่โครงการเดียว
ธุรกิจเปื้อนเลือด แลกผลประโยชน์ในอุตสาหกรรมทำลายโลก
บทความของสำนักข่าว Sludge โดยเดวิด มัวร์ (David Moore) ระบุว่า มีสมาชิกพรรครีพับลิกันจำนวน 74 คน สมาชิกพรรคเดโมแครตจำนวน 59 คน และไม่สังกัดพรรคใด 1 คน ที่มีผลประโยชน์อยู่ในธุรกิจน้ำมัน โดย 10 อันดับผู้ลงทุนหนักที่สุดอยู่ในสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรครีพับลิกัน ขณะที่ผู้ลงทุนหนักที่สุดในวุฒิสภาเป็นอันดับที่ 1 กับอันดับที่ 3 สังกัดพรรคเดโมแครต
ข้อค้นพบสำคัญคือ แม้ว่าพรรครีพับลิกันจะมีผู้ลงทุนในธุรกิจดังกล่าวมากกว่าพรรคเดโมแครต แต่พรรคเดโมแครตก็เป็นผู้ที่ลงทุนมากเป็นรายบุคคลเช่นกัน โดย ส.ว. พรรคเดโมแครตคนหนึ่งลงทุนในธุรกิจน้ำมันมากถึง 8,604,000 ดอลลาร์ เมื่อเทียบกับ ส.ว. พรรครีพับลิกันซึ่งลงทุนเพียง 3,994,126 ดอลลาร์ ดังนั้นจึงไม่สามารถพูดได้ว่า พรรครีพับลิกันไม่ใส่ใจกับวิกฤตโลกร้อนมากกว่าพรรคขั้วตรงข้าม แต่ทั้งสองพรรคต่างมีสมาชิกที่ลงทุนในธุรกิจนี้อย่างมหาศาลร่วมกันทั้งคู่
แม้ว่าการเข้าไปลงทุนด้วยตนเองจะถูกติดตามได้ง่าย แต่ก็มีกรณีการได้รับผลประโยชน์ทางอ้อมด้วย เช่น กรณีของ ส.ส. ลอเรน โบเบิร์ต (Lauren Boebert) ได้รับเงินมูลค่าถึง 938,987 ดอลลาร์ ในปี 2019-2020 จากธุรกิจน้ำมันผ่านสามีของเธอ ผู้เป็นที่ปรึกษาของบริษัท Terra Energy Partners ซึ่งโบเบิร์ตพลาดที่จะแจ้งที่มารายได้ของสามีในการยื่นเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินปี 2019
ในอีกรูปแบบ พบว่ามีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจำนวนมากได้ประโยชน์จากการเข้าไปดำรงตำแหน่งในคณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องกับบริษัทพลังงาน ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมามักจะทำให้การดำรงตำแหน่งหรือลงทุนในธุรกิจเหล่านี้นำมาสู่ปัญหาผลประโยชน์ซ้อนทับเสมอ ตัวอย่างสำคัญคือ ส.ส. วิเซนต์ กอนซาเลซ (Vicente Gonzalez) ถ่วงเวลาข้อกฎหมายงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาดของพรรคเดโมแครต หรือการที่ ส.ว. ซึ่งเกี่ยวข้องกับธุรกิจน้ำมันตัดสินใจออกเสียงตัดงบประมาณของโครงการไฟฟ้าพลังงานสะอาด (Clean Electricity Performance Program) เป็นต้น
การมุ่งขัดขวางโครงการหรือข้อกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อบริษัทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ผ่านมา จึงสอดคล้องกับที่องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรซึ่งคอยติดตามและตรวจสอบการหมุนเวียนของเงินในช่วงระยะเวลาการเลือกตั้งอย่าง The Open Secrets ระบุว่า ในปี 2021 บริษัทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติใช้เงินไปกว่า 119.3 ล้านดอลลาร์ เพื่อล็อบบี้ประเด็นดังกล่าว จนสามารถครอบงำนักการเมืองในชาติมหาอำนาจได้เป็นจำนวนมาก ทำให้เป้าหมาย Net-Zero 2050 อาจไปไม่ถึงฝั่งฝัน
นโยบายอุ้มธุรกิจน้ำมัน ใช้เงินไปกว่า 11 ล้านดอลลาร์ต่อนาที
การอำนวยความสะดวกให้แก่ธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติโดยนักการเมืองชาติมหาอำนาจ ส่งผลโดยตรงกับการค้าน้ำมันทั่วโลก ข้อค้นพบของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) ระบุว่า ในปี 2021 ธุรกิจน้ำมันทั่วโลกได้รับความช่วยเหลืออุดหนุนถึง 11 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อ 1 นาที
ส่วนหนึ่งของเงินจำนวนนี้เป็นการสนับสนุนโดยตรงจากนโยบายของรัฐบาล และมีความเป็นไปได้ว่าจะถูกกระทำผ่านอิทธิพลของบรรดานักการเมืองที่มีอำนาจตัดสินใจในสภา ซึ่งมีส่วนถึงร้อยละ 8 ของจำนวนความช่วยเหลือธุรกิจน้ำมันทั้งหมด ขณะที่การยกเว้นการเก็บภาษีส่งผลถึงร้อยละ 6 ของจำนวนความช่วยเหลือธุรกิจน้ำมันทั้งหมด แต่ IMF พบว่าการสนับสนุนโดยอ้อม คือส่วนสำคัญที่สุดของการช่วยเหลือธุรกิจทำลายโลกนี้
