คำเตือน: ข้อความต่อจากนี้ไปเป็นความในใจของผู้หญิงคนหนึ่งที่เติบโตมากับดิสนีย์และรักมันมากด้วย
1
เอาเข้าจริงตอนที่รู้ว่าดิสนีย์จะนำ Beauty and the Beast ฉบับแอนิเมชั่นเดิมของปี 1991 โดยนำเพลงและพล็อตเดิมมารีเมคใหม่หมด
เราไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตารอคอยและคาดหวังมากนัก ส่วนหนึ่งเพราะแอนิเมชั่นทำไว้ดีมาก และหลายครั้งที่การหยิบแอนิเมชั่นเหล่านั้นมาทำเป็นเวอร์ชั่นคนแสดงมักจะตกม้าตาย ทำให้เราเกิดความลังเลว่า ควรไปดูดีมั้ย
แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไปดู ส่วนหนึ่งเพราะ The Jungle Book ที่ดิสนีย์นำมารีเมคใหม่เมื่อปีที่แล้วทำไว้ดีมาก และสำคัญที่สุดเลยก็คือ เรารักดิสนีย์ เรารักความอลังการ ความเล่นใหญ่และความเว่อร์วังของดิสนีย์
และเรารู้เลยว่า เราตัดสินใจไม่ผิด เราดีใจที่ดิสนีย์กลับมาเดินถูกทางของตัวเองแล้ว
ตลอดสองชั่วโมงที่นั่งดูหนังเรื่องนี้มันจึงเหมือนย้อนเอาความรู้สึกเดิมตอนเรายังเด็กกลับมาหมุนใหม่อีกครั้ง
เรียกว่าเป็น “การสานฝันวัยเด็ก” จริงๆ
2
แค่เพลงแรกขึ้นมาเราก็ปริ่มใจสุดๆ ทุกอย่างดูแฟนตาซีไปหมด เรานั่งตื่นตาตื่นใจไปกับฉากอลังการและคอสตูมที่ตระการตา ความเป็นมิวสิคเคิลที