คนเมืองในยุคนี้กำลังเสี่ยงที่จะป่วยด้วยโรค ‘Sick building syndrome’ หรือที่เรียกกันว่า ‘กลุ่มโรคตึกเป็นพิษ’ สาเหตุมาจากฝุ่นละออง PM2.5 มลพิษทางอากาศ และความแออัดของที่อยู่อาศัยและที่ทำงาน โดยมีคำเตือนจากแพทย์ว่า ภายในปี 2563 จะมีคนเมืองป่วยด้วยโรคนี้กันมากขึ้น
จากการเปิดเผยของ ศ.พญ.อรพรรณ โพชนุกูล รองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์เป็นเลิศด้านโรคภูมิแพ้ โรคหืดและระบบหายใจ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ระบุว่า โรคตึกเป็นพิษ หรือ Sick building syndrome ไม่ได้หมายถึงโรคชนิดเดียว หากแต่เป็นกลุ่มโรคที่แสดงอาการเมื่อต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงจากการใช้ชีวิตในอาคาร ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงานหรือที่อยู่อาศัย โดยกลุ่มโรคนี้จะสัมพันธ์กับมลภาวะทางอากาศ ซึ่งคาดว่าในปี พ.ศ. 2563 หรือ ค.ศ. 2020 จะมีคนเมืองป่วยมากขึ้น
ศ.พญ.อรพรรณ กล่าวว่า กลุ่มโรค Sick building syndrome เป็นกลุ่มโรคที่วงการแพทย์ในปัจจุบันให้ความสำคัญและเฝ้าระวังอย่างมาก เนื่องจากพบว่าประชากร 1 ใน 3 ของผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองมีประวัติป่วยเป็นกลุ่มโรคนี้ และมีแนวโน้มว่าผู้ป่วยจะเพิ่มมากขึ้นตามจำนวนประชากร โดยเฉพาะในเขตเมืองที่มีประชากรหนาแน่น การจราจรติดขัด และอาคารบางแห่งยังเป็นโครงสร้างแบบเก่าที่มีความชื้น ไม่มีการระบายอากาศที่ดี และใช้สีทาผนังหรือสิ่งพิมพ์ที่เป็นสารระเหยง่าย (volatile organic compounds)
ศ.พญ.อรพรรณ อธิบายเพิ่มว่า มลพิษภายในอาคารเกิดขึ้นได้ทั้งจากอากาศที่เล็ดลอดเข้ามา และเกิดจากภายในอาคารเอง ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ที่ระบบระบายอากาศไม่ถ่ายเท พรมทางเดินมีไรฝุ่น มีการตกแต่งอาคารโดยใช้สีทาผนังซึ่งเต็มไปด้วยสารเคมีต่างๆ รวมถึงมีความชื้น รอยรั่วซึม ซึ่งทำให้เกิดเป็นเชื้อราตามฝาผนัง ซึ่งทั้งหมดส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลียง่าย ปวดหัว ไอ จาม คลื่นไส้ หายใจไม่สะดวก ฯลฯ
“เราต้องสังเกตอาการตัวเองให้ดี เช่น ทำไมเดินเข้าอาคารนี้แล้วรู้สึกไม่ค่อยดี อยู่นานๆ แล้วรู้สึกเวียนหัว เพลีย แสบคอ คันตา คันจมูก คันผิวหนัง อาการผิดปกติเช่นนี้เกิดจากการที่เราไปใช้ชีวิตอยู่ในอาคารที่มีมลพิษทางอากาศ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค”
ผู้อำนวยการศูนย์เป็นเลิศด้านโรคภูมิแพ้ฯ แนะนำว่า การเอาตัวเองออกมาข้างนอกจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น แต่สำหรับผู้ที่มีประวัติป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ โรคทางเดินหายใจ จะได้รับผลกระทบมากกว่าผู้อื่น หรืออาจมีอาการรุนแรงมากยิ่งขึ้น เช่น ผู้ป่วยโรคหอบก็จะเสี่ยงอาการกำเริบมากขึ้น และถึงแม้จะไม่ได้มีโรคประจำตัว ครอบครัวไม่ได้มีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้ แต่หากใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่ที่มีความเสี่ยงทุกวันก็จะกลายเป็นผู้ป่วยได้ในที่สุด
นอกจากนี้ คนเมืองยังสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรค ‘ออฟฟิศซินโดรม’ ซึ่งมาจากการทำงานที่ใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำๆ ขาดการออกกำลังกาย เพราะการใช้ชีวิตในพื้นที่แนวดิ่งไม่เอื้ออำนวย เช่นเดียวกับการเกิดกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs: Non-communicable diseases) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากวิถีชีวิตที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การบริโภคอาหารประเภทหวาน-มัน-เค็ม มากเกินไป และขาดการออกกำลังกาย
สำหรับแนวทางการแก้ปัญหา คือการปรับปรุงสถานที่ให้เป็นมิตรต่อสุขภาวะให้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น ผู้ที่อาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียม แม้ระบบอาคารจะถูกออกแบบใหม่เพื่อให้อากาศถ่ายเท แต่ถ้าคอนโดอยู่ในสถานที่ตั้งที่มีดัชนีคุณภาพอากาศ (Air Quality Index: AQI) อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ก็ต้องมีเครื่องฟอกอากาศช่วย และต้องถูกวางในห้องที่สมาชิกครอบครัวใช้เวลามากที่สุด โดยเปิดทิ้งไว้ล่วงหน้า 30 นาทีเป็นอย่างน้อย ขณะเดียวกัน ภายในห้องนอนควรจัดให้โล่งที่สุด ไม่ควรมีพรมซึ่งเสี่ยงต่อการสะสมไรฝุ่น หมั่นทำความสะอาดผ้าม่านอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการมีตุ๊กตาและหมอนจำนวนมาก เพราะเสี่ยงต่อการเก็บกักเชื้อโรคและสารก่อภูมิแพ้
“ที่สำคัญคนเมืองยุคนี้ต้องปรับพฤติกรรมตามหลัก 4Es ตั้งแต่ eating (การกิน) exercise (การออกกำลังกาย) environment (ปรับสภาพแวดล้อมรอบตัว) emotion (ปรับอารมณ์) ให้ถูกสุขลักษณะ และติดตามข่าวสารอยู่เสมอ ไม่ควรไปยังสถานที่ใดที่ค่าดัชนีคุณภาพอากาศอยู่ในขั้นเฝ้าระวัง พกพาหน้ากากอนามัยให้เป็นนิสัย และยิ่งเมื่อต้องเข้าไปอยู่ในที่ที่มีฝุ่นหนาแน่นต้องใส่หน้ากากแบบ N95 ซึ่งป้องกันฝุ่น PM2.5 และเชื้อไวรัสได้ ส่วนในกรณีผู้ที่มีประวัติป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ ต้องพกยาติดตัวไว้เสมอ เพราะไม่อาจรู้ได้ว่าจะต้องไปเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงเมื่อใด” ศ.พญ.อรพรรณ กล่าว
ศ.พญ.อรพรรณ กล่าวว่า ตลอดปี 2562 ที่ผ่านมา มลพิษทางอากาศและฝุ่นละอองขนาดเล็กยังคงเป็นปัญหาสำหรับคนในเขตเมือง และในปี 2563 เป็นต้นไป คาดว่าจะมีผู้ป่วยจากโรคตึกเป็นพิษมากขึ้น ฉะนั้นจึงต้องเพิ่มความระมัดระวังยิ่งขึ้นกว่าเดิม
สนับสนุนโดย