เรื่อง : วีรพงษ์ สุนทรฉัตราวัฒน์
ภาพ : อนุช ยนตมุติ
เขาไม่ใช่นักแข่งรถ แต่เบนจามิน แฟรงคลิน ก็สรรเสริญความเร็วเป็นที่พึ่งทางใจ (และกาย) เพราะชายผู้มีลมหายใจอยู่ในอากาศของศตวรรษที่ 18 ท่านนี้ มองผลกำไรคู่กับเวลา ในลักษณะแปรไม่ผกผัน
Time is money – เวลาเป็นเงินเป็นทอง คติยึดเหนี่ยวจิตใจของโลกทุกวันนี้ ซึ่งเป็นมรดกที่เบนจามินทิ้งไว้ให้ แต่ดูเหมือนว่า เป็นเอก รัตนเรือง จะเคยพูดไว้บนหน้ากระดาษของหนังสือ : อย่างน้อยที่สุด หนังสือที่ยังคงเก็บเสียงความคิดของเขาไว้อย่างละเอียดเมื่อ 3 ปีก่อน ว่า เขาสรรเสริญความขี้เกียจ – เวลาขี้เกียจคือรางวัล
และเมื่อตกลงกันในกองบรรณาธิการได้ว่า เราต้องการสเป็กใครสักคนที่ขี้เกียจๆ มาบริจาคทัศนะในพื้นที่คอลัมน์ Interview ประโยคที่ว่า ความขี้เกียจคือรางวัลของชีวิต จึงลอยมาเข้าหูกองบรรณาธิการชนิดเรียงบุคคล
ในที่สุด ใบหน้าของเขาก็ปรากฏขึ้นแบบง่วงหงาวหาวนอน อย่างที่เห็นความขี้เกียจในความหมายของเป็นเอก หาใช่ความอีเหลื่อยเฉื่อยแฉะ หรือเกียจคร้านสันหลังยาว ถ้าแปลออกมาในโทนโรแมนติกสักหน่อย ก็ต้องบอกว่า ความขี้เกียจของเป็นเอกเป็นเวลาที่สวยงามของชีวิต
แม้ว่าหนังแต่ละเรื่องจะได้รับความสนใจจากเทศกาลหนังใหญ่ๆ ของโลก แต่เขาก็ไม่ได้มาพูดเพื่อเพิ่มปริมาณความเก๋ให้ตัวเอง แต่ชีวิตที่ผ่านมาค่อยๆ บอก ค่อยๆ ทอน สิ่งที่ล้นเกินออกจากชีวิต – จนมีพลังต่อรองเพื่อกำหนดจังหวะจะโคนชีวิตกับตัวเอง
มีคนที่คิดแบบเบนจามิน มีคนที่คิดแบบเป็นเอก เดินปะปนกันในโลกที่ถูกสลายพรมแดนระหว่างประเทศด้วยใยแมงมุมของอินเทอร์เน็ต
ปลายทางของรถสองคันต่างอยู่ที่เดียวกัน – ความสุข
รถคันหนึ่งมุ่งหน้าด้วยความเร็ว อีกคันเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความเนิบช้า
คนที่คิดแบบเบนจามินไม่ผิด ที่เลือกนั่งรถคันแรก เพราะเงื่อนไขชีวิตของคนที่คิดแบบเบนจามินเป็นคนละเงื่อนไขกับคนที่คิดแบบเป็นเอก
เป็นเอกก็ไม่ผิด ที่เลือกขับรถไปช้าๆ และมักหักรถลงข้างทางหนีไปทำหนังทีละนานๆ ก่อนจะกลับขึ้นมาบนซูเปอร์ไฮเวย์อีกครั้ง
เราเห็นด้วยกับเป็นเอกอยู่ข้อหนึ่ง ที่เขาบอกว่า จะขึ้นรถคันไหนก็ตาม ขอให้มีความสมดุล
ไม่ว่าจะเป็นความคิดที่ผ่านบทสัมภาษณ์ หรือแม้แต่ภาพลักษณ์ภายนอก ที่เด็กรุ่นหลังๆ ต่างพากันนิยม คุณยังจะปฏิเสธได้อีกหรือ ว่าคุณไม่ใช่คนเท่ ไม่ใช่ฮีโร่ของพวกเขาเหล่านั้น
ไม่ฮะ ผมเป็นตัวของตัวเอง ผมมาทำหนังเพราะเหตุผลเดียวเลยคือผมชอบทำมัน ผมทำเพราะมีความสุข บังเอิญว่ามีโอกาสทำ แล้วผมก็ยืนยันอย่างนี้มา 12 ปี ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ อะไรที่เกินเลยจากนี้ผมไม่เอา จะมาเปิดตู้เสื้อผ้าดูประเภทเสื้อผ้าคนดัง ผมไม่เอา ผมออกทีวี ลงหนังสือ ลงสัมภาษณ์ หน้าผมอยู่บนปกหนังสือบางเล่ม สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อผมมีหนังต้องโปรโมท ช่วงชีวิตที่ผมไม่ได้ทำหนัง ถ้ามีหนังสือโทรมาขอสัมภาษณ์ ผมไม่เอาฮะ เพราะคนธรรมดาเขาไม่ลงหนังสือกัน ผมไม่มีเรตติ้งที่ต้องรักษา
ถ้าพระเจ้ามีจริงนะ ผมรู้สึกว่าท่านคงมีความปรานีกับผมมาก ท่านให้ผมมาทำในสิ่งที่ผมชอบ คือค้นหาตรงนี้จนเจอเองโดยที่ไม่ได้ร่ำเรียนมา ผมก็มาเจอกับสิ่งนี้-มาเจอการทำหนัง แล้วผมก็ทำมันอย่างเป็นธรรมชาติกับตัวเองมาก ผมมีพรสวรรค์จำนวนหนึ่งที่จะทำมัน พอทำเสร็จแล้ว พระเจ้าก็ยังบอกอีกว่า ให้ความสำเร็จมันบ้างนะ อย่าให้มันเงียบนัก ให้มันมีชื่อเสียงด้วย แต่อย่าให้มันมีชื่อเสียงมาก อย่าให้มันได้เงินมาก ผมรู้สึกว่าทุกอย่างถูกคำนวณไว้หมดแล้ว เพื่อให้ผมอยู่ตรงนี้ แล้วผมก็จะได้เข้าใจตัวผมเอง เพราะถ้าทำหนัง 3 เรื่องแรกแล้วได้ร้อยล้าน ผมก็คงไม่ใช่คนคนนี้ คงไม่มีทัศนคติอย่างนี้กับชีวิต ผมก็อาจจะกร่างกว่านี้อีก 20 เท่า เลยรู้สึกว่าเป็นความปรานีของพระเจ้าเหมือนกันนะ ที่ผมได้อะไรมากมายแต่ไม่ได้มากเกินไป
ความสมดุลเป็นสิ่งดีที่สุด สมมุติผมทำหนัง หนังผมมันก็ไม่ได้เงียบจ๋อย ไม่ถึงขนาดที่ไม่มีใครพูดถึงเลย หรือทำเงินได้แค่ 2 แสนบาท มันก็ไม่ใช่อย่างนั้น ทุกครั้งที่ผมทำหนัง ก็จะมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้น อย่างอยู่ๆ เขาก็เลือกหนังไปเมืองคานส์ ในขณะเดียวกัน ผมก็ไม่เคยถึงขั้นว่าไปเมืองคานส์แล้วได้รางวัลใหญ่ พอกลับมาเมืองไทยได้อีก 80 ล้าน ผมก็ไม่เคยได้รับถึงตรงนั้น เหมือนกับว่าพอได้สิ่งนี้ก็จะมีสิ่งนี้มาบาลานซ์กันเอาไว้ ทำให้ผมไม่สามารถรู้สึกหยิ่งผยองทระนงบ้าๆบอๆ แล้วคนรอบตัวผม ทีมงานผม เพื่อนที่ทำงาน ก็ไม่มีใครเห็นผมเป็นไอดอล ทุกคนมีสิทธิบอกผมได้ว่าอันนี้ไม่เข้าท่าเลย อย่าทำเลยนะพี่ ผมโชคดี
คือถ้าได้รับเกียรติ ได้รับความสนใจมากไปกว่านี้ แนวโน้มคุณจะรู้สึกอึดอัดมีปัญหาในการตั้งรับ หรือว่าคุณจะรู้สึกฮึกเหิมพองโต มากกว่ากัน
ถ้าให้เดา… คิดว่าน่าจะรู้สึกอึดอัด
นางเอกหนังแต่ละเรื่องของคุณจะดูเด้งๆ รสนิยมการเลือกนางเอกกับรสนิยมส่วนตัวแยกขาดออกจากกันไหม
ผมจะเมคชัวร์ว่านางเอกที่ผมเลือกในหนังจะไม่ใช่รสนิยมผู้หญิงที่ผมชอบส่วนตัว เพราะผมขี้เกียจหลงรักนางเอก มันเคยมีมาแล้ว แล้วมันไม่ดี
คนมักพูดว่าหนังที่ดีมักเริ่มจากสคริปต์ที่ดี ผมว่าไม่จริง ผมว่าหนังที่ดีเริ่มจากนักแสดงที่น่าสนใจ สคริปต์ยังเป็นเรื่องรอง คุณต้องอยากนั่งดูคนๆ นี้ไปชั่วโมงครึ่ง แล้วไม่ว่าเขาจะทำอะไรคุณก็จะตามดู อย่างนี้ผมถือว่าน่าสนใจ มันจะมีคนบางคนทำแบบนั้นได้จริงๆ หมายถึงคุณนั่งดูแล้วมันเพลิน แล้วมันไม่เกี่ยวกับสวยไม่สวย เด้งไม่เด้งนะ (หัวเราะ) มันมีอะไรบางอย่าง แล้วคนบางคนมันก็… ตัวจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นน่ะ แต่ยืนหน้ากล้องแล้วมหัศจรรย์มาก แบบโอ้โห เฮ้ย! แม่ง.. อย่างนี้ครับ มันก็มี
อย่างที่คุณบอกว่าทำหนังด้วยความท้าทาย ก้อนความท้าทายนี้มันผุดขึ้นจากอะไรบ้าง
ส่วนมากมันผุดขึ้นมาจากหนังเรื่องที่แล้ว หนังที่เราทำเสร็จไปแล้ว เราก็จะเห็นว่าไม่ชอบอะไร เวลาผมทำหนังเสร็จ – ผมจะภูมิใจทุกครั้ง เรื่องนี้มันดีว่ะ เรื่องนี้มันใช้ได้ ยิ่งมีอะไรมายืนยันจากภายนอกด้วย อย่างเมืองคานส์มาเลือกหนังเราไป ยิ่งรู้สึกดีไปใหญ่เลย เออ…หนังกูเจ๋งว่ะ กูก็เจ๋งว่ะ แต่หลังจากนั้น 2 เดือน มานั่งดูอีกที ตอนนั้นล่ะครับความจริงจะปรากฏ กูทำอย่างนั้นไปได้ไงวะ ตรงนี้ทำไมกูไม่ทำอย่างนั้น พอ 2-3 เดือนผ่านไป อีก้งอีโก้ทั้งหลายมันได้กลับไปอยู่ในที่ทางที่ถูกต้องของมันแล้ว ตรงนั้นความจริงจะปรากฏ
ผมถึงไม่เคยมีความรู้สึกว่าต้องอาศัยบทวิจารณ์ของนักวิจารณ์มาบอกหนังผมว่าควรจะปรับปรุงยังไง ผมทำเสร็จก็รู้ว่ามันไม่ดีตรงไหน แล้วความท้าทายมันก็จะเกิดจากตรงนั้นว่า คราวที่แล้วไม่น่าเลยกู คราวหน้าเอาใหม่ กูจะแก้ตัว แล้วมันก็ไม่เคยทำสำเร็จจริงๆ สักเรื่อง ตั้งแต่ทำหนังมานี่ พอแก้ตรงนี้ได้ ก็ไปทำเหี้ยตรงนั้นอีก มันก็จะเป็นอย่างนี้ไปทุกๆ เรื่อง
การทำหนังเรื่องหนึ่งออกมา จะดีหรือไม่ดี มันอาศัยโชคอย่างแรง อาศัยความฟลุคเยอะมาก หนังเรื่องหนึ่งมันพร้อมจะเหี้ยได้เสมอ เพราะจากวันที่เรามีไอเดียจะทำหนังเรื่องนี้ไปจนถึงวันที่มันเสร็จ ระหว่างทางมันยาวนานมาก อุปสรรคมหาศาล หนังเรื่องหนึ่งจะออกมาดีทุกอย่างแม่งต้องดีหมดเลย แต่ถ้าหนังเรื่องหนึ่งมันจะออกมาเหี้ย อย่างเดียวเหี้ยมันก็เหี้ยได้เลย อย่างอื่นดีหมดเลยแต่นักแสดงเหี้ยปั๊บ หนังก็เหี้ยเลย หรือนักแสดงดี ทุกอย่างดีหมดเลย แต่ตัดต่อเหี้ยมันก็เหี้ยได้เลย การทำหนังเรื่องหนึ่งเสร็จออกมาแล้วมันดีพอใช้ได้ เรารู้ว่ามันอาศัยโชคมากเลย
โอเค โชคไม่ใช่อย่างเดียว มันหลายๆ อย่างประกอบกัน แต่โชคมีส่วนมาก เรารู้สึกตลอดเวลาว่า เดี๋ยวๆ เดี๋ยวคนเค้าก็รู้ว่ามึงฟลุคหรอก แต่มันก็ดี ความรู้สึกนี้มันก็ทำให้เราทำงานหนัก พอเรากลัว – เราก็ทำงานหนักขึ้น
ก่อนหน้านี้คุณเคยเชื่อเรื่องโชคและความฟลุคไหม
เชื่อครับ ผมเกิดแล้วโตมาได้ขนาดนี้โดยไม่ได้สร้างความเสียหายมากกว่านี้ ก็เรียกว่าเป็นความฟลุคมหาศาลครับ
เกี่ยวไหมที่จังหวะการเล่าเรื่องในหนังของคุณเนิบช้า เพราะคุณกำลังออกแบบให้ชีวิตช้าลง
คงเกี่ยว เวลาผมดูหนังที่เขาทำกัน ที่เล่าเรื่องเร็วๆ คนยกน้ำดื่มแค่นี้แม่งมี 7 คัต ผมก็ดูไม่สนุก ผมไม่รู้สึกอะไรกับมันเลย แต่เวลาที่ผมดูหนังที่มันช้าหน่อย โอเค ผมอาจต้องใช้ความอดทนหน่อยนะในการนั่งดูมัน แต่พอมันเอาผมอยู่เมื่อไหร่ ผมจะรู้สึกกับมันมาก มากกว่าหนังเร็วๆ
การดูหนังมันก็เหมือนอ่านหนังสือ เราอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง มันก็มีบางหน้าที่เรารู้สึกว่ามันช้านะ มันน่าเบื่อนะตรงนี้ แต่เราก็ไม่ได้เปิดข้าม 4 หน้านี้ เราก็อ่านมันไม่ใช่เหรอ แล้วเดี๋ยวมันก็สนุกอีกแล้ว ผมมีความรู้สึกว่า การไปดูหนังของผม มันก็ควรจะมีความรู้สึกเดียวกัน แล้วผมก็ไม่รู้สึกอะไรในการที่คนดูหนังของผมจะหลับนะ ตรงนี้หลับก็หลับไป ตื่นมาก็ดูต่อ ผมหลับประจำครับเวลาดูหนัง แล้วก็ไม่เคยคิดว่า มันเป็นความผิด
ผมไปดู Terminator 4 หลับไปชั่วโมงหนึ่งฮะ มันยิงกันจนผมหลับน่ะ ไม่มีห่าอะไรเลย มันยิงกันจนผมหลับ ตื่นมาผมก็ดูต่อ แล้วข้อดีของหนังเรื่องนี้คือเรื่องมันไม่มีห่าอะไรเลย ผมหลับไปชั่วโมงหนึ่ง ตื่นมายังตามเรื่องได้เลย ยังดูได้จนจบ ผมไปดู Angels & Demons ผมก็วูบไปช่วงหนึ่งช่วงใหญ่ๆ เลย ตื่นมาผมก็ดูต่อ ผมไม่คิดว่าการหลับในโรงหนังเป็นเรื่องผิดเลยนะ เหมือนหนังสือ พอตอนเบื่อๆ เราก็พัก แล้วอ่านต่อ
แต่มันเกี่ยวครับ หนังเราที่มันช้าลงๆ ส่วนหนึ่งก็เพราะเราใช้ชีวิตช้าลงด้วย เรื่อง ‘นางไม้’ นอกจากจะเป็นหนังรักหนังผีแล้ว มันยังพยายามบอกคนดูด้วยว่าให้ใช้ชีวิตช้าลง คือนางเอกในเรื่อง มันจะโทรมือถือตลอดเวลา เข้าเน็ตตลอดเวลา เข้าป่าก็ยังบ้ามือถืออยู่เลย ในขณะที่พระเอกเป็นตากล้อง ถ่ายรูป แต่ยังถ่ายด้วยฟิล์ม ไม่ยอมถ่ายดิจิทัล พอถ่ายเสร็จ มันก็มาล้างในห้องมืดบ้านมัน แต่ล้างเสร็จ ก็ต้องสแกนเข้าคอมฯนะ เพราะมันต้องส่งไปลงหนังสือ เขาใช้ไฟล์ดิจิทัลกันไง แต่มันก็ปฏิเสธที่จะถ่ายดิจิทัล แล้วมันก็ไม่มีปัญหาอะไรเพราะมันรู้สึกว่าการได้ทำสิ่งนี้เป็นสุนทรีย์ของชีวิต มือยังจุ่มน้ำยาอยู่ เหมือนผมครับ สูบบุหรี่ผมก็มวนเอง ผมไม่ซื้อบุหรี่เป็นซองๆ ถ่ายรูปก็ใช้กล้องฟิล์ม ไม่ถ่ายดิจิทัล โอเค แม้มันจะเพิ่งเกิดขึ้นตอนผมทำหนังเรื่องนี้ แต่ผมพบว่ามันสนุกดีที่ได้ล้างเอง ได้ลุ้นว่ามันจะเป็นยังไง
ผมติดต่อกับเพื่อนผมก็ไม่ใช้อีเมล ผมเขียนจดหมายมือครับ อีเมลผมใช้ทางธุรกิจ ผมติดต่อโปรดิวเซอร์ ติดต่อเทศกาลหนัง ผมต้องใช้อีเมล แต่กับเพื่อน ผมใช้มือเขียนจดหมายถึงเพื่อน 4-5 คนในโลกนี้ ผมเขียนจดหมายถึงพวกเขา สำหรับผมการได้ทำอะไรช้าๆ มันมีความสุข แล้วบางทีมันก็มีอะไรที่เราไม่คาดคิดเข้ามาในชีวิตจากการทำสิ่งเหล่านี้ ผมถ่ายกล้องรูเข็มแล้วก็ชอบลืมบิดเคลื่อนฟิล์ม ไอ้เหี้ย! ถ่ายซ้ำรูปเดิมที่ Expose ไปแล้ว ไอ้เหี้ยเสือกถ่ายซ้ำอีก ตอนไปล้างนะ โอ้โห! แม่งโคตรเจ๋งเลย มันก็มีไง ทั้งม้วนนี่เหี้ยหมดเลย มีอยู่ช่องหนึ่งที่แบบ… สุดยอด แค่นี้ก็เป็นรางวัลแล้ว
พระเอกในหนังของคุณพยายามที่จะเดินให้ช้าลง แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว มันก็ไม่สามารถควบคุมหรือกำหนดจังหวะชีวิตของมันได้ทั้งหมด?
เดี๋ยวก่อนนะ เวลาเราพูดเรื่องพวกนี้คงต้องเริ่มด้วยทัศนคติก่อน อย่างผมเขียนจดหมายด้วยมือ ผมยังทำอะไรแบบนี้อยู่ ผมไม่ได้ต่อต้านอะไรนะครับ ผมแค่ชอบที่ได้ทำแบบนี้ แต่ถ้าผมเป็นพระเอก ในเรื่อง ‘นางไม้’ แล้วเหตุการณ์บังคับให้ผมต้องถ่ายดิจิทัลเพื่อการงาน ผมก็คงถ่าย แล้วผมก็คงถ่ายฟิล์มเล่นของผม เมื่อมีโอกาสที่ผมต้องการจะถ่ายเล่น ถ้าผมปฏิเสธและต่อต้านจริงๆ ผมคงไม่มีคอมฯ ไม่มีมือถือไปเลย
ผมไม่มีมือถืออยู่ตั้งนาน แต่ในที่สุดก็ต้องมีเพราะสงสารโปรดิวเซอร์ เขาตามหาตัวผมไม่เจอ เขาก็ไม่รู้จะทำไง เดี๋ยวเขาก็จะเครียดมะเร็งแดกตายห่า สงสารเขา ผมก็เลยมีมือถือไว้ให้เขาติดต่อกับผม
สำหรับอีเมล ผมก็ต้องใช้เพราะเรื่องธุรกิจ เทศกาลหนังติดต่อจะเอาหนังผมไปฉาย จะเอาตัวผมไป จะต้องจองโรงแรมที่ไหน สายการบินอะไร อย่างนี้มันต้องใช้อีเมลแน่ๆ มันจำเป็นไงล่ะ แต่ถ้าผมติดต่อกับเพื่อนที่เลบานอน สวีเดน อินเดีย ผมก็เขียนจดหมายด้วยมือ เพราะเขาเป็นเพื่อน แล้วเราก็ไม่มีเรื่องธุรกิจกัน การเขียนจดหมายด้วยมือ มันไม่ใช่แค่มีเวลา มันต้องมีอารมณ์ด้วย มันถึงจะเขียนได้ ฉะนั้นถ้าตอนนั้นเรามีทั้งอารมณ์มีทั้งเวลา มันก็เป็นความรู้สึกที่สุนทรีย์จริงๆ
ไม่ใช่ว่าจะต่อต้าน?
มันไม่ใช่การต่อต้าน แต่เราชอบที่จะทำแบบนี้ เราทำมันเพราะมันให้ความรู้สึกดีๆ กับเรา แต่หากว่ามันไม่เหมาะสม เราก็ทำมันไม่ได้ พระเอกของเรื่องนี้มันก็คล้ายๆ กัน ถ้ามันถูกบังคับให้ถ่ายดิจิทัล หรืองานนี้มันรีบมาก มันไม่สามารถที่จะถ่ายเป็นฟิล์มแล้วล้าง อัด กว่าจะสแกน ถ้ามันต้องรีบมากมันก็ถ่ายดิจิทัลฮะ
คำว่า ขี้เกียจ กับ คำว่า อิสรภาพ ในพจนานุกรมของคุณ มีความหมายเดียวกันไหม
ขี้เกียจ กับ อิสรภาพ มันคนละความหมาย แต่ผมว่ามันเกี่ยวเนื่องกัน ถ้าเรามีอิสรภาพ เราจะมีช่วงเวลาขี้เกียจได้มากกว่าคนที่ไม่มีอิสรภาพ อิสรภาพในที่นี้คืออิสรภาพจริงๆ ผมเชื่อเลยว่าถ้าผมเป็นเจ้าของกิจการที่นี่ (The Film Factory) อิสรภาพของผมก็จะน้อยลง โอกาสที่ผมจะหายไป 2 ปี หายไป 8 เดือน เพื่อไปทำหนังเรื่องหนึ่งก็ไม่มีโอกาสที่ผมจะ… เฮ้ย วันนี้ไม่มีงานทำว่ะ นั่งรถไฟไปพิษณุโลกดีกว่า ไปปฏิบัติธรรมสัก 10 วันดีกว่า ผมก็ไม่มีสิทธิ
ผมขึ้นรถไฟไปไหน ไปเชียงใหม่ ไปพิษณุโลก มันไม่ค่อยมีคนไทยแล้วนะเดี๋ยวนี้ มีแต่ฝรั่งแบ็คแพ็ค เพราะคนไทยนั่งเครื่องหมดแล้ว พอผมบอกใครว่านั่งรถไฟไปเชียงใหม่ “พี่นั่งรถไฟเลยเหรอ?!”เหมือนมันเป็นเรื่องประหลาดมาก “แต่ถ้าพี่นั่งเครื่องเพิ่มอีกพันเดียวนะพี่” ผมไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินนะ “แต่ชั่วโมงเดียวพี่ถึงเลยนะ – เชียงใหม่” ถึงเชียงใหม่เร็วกูต้องรีบไปทำเหี้ยอะไรต่ออะไรอีกเต็มไปหมด เอ้า! โทรหาเพื่อน ออกไปดูที่หน่อยเว้ย เฮ้ยไปไหนดีวะ ไอ้นี่มันนัดกับไอ้นั่นว่ะ มึงจะมามั้ย แต่ถ้าผมต้องนอนไปบนรถไฟ ผมทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากเดินไปตู้เสบียง มวนบุหรี่จุดดูด สั่งเบียร์ นั่งอ่านหนังสือไป ถ้าไปกับเพื่อนก็นั่งคุยสัพเพเหระใช่มั้ย แล้วผมก็ชอบเวลาช่วงก่อนถึงเชียงใหม่ ผมสร้างช่วงเวลาระหว่างกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ให้เป็นช่วงขี้เกียจของผมได้
ความขี้เกียจในความหมายที่เราคุยกันถือเป็นความเก๋ไหม ในแง่ที่ว่าดูมีรสนิยม ดูสูงส่งกว่าพวกหนูถีบจักร ทำงานตามสายพาน
อันนั้นมันคงแล้วแต่คนมอง บางคนเขาก็มองว่าการทำงานหนัก มีเงินเยอะๆ เป็นความเก๋ อยู่ที่คนจะมอง ก็เหมือนทุกอย่างในโลก อยู่ๆ การสร้างภาพยนตร์ไทยก็เป็นเรื่องเก๋ขึ้นมา ในขณะที่เมื่อผมเริ่มทำหนังใหม่ๆ มันน่าดูถูกจะตาย ผมไม่ได้เห็นว่ามันเป็นความเก๋นะฮะ แต่เป็นความจำเป็นมากกว่า
อย่างถ้าวันนี้นัดสัมภาษณ์ 9 โมงครึ่ง ผมก็ไม่เอา เพราะว่าผมต้องมีเวลานิ่งๆ จำนวนหนึ่งก่อน ถึงจะเข้ามาสู่ชีวิตในแต่ละวันได้ ผมไม่สามารถ… นาฬิกาปลุกปุ๊บ ลุกขึ้นมาปั๊บ อาบน้ำแล้วมานี่ได้ทันที ผมทำไม่ได้ ตื่นมาผมต้องชงกาแฟกิน นั่งอ่านหนังสือ ต้องอยู่คนเดียวไม่พูดกับใครสักพักหนึ่ง ผมไม่ได้เห็นว่ามันเป็น ความเก๋ สำหรับผม มันเป็นความจำเป็นเสียด้วยซ้ำ มันมีบางช่วงที่เราทำอย่างนี้ไม่ได้ ติดๆ กันเป็นเวลา นาน เราจะรู้สึกเลยว่าอารมณ์จะไม่ดี
คนที่จะพูดว่า “กูอยากขี้เกียจโว้ย” แสดงว่าเขาคนนั้นต้องผ่านการขยันบรรลัยมาก่อน?
ถอยกลับไป 10 กว่าปีที่แล้ว ผมทำงานเยอะมาก ส่วนหนึ่งมันก็มากับอายุด้วย คือว่า พอเราอายุมากขึ้น แรงเราก็ไม่เยอะเท่าเมื่อก่อน แล้วเราก็ได้ทำอะไรมาเยอะแล้ว เราก็ต้องบอกตัวเองว่า แรงที่จะใช้ในชีวิตนับแต่นี้ไป มันต้องใช้แบบฉลาดหน่อย ต้องโฟกัสหน่อย พอโฟกัสแล้วอะไรที่ไม่จำเป็นเราก็เริ่มตัด อะไรที่ไม่จำเป็นก็ไม่ทำ เราก็ตัดทิ้งๆ แล้วพออายุมากขึ้น การปฏิเสธคนมันง่ายขึ้น ตอนที่อายุน้อยก็ต้องครับๆ ได้ครับ ไม่รู้ทำห่าอะไรไปบ้าง ทำเต็มไปหมดเลย พออายุมากขึ้น มันก็สามารถบอกคนได้ว่า ไม่ครับ ผมไม่ทำอย่างนี้ ผมไม่ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ อย่ามาเปิดตู้เสื้อผ้าผมดูนะ คอลัมน์ในหนังสือบางยี่ห้อมันจะมี มุมสบายที่บ้านห่าอะไรอย่างนี้ ผมไม่ทำฮะ นี่มันพวกดาราหรือเซเลบฯ เขาทำกัน เราบอกได้ว่า เราไม่ทำ
ฉะนั้น ไอ้สิ่งที่จะทำในชีวิตก็น้อยลง มันจะเหลือสิ่งที่เราต้องทำ ถึงแม้ไม่อยากทำแต่ต้องทำ เราก็ทำ และเหลือสิ่งที่อยากทำใช่มั้ย มันก็เหลือแค่นี้ เวลาที่จะใช้ของเราเองมันก็มากขึ้น ใช่ แต่มันผ่านการทำงาน มาอย่างหนักฉิบหาย ทำเต็มไปหมด เมื่อก่อนใครให้ทำอะไรก็ทำไปหมด
คุณเคยให้สัมภาษณ์ว่า สรรเสริญความขี้เกียจ แต่ดูเหมือนว่าคุณเป็นคนขยัน แสดงว่าคุณกำลังสรรเสริญในสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่คุณทำหรือเปล่า
ไม่ครับ เราไม่ขยันเลย ผมขยันเท่าที่จำเป็นต้องขยัน ช่วงที่เราไม่มีทางเลือกชนิดที่หัวแม่งกดอยู่กับงานแบบนี้ (เอาหัวแนบโต๊ะ) เช่นตอนนี้เป็นต้น (หัวเราะ) เราก็ดูเป็นคนขยัน ตั้งแต่ก่อนไปเมืองคานส์แล้ว ตั้งแต่ถ่ายหนังเสร็จจนถึงตอนนี้หัวยังไม่ได้โงขึ้นมาเลย หนังสั้นก็ดันไปถ่ายเอาไว้ของไทยทีวี ทุกอย่างมัน มามะรุมมะตุ้มรุมรักแมรี่อยู่ตอนนี้ อย่างนี้ผมก็ช่วยไม่ได้ เราอยู่ในสังคม มีหน้าที่ เราก็ต้องทำหน้าที่ของเรา เราไปทำหนังเอาไว้ เมื่อหนังจะต้องไปเทศกาล ก็ต้องทำให้เสร็จ เขาจะไม่ได้เสียชื่อ กลับมาเราต้องโปรโมท หนัง เราก็ทำ มันเป็นหน้าที่ แต่พอพ้นช่วงนี้ หนังเข้าโรงไปแล้ว ผมจะชิลล์แล้ว
แต่ก็อีกนั่นแหละ พอหนังเข้าโรงแล้ว ผมก็มีความรับผิดชอบต่อบริษัท เพราะเป็นเพื่อนกัน เพื่อนเป็นคนให้ชีวิตที่ดีกับผม ถ้ามีหนังโฆษณาเข้ามา 5 เรื่อง ผมก็ต้องทำสัก 3 เรื่อง บริษัทจะได้มีรายได้ และผมจะได้มีรายได้ด้วย ความจริงแล้วมันเป็นเรื่องของความสมดุลน่ะ ว่าต้องทำอะไรก็ต้องทำ แต่ไม่ครับ ถ้าช่วงขี้เกียจนี่ก็ใช้ได้เลยนะ ผมเคยไปอยู่อินเดียเดือนหนึ่ง ไม่ทำอะไรเลย นี่แม่งเป็น Luxury นะนั่น (หัวเราะ)
ก็ต้องมีเงินพอสมควร?
อินเดียถูกมากนะ แต่มันก็ใช่ เราจะขี้เกียจได้ เราต้องมองเข้าไปในตุ่มเรา ถ้าตุ่มมันยังเหลือน้ำครึ่งหนึ่ง เราก็ขี้เกียจได้ใช่มั้ย แต่ถ้ามองไปในตุ่ม น้ำจะหมดอยู่แล้ว เราก็ต้องไปตักน้ำใช่มั้ย
พูดได้ไหมว่าของแบบนี้มันสงวนไว้สำหรับคนเก๋ๆ
ความขยันฉิบหายมันก็มองเป็นความเก๋ได้นะ ไม่รู้สิ เวลาผมไม่ได้ทำหนัง ผมต้องใช้ชีวิตอยู่ในอุตสาหกรรมโฆษณา เวลาผมไปห้องตัดต่อ ทำโพสต์โปรดักชั่น ทำเสียง หรือบางทีไปลงเสียงพูดให้โฆษณา ไปเจอคนที่ไม่ได้เจอกันนานๆ เขาจะถามเราว่า ‘พี่เป็นไง ยุ่งมั้ย’ คือมันเป็นคำถาม ยุ่งมั้ยๆๆ คำว่ายุ่ง สำหรับวงการโฆษณามันเป็นความเก๋นะ ความขี้เกียจไม่ใช่ความเก๋นะ มันอยู่ที่ว่าคนมองยังไง ในอุตสาหกรรมโฆษณา ถ้าเดือนหนึ่งคุณมีหนังโฆษณาถ่าย 4 เรื่อง 5 เรื่อง นี่จะเก๋มาก คนถามผมยุ่งมั้ยพี่ ผมบอกว่า ไม่เลย ว่างมาก (หัวเราะ) 2 เดือนข้างหน้ายังไม่มีอะไรทำเลย เป็นความไม่เก๋อย่างแรงเลยนะ
ว่าแต่ไอ้ความเก๋มันเข้ามาในสมการนี่ได้ยังไงตั้งแต่ต้นนี่
อย่างช่วงหนึ่งความเหงาของคนเมืองก็ถูกทำให้เก๋ อย่างการใช้ชีวิตช้าๆ ในหลายๆ วิธีก็กลายเป็นกิจกรรมของชนชั้นเก๋ไป
มันเป็นคำนิยามของคนประเภทที่ต้องแปะป้ายให้กับทุกอย่าง ถ้าถามผม ความเหงามันก็คือความเหงา
เหงาแบบเท่ๆ เหงาแบบเป็นเอก เหงาแบบมูราคามิ ซึ่งผมหรือคนรุ่นผมก็ชอบกันนะครับ ไม่ใช่ไม่ชอบ ?
ผมไม่มีเพื่อนเป็นวัยรุ่น เพื่อนผมแม่งแก่หมดแล้ว ผมไม่รู้ว่ะ สำหรับผม มันไม่มีความสำคัญ ใครจะเห็นว่าอะไรเก๋… ใครจะไปโปรโมทว่าสิ่งไหนเป็นสิ่งเก๋ มันไม่ได้เปลี่ยนสิ่งนั้น สำหรับผม เหงามันก็ยังเป็นความเหงาอยู่ดี ใครจะมาบอกว่าความเหงาแม่งเก๋ แล้วพอช่วงหนึ่งผ่านไปความเหงาแม่งกลายเป็นเสี่ยว โบราณ ล้าสมัย มันก็ยังเป็นมันไม่ใช่เหรอ มันก็ไม่ได้เปลี่ยนไปไม่ใช่เหรอ
อะไรมันจะเก๋หรือไม่เก๋ ผมว่ามันเป็นเรื่องของการแปะป้าย ไม่รู้จะแปะไปทำไม ถ้าความขี้เกียจมันเป็นความเก๋ หรือความเหงามันเป็นความเก๋ มันก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นหรือเลวลงนะ ถ้าเกิดผมเป็นคนดังในสังคมนี้ สมมุติผมเป็นคนดังขนาดที่ทำให้คนทำอะไรตามผมได้ อย่างนั้นความปากหมาแม่งก็เก๋น่ะดิ เพราะมีบางคนบอกผมว่า “พี่ปากหมาเนอะ”
ผมเลยรู้สึกว่าอะไรเก๋หรือไม่เก๋ มันไม่ได้ทำให้สิ่งที่เราคุยกันสิ่งนี้ดีขึ้นหรือเลวลง ความขี้เกียจ – เราไม่คิดว่ามันจะทำให้ดีขึ้นหรือเลวลง อ๋อ แต่มันอาจจะมีผลตรงที่ว่า ความขี้เกียจมันเก๋ดี เด็กแนวก็จะหันมาขี้เกียจกันใหญ่เลยใช่มั้ย แต่ถ้ามันขี้เกียจแล้วมันอดตาย มันก็ลุกขึ้นมาทำอะไรเอง คือคนเรามันไม่มีวันที่จะยอมเก๋จนตายหรอก กูเก๋จนกูตายอย่างนี้เหรอ เราคิดว่ามันไม่ได้เปลี่ยนสิ่งนั้นนะ
ถ้าพูดถึงว่ามันเป็นความจำเป็นล่ะ การใช้ชีวิตให้ช้าลง มีเวลามากๆ อย่างมีข่าวที่อเมริกาว่าเมล็ดพันธุ์พืชผักสวนครัวขาดตลาดเพราะคนที่นั่นหันมาปลูกผักกันเองมากขึ้น คุณมองปรากฏการณ์นี้ยังไง เรามีความจำเป็นต้องใช้ชีวิตให้มันช้าลงหรือเปล่า
บางคนเขาก็ไม่จำเป็นนะ ผมมีเพื่อนๆ แถวนี้ เขาไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตให้ช้าลงเลย อะไรออกใหม่ อุปกรณ์ที่ทำให้ชีวิตเร็วขึ้น ซื้อทันทีเลย ไอโฟน ไอพอด ไอเหี้ย ไอห่า คือมีไออะไรออกมาซื้อฉิบหายเลยครับ รถแม่งก็วิ่งเร็วขึ้น ชีวิตก็ใช้ให้เร็วขึ้นเรื่อยๆ เพราะเขารู้สึกว่า ยิ่งใช้ชีวิตเร็วเท่าไหร่ เขายิ่งเมคมันนี่ได้มากขึ้น และเขาก็ไปซื้อของเก๋ๆ ได้มากขึ้น ใช้ชีวิตเก๋ๆ ได้มากขึ้น ไปอยู่รีสอร์ทเก๋ๆ บ่อยขึ้น
ผมคงเป็นคล้ายๆ ฤๅษี ผมไม่ชอบให้ชีวิตผมยุ่ง เวลาที่ต้องมีหลายๆ เรื่องอยู่ในหัว อารมณ์มันจะไม่ดี คือใช้คำนี้บ่อยมาก อารมณ์มันจะไม่ดี เอาอย่างนี้ดีกว่า ถ้าวันไหนมีนัดแบบ 5 นัด 3 นัด วันนั้นน่ะ ฉิบหายแล้ว หน้าผมเหี้ยตั้งแต่เช้าเลย
เป็นฤๅษีที่ทำงานโฆษณา ?
ใช่ๆ มันเป็นภาพของฤๅษีที่แปลกมาก แต่ผมก็ทำงานโฆษณาเหมือนที่ผมใช้ชีวิตเป็นฤๅษี คือผมทำให้พอมีกินแล้วก็หยุด แต่ก็มีเหมือนกัน บางทีกำลังคิดจะหยุด ก็มีงานเข้ามาอีกแล้ว เป็นงานของเพื่อน-เพื่อนสนิท เหี้ย กำลังจะตายแล้ววะ ลูกค้าเจ้านี้โหดฉิบหายเลย มึงต้องช่วยกูแล้วล่ะ ผมก็เข้าไปทำ กึ่งหนึ่งก็ช่วยเพื่อน กึ่งหนึ่งก็ได้เงินใช่มั้ย ก็ทำ แต่ว่าผมไม่ลุยทำ ผมไม่แบบว่า ทำๆๆๆๆๆ เอางานมาอีกๆ ผมไม่นะ มันก็คืออาชีพๆ หนึ่ง มันก็ไม่ต่างจากผมเป็นยาม ผมทำงานโฆษณาผมก็ทำ ในลักษณะที่ว่า ถ้าผมรู้สึกไม่สบายใจ ผมก็ไม่ทำนะ
พูดได้ไหมว่าทุกวันนี้คุณไม่ค่อยให้ความสำคัญกับความทะเยอะทะยานแล้ว
ผมว่าคนมันไม่เหมือนกัน คนบางคนความทะเยอทะยานมันมีประโยชน์กับชีวิตเขา ผมมีเพื่อนหลายคน ที่ทะเยอทะยานมากเลย เขาต้องทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้หนังโฆษณาเขาได้รางวัล เพื่อที่จะได้ถูกบริษัทอื่นมาซื้อตัวเพื่อเงินเดือนจะได้ขึ้นไปอีก 3 เท่า เพราะว่าแม่เขาป่วยอยู่ ส่งน้องเรียนหนังสืออีก 2 คน ตัวเขาก็มีครอบครัวต้องดูแล บางคนเขาต้องทะเยอทะยาน ความทะเยอทะยานของเขามันไปมีผลต่อชีวิตอื่น สำหรับผม ครอบครัวก็ไม่มี ผมยังอยู่กับแม่ผมอยู่เลยครับ ปัจจุบันนี้อายุจะ 50 อยู่แล้ว ผมยังอยู่กับแม่อยู่เลย แล้วก็อยู่กับพี่สาว บ้านผมไม่ได้เป็นหนี้ใคร มีตังค์กินข้าว มีตังค์ใช้ทำอะไรพอสมควร ไม่ได้รวย ผมก็เลยไม่จำเป็นต้องทะเยอทะยานขนาดนั้น
ผมอาจจะมีความทะเยอทะยานเรื่องอื่น ไม่ใช่เรื่องวัตถุ อยากทำหนังให้ไปถึงจุดหนึ่งที่มันเป็นภาษาของเราเองจริงๆ อันนั้นมันเป็นความทะเยอทะยานทาง Artistic ก็แล้วกัน (หัวเราะ) ความทะเยอทะยานทางด้านการสร้างสรรค์ แต่มันก็เป็นความทะเยอทะยานอยู่ดีแหละ ผมคิดว่าการมีความทะเยอทะยานมันดีนะ เพราะมันทำให้เรามีความกดดัน พอมีความกดดัน เราก็จะลุกขึ้นทำอะไร แล้วหลายๆ อย่างที่เราลุกขึ้นมาทำ มันก็มีประโยชน์นะ อย่างคนที่เขาทะเยอทะยานมาก เขาก็สร้างงานขึ้นนะ ต้องจ้างคนอื่นอีกเต็มไปหมด คนพวกนั้นก็มีงานมีรายได้ แต่มันคงคล้ายๆ ทุกอย่างที่เราคุยกันมา มันจะดีมากเลยถ้าเราสามารถควบคุมให้มันอยู่ในระดับที่ไม่มาทำให้เส้นเลือดในสมองเราแตก
ขึ้นอยู่กับบริบท?
ถ้าชีวิตเรามีอะไร อยากได้อะไรมาก เราก็ต้องทำมาก มันจึงเกิดคำว่า ‘ช่วยไม่ได้’ ใช่ไหม – ที่เกิดมามีอะไรในชีวิตมาก แต่คุณจะโยนทุกอย่างไปที่บริบทมันก็ไม่ถูกเสมอไป มีหลายคนที่จะว่าไป เขามีปัจจัยที่พร้อมจะไม่ทะเยอทะยาน หรือพร้อมที่จะทะเยอทะยานน้อยหน่อย แต่เขาก็ทะเยอทะยานฉิบหายเลย ยังหาเงินจนเข้าโรงพยาบาล
แน่นอน บริบทชีวิตหรือปัจจัยมันก็มีส่วนที่จะทำให้คุณต้องดำเนินชีวิตยังไง แต่ขณะเดียวกันผมคิดว่า มันมีอีกอย่างหนึ่งด้วยนะ คือ awareness ความตระหนักว่าชีวิตมันคืออะไร เราต้องการอะไร เราเป็นคนยังไง รู้จักตัวเองมากน้อยแค่ไหน อะไรที่ชอบ-อะไรไม่ชอบ ตรงนั้นปัจจัยไม่เกี่ยว มีคนที่มีปัจจัยพร้อมที่จะใช้ชีวิตน้อยๆ ได้เลย แต่ก็ตายไปพร้อมกับชีวิตเยอะๆ นะ วัตถุกองเต็มไปหมด ก็มีนะครับ
คนหนุ่มสาวที่เริ่มต้นทำงาน หากว่าพวกเขาหรือเธอเหล่านั้นประกาศว่าฉันอยากใช้ชีวิตน้อยๆ ช้าๆ ตั้งแต่ตอนนี้ วิธีคิดอย่างนี้มีปัญหาไหม
มันอยู่ที่ว่าเขาทำอะไร ผมคิดว่าถ้าเขาเป็นอาสาสมัคร หรือเอ็นจีโอ มันก็อาจจะมีปัญหาน้อยหน่อย เพราะว่าการทำงานประเภทนั้น คุณรู้ตั้งแต่ย่างเท้าเข้าไปแล้ว ว่ามันเป็นหนทางชีวิตที่ไม่ได้โปรโมทความทะเยอทะยานทางวัตถุน่ะ มันก็เป็นไปได้
ผมเริ่มต้นชีวิตทำงาน เริ่มทำงานพวกนี้ ซึ่งมันมีแต่ความเยอะ จะออกไปทำหนังที มันต้องมีความ น่าสนใจฉิบหายเลยนะ หามุมกล้องแปลกๆ กันฉิบหายเลยนะ ทุกอย่างในชีวิตมันเป็นเรื่องของความเยอะ ความเก่งกว่าคนอื่น อยู่เหนือกว่าคนอื่น เอาชนะคนอื่น การแข่งขันมันสูง ผมเริ่มทำงานด้วยอาชีพแบบนี้ แล้วผมก็ทำแบบนั้นมา ผมแข่งขัน ผมถีบจักร ผมทำทุกอย่าง แต่ว่าพอทำไปๆ เมื่อมาถึงจุดหนึ่ง สิ่งที่เราทำมามันกลับมาบอกกับตัวเราว่า เราไม่ชอบอะไรเกี่ยวกับมัน แล้วเราชอบอะไรเกี่ยวกับมัน ผมชอบหลายๆ อย่างในอาชีพที่ผมทำ แล้วผมก็ไม่ชอบหลายๆ อย่าง ในระหว่างทางพอคุณเริ่มแยกสิ่งเหล่านี้ได้ แต่คุณก็ยังทำมันอยู่นะ ขณะเดียวกันคุณก็พยายามออกแบบวิถีชีวิตของคุณ ออกแบบการทำงานของคุณให้คุณได้ทำสิ่งที่ชอบมากขึ้น ทำในสิ่งที่ไม่ชอบน้อยลงๆ
ทีนี้ผมเลือกที่จะบอกว่า ไม่เอา ผมไม่อยากทำในสิ่งที่ผมไม่อยากทำ สมมุติผมต้องทำโฆษณา แต่ผมอยากทำแต่กับเพื่อนที่ผมชอบ อยากทำโฆษณาชิ้นที่มันทำอะไรได้สนุกๆ หน่อย ผมก็ต้องมาออกแบบชีวิตผมแล้วว่า ถ้าอย่างนั้นผมต้องใช้ชีวิตให้น้อยลง ผมจะใช้เงินให้น้อยๆ ปีหนึ่งผมทำได้ 6 เรื่อง ผมอยู่ได้แล้ว ในขณะที่ผมมีตัวเลือกจาก 20 สคริปต์ที่เข้ามา ผมก็เลือกแค่ 6 สคริปต์ นี่คือการออกแบบวิถีชีวิตแล้ว
ขณะเดียวกัน ถ้าผมต้องเปลี่ยนรถทุกปี หรือถ้าเพื่อนคนหนึ่งเปลี่ยนรถ แล้วผมรู้สึกเสียฟอร์ม ถ้าผมเป็นแบบนั้นเมื่อไหร่ ผมก็ต้องทำปีหนึ่ง 60 เรื่อง ไม่ใช่ 6 เรื่อง ถ้าการเปลี่ยนรถเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าการซื้อเสื้อผ้าแพงๆ เป็นสิ่งสำคัญ การมีบ้านตากอากาศแพงๆ เป็นสิ่งสำคัญ คุณก็ใช้วิถีชีวิตแบบนี้ ไม่ได้แล้วไง ผมว่ามันขึ้นอยู่กับ awareness – การตระหนัก
เรากลับมาคำถามที่ว่า คนหนุ่มสาวอายุ 23-24 เพิ่งจบมาเริ่มทำงาน เขาจะเลือกทำอะไรสักอย่าง ผมว่าคนเราพอเริ่มทำงานในชีวิต ในก้าวแรกมันไม่มีทางเลือกหรอก แล้วผมว่ามันดีที่คนเราแม่งไม่มี ทางเลือกซะบ้าง เพราะปัจจุบันทางเลือกมันเยอะเหลือเกินวะ ผมอยากทำหนัง ขณะเดียวกันเพื่อนๆ ก็ชวนไปตั้งวงดนตรีแล้วออกแผ่นดีกว่า แล้วตกลงมึงได้ทำเหี้ยอะไรสักอย่างมั้ย – ก็ไม่ได้ทำ
ความจริงแล้วมีเด็กหนุ่มๆ เต็มไปหมดเลย หนุ่มๆสาวๆ ที่เข้ามาในชีวิตผม ที่เอาสคริปต์มาให้อ่าน เขียนบทหนังสั้นมาให้ดู พี่ๆ ผมอยากทำหนังสั้น มีเวิร์คช็อปแล้วแม่งก็มาเรียนกัน แต่ก็ไม่เห็นมีใครได้ทำอะไรสักที เพราะทางเลือกมันมีเต็มไปหมด ผมเลยรู้สึกว่าการไม่มีทางเลือกในตอนเริ่มต้นชีวิตการทำงานมันเป็นสิ่งดีนะ มันทำให้คุณต้องทำ มึงต้องทำน่ะ มีอันนี้วางอยู่ตรงหน้ามึง ไม่รู้ล่ะ มึงต้องทำน่ะ ผมเติบโตมาแบบนั้น
พ่อแม่ผมส่งผมเรียนเมืองนอก เพราะผมไม่ค่อยชอบเรียนหนังสือ อยู่เมืองไทยไม่รอดแน่ แล้วในยุคผมแม่งมีมหาวิทยาลัย 4-5 แห่ง ไปสอบเอนทรานซ์ผมหมดสิทธิแน่นอน พ่อแม่ผมรู้ ก็เลยส่งไปเรียนเมืองนอก ครอบครัวก็ไม่ค่อยมีตังค์ การส่งไปเรียนเมืองนอกค่าใช้จ่ายมันมหาศาล แต่เขาก็บอกผมเลยว่า เขาจะกัดฟันทำ – ส่งผมไปเรียน แต่วันที่ผมเรียนจบปั๊บ จะไม่มีแม้แต่บาทเดียวมาจากเขาอีกแล้ว มรด่งมรดกไม่มีนะโว้ย บ้านนี้ไม่มีมรดก วันที่มึงเรียนจบ วันนี้เนี่ย พรุ่งนี้ไม่มีเงินมาจากเขาอีกแล้ว ตัดสายสะดือ แล้วเขาทำอย่างนั้นจริงๆ ด้วยฮะ
พอวันที่ผมจบ รุ่งขึ้นไม่มีเงินแล้ว ผมมีเงินเหลือในแบงก์อยู่หน่อย ตอนนั้นยังอยู่เมืองนอกอยู่ ผมก็เห็นเงินลดลงๆ อย่างนี้ ผมก็ต้องหางาน เพื่อแข่งกับเงินที่มันลดลง แล้วผมโดนเตะออกจากอพาร์ตเมนต์ที่อยู่ เพราะเป็นหอของโรงเรียน มึงเรียนจบแล้วต้องไปอยู่ที่อื่น ผมก็ไปหาเช่าอยู่เอง มันก็แพงขึ้นอีก ก็เห็นเงินลดลงไปอีก ผมก็ไม่มีทางเลือก ผมก็ทำหมด ให้ผมทำอะไรผมก็ทำหมด แล้วผมว่ามันดีนะ ทุกอย่างมันก็มาเป็นประโยชน์กับเราในวันนี้
ทุกวันนี้คุณออกแบบชีวิตได้อย่างที่วาดไว้ไหม
ไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็พอใจนะ ผมไม่มีอะไรจะบ่นน่ะ (หัวเราะ) แต่มันก็เป็นการฝ่าฟันมาอย่างหนักเพื่อให้ได้ชีวิตประมาณนี้ แต่ไม่เป๊ะนะ เพราะเป๊ะนี่ไม่ได้ จะเอาอย่างที่อยากได้เป๊ะ มันก็ฝันไปหน่อย
ที่คุณเคยพูดว่า สนใจว่าชีวิตคืออะไร ความสุขมีจริงหรือไม่ ถึงวันนี้รู้คำตอบหรือยัง – ความช้าเป็นส่วนหนึ่งของคำตอบนั้นไหม
วันนี้ยังไม่มีคำตอบครับ