การช่วยเหลือทางอ้อมที่ทำให้ธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติประหยัดเงินไปได้มาก เกิดจากการไม่ต้องรับผิดชอบต่อค่ารักษาพยาบาลจากความเสียหายทางสุขภาพเพราะมลพิษทางอากาศ (ร้อยละ 42) การไม่ต้องรับผิดชอบต่อค่าความเสียหายจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศสุดขั้ว (extreme weather) ซึ่งเกี่ยวข้องกับสภาวะโลกร้อน (ร้อยละ 29) และมูลค่าความเสียหายจากการจราจรที่ติดขัดและความแออัดของรถบนถนน (ร้อยละ 15)
กล่าวโดยสรุป บริษัทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติสามารถหลบเลี่ยงการชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากตนเองต่อโลกใบนี้ได้หลายช่องทาง และยกภาระความรับผิดชอบต่อค่าเสียหายเหล่านั้นให้กับรัฐบาลและผู้เสียภาษีแทน
ด้วยเหตุนี้ IMF จึงพยายามศึกษาสิ่งที่เรียกว่า ‘Efficient Price’ หรือราคาที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับธรรมชาติด้วย ซึ่ง IMF พบว่า ยังไม่มีรัฐบาลของประเทศใดเลยสักชาติเดียวที่เรียกเก็บค่า Efficient Price กับบริษัทใหญ่ ซึ่งยังพบอีกว่าร้อยละ 99 ของถ่านหิน ร้อยละ 52 ของน้ำมันดีเซล ร้อยละ 47 ของก๊าซธรรมชาติ และร้อยละ 18 ของแก๊สโซลีน ที่ถูกคิดราคาในราคาที่ต่ำกว่า Efficient Price
ความจริงที่น่าตกใจกว่านั้น IMF พบว่า การสนับสนุนเงินข้างต้นของบริษัทน้ำมันทั้งโลกนั้นได้รับจากประเทศเพียง 5 ประเทศเท่านั้น คือ สหรัฐฯ รัสเซีย อินเดีย จีน และญี่ปุ่น ซึ่งรับผิดชอบถึง 2 ใน 3 ของความช่วยเหลือด้านธุรกิจน้ำมันทั้งโลก เฉพาะแค่รัฐบาลสหรัฐฯ ก็ให้เงินสนับสนุนธุรกิจนี้ถึง 730 พันล้านดอลลาร์ในปี 2020 ซึ่งสถาบันติดตามสภาวะธรรมชาติและโลกแห่งสต็อกโฮลม์ (Stockholm Environment Institute and Earth Track) ระบุว่า การกระทำเช่นนี้ของสหรัฐฯ จะทำให้ธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติกว่าครึ่งหนึ่งของตลาดโลกสามารถทำกำไรไปได้ถึงอีก 100 ปีข้างหน้า อีกแง่หนึ่งยังมีการประเมินด้วยว่า หากสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐฯ หยุดการสนับสนุนด้านภาษีแก่ธุรกิจนี้ จะทำให้การขุดบ่อน้ำมันใหม่ในสหรัฐฯ ลดลงได้ถึงร้อยละ 25 จากที่มีอยู่ปัจจุบันในตลาด ซึ่งจะส่งผลกับโลกเป็นอย่างมาก
สำนักข่าว The Guardian ระบุว่า หากหยุดการสนับสนุนธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติได้ จะสามารถช่วยผู้คนให้รอดตายได้กว่า 1 ล้านคนต่อปี ซึ่งต้องเสียชีวิตจากมลภาวะในอากาศ และประหยัดเงินให้แก่รัฐบาลถึงหลักล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้รัฐบาลมหาอำนาจของโลกยังคงสนับสนุนบริษัทน้ำมันอยู่ เนื่องจากหากยกเลิกการสนับสนุนนี้จะทำให้ค่าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติดีดตัวสูงขึ้นฉับพลัน จนนำมาซึ่งการประท้วงในหลายประเทศ ดังนั้นการสนับสนุนเหล่านี้จึงถูกอ้างในนามของการช่วยเหลือครัวเรือนรายได้ต่ำ กลายเป็นวาทกรรมที่ใช้ในการต่อสู้กับฝ่ายการเมืองที่เรียกร้องให้มีการปฏิรูปการสนับสนุนกลุ่มทุนพลังงาน
ดังนั้น บรรดานักการเมืองในหมู่ประเทศมหาอำนาจ โดยเฉพาะสหรัฐฯ มีส่วนสำคัญอย่างมากในการสนับสนุนบริษัทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติขนานใหญ่ ทำให้บริษัทข้ามชาติเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าเสียหายที่เกิดขึ้น และยิ่งสนับสนุนให้บริษัทเหล่านี้ทำกำไรต่อเนื่องไปได้อีกเกือบ 100 ปี การผลักภาระมายังประชาชนผู้เสียภาษีให้เป็นคนออกเงินรับผิดชอบวิกฤตดังกล่าว จึงเป็นเรื่องที่ภาคประชาชนและสื่อมวลชนควรสนใจให้มากขึ้นต่อไป
ที่มา:
- Fossil Fuel Industry Subsidized at Rate of $11 Million per Minute
- At Least 128 Members of Congress Invested in Fossil Fuel Industry
- The Open Secrets