ผลประกอบการที่ไม่น่าพอใจ ประกอบกับราคาที่ดินที่พุ่งสูง ทำให้เจ้าของกิจการสถานีจำหน่ายน้ำมันหลายแห่งในสหรัฐอเมริกาตัดสินใจปิดกิจการและขายที่ดินให้กับนายทุนเพื่อนำไปพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ
ข้อมูลจากสำนักข่าวปิโตรเลียมแห่งชาติ แสดงให้เห็นว่าจุดจำหน่ายน้ำมันทุกประเภท เมื่อปลายปี 2012 ลดเหลือเพียง 156,065 แห่ง ซึ่งส่วนต่างคิดเป็นร้อยละ 1 จากปี 2011 นับเป็นปีที่ 7 ติดต่อกันแล้วที่จุดจำหน่ายน้ำมันทยอยปิดกิจการ ยิ่งเมื่อย้อนไปดูสถิติจากปี 2002 จำนวนสถานีจำหน่ายน้ำมันลดลงไปถึง 14,000 แห่ง
แนวโน้มเช่นนี้มีมาตั้งแต่ปี 1990 โดยสาเหตุสำคัญประการแรกมาจากการเติบโตของร้านค้าปลีกขนาดใหญ่อย่าง Costco และ Walmart พวกเขาได้เริ่มจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในห้างขนาดใหญ่สาขาต่าง ๆ ซึ่งเครือข่ายการค้าปลีกขนาดมหึมา แน่นอน ความสามารถในการแข่งขันย่อมสูงกว่าสถานีน้ำมันขนาดเล็ก
สาเหตุประการถัดมา คือ ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ผู้คนออกเดินทางไปทำงานน้อยลง การขนส่งสินค้าอยู่ในระดับต่ำ การใช้งานยานพาหนะจึงน้อยลงไปตามๆ กัน อีกทั้งอเมริกันชนรุ่นใหม่ก็ไม่นิยมซื้อรถยนต์อย่างในอดีต หลาย ๆ คนหันไปใช้บริการขนส่งสาธารณะแทน บริษัทรถยนต์เริ่มพัฒนาเทคโนโลยีของตนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นผลให้อัตราการบริโภคน้ำมันต่อระยะทางน้อยลง
ในด้านกิจการขนส่งที่จำเป็นต้องใช้ยานพาหนะอย่าง รถบัส และรถบรรทุกอย่างสม่ำเสมอ ก็ได้เปลี่ยนระบบไปใช้ก๊าซธรรมชาติแทน สถานีบริการน้ำมันหลายแห่งเริ่มพัฒนาให้มีขนาดใหญ่ กดดันให้ผู้ค้ารายย่อยต้องปิดกิจการไป
ประการสุดท้าย ในปัจจุบันหัวเมืองใหญ่ ๆ ไปจนถึงชานเมือง และย่านมหาวิทยาลัย เริ่มมีการสนับสนุนให้ใช้เครือข่ายรถประจำทาง รถรางเบา และเลนจักรยานกันอย่างคึกคัก ความจำเป็นในการหาซื้อน้ำมันจึงน้อยลง และประมาณการกันว่าอัตราการบริโภคน้ำมันจะไม่มีทางกลับไปสู่จุดสูงสุดอย่างในอดีตได้อีก
****************************
(ที่มา : thedailybeast.com)