วันนี้ (13 กรกฎาคม 2566) การประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 1 เพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในวาระการอภิปรายถึงคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ถูกเสนอชื่อดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตลอดการประชุมอภิปรายนี้ สมาชิกกลุ่มพรรครัฐบาลเดิมและ ส.ว. ไม่ว่าจะเป็นนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส. พรรคภูมิใจไทย นายศาสตรา ศรีปาน ส.ส. พรรครวมไทยสร้างชาติ นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ หรือ คำนูญ สิทธิสมาน ส.ว. ต่างพากันอภิปรายคัดค้านการโหวตให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องด้วยพรรคก้าวไกลมีนโยบายแก้ไขมาตรา 112 โดยชี้ว่าไม่เป็นผลดีต่อสถาบันกษัตริย์และอาจนำไปสู่การล้มล้างการปกครอง
“วันนี้ท่านไม่ต้องไปชี้ที่ ส.ว. ไม่ต้องไปชี้ที่คนฝั่งนี้ ชี้ที่ตัวท่านเอง ถ้าท่านหลุดคำนี้คำเดียวว่า ไม่ยุ่งกับ 112 ภูมิใจไทยจะลงคะแนนให้ท่าน และไม่ร่วมรัฐบาลกับท่านด้วย” นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส. พรรคภูมิใจไทย อภิปราย
“40 ปีมานี้ ผมไม่เคยโดนฟ้อง ม.112 เลย ไม่มีนิติสงคราม มีแต่นิติรัฐ ทุกคนอยู่ใต้กฎหมายเดียวกัน วันนี้เมื่อพรรคก้าวไกลมีนโยบายแก้ ม.112 พรรครวมไทยสร้างชาติจึงขอไม่โหวตสนับสนุนนายกฯ คนที่ 30 ของประเทศไทยชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ขอบคุณครับ” นายศาสตรา ศรีปาน ส.ส. พรรครวมไทยสร้างชาติ อภิปรายคัดค้านเช่นกัน
“คนไทยจำนวนไม่น้อยไม่ได้เห็นว่า 112 เป็นเพียงกฎหมาย แต่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดมายาวนาน…
“กระผมมิอาจยอมรับได้ ไม่เห็นด้วย และไม่สนับนุนแนวทางการแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล” คำนูณ สิทธิสมาน ส.ว. กล่าวในที่ประชุมรัฐสภา
ทั้งนี้ คำชี้แจงจากพรรคก้าวไกล นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ลุกขึ้นอภิปรายหลังถูกกล่าวพาดพิงถึงนโยบายแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล โดยระบุว่า
เรื่องการแก้ไขมาตรา 112 นั้นไม่ได้อยู่ใน MOU ของ 8 พรรคการเมืองจัดตั้งรัฐบาล แต่การแก้ไขกฎหมายอยู่ที่ฝ่ายนิติบัญญัติรับหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรที่จะแก้ไขกฎหมายที่เป็นข้อขัดแย้ง แม้แต่ละคนจะมีความเห็นที่แตกต่างกัน แต่ถ้าพูดกันอย่างมีวุฒิภาวะ ใช้เหตุใช้ผลกัน นี่คือทางออกของประเทศในทุกความขัดแย้งที่เกิดขึ้น
“เวทีนี้เป็นเวทีเลือกนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่เวทีในการแก้ไขกฎหมายใดๆ เพราะฉะนั้นตรงนี้ผมคิดว่าเป็นบรรยากาศที่ดี และสุดท้ายครับ ผู้นำที่ดีของประเทศนี้ต้องมีความอดทนอดกลั้น รับฟังกับข้อกล่าวหาที่จะจริงหรือไม่จริงก็ตาม” นายพิธาชี้แจง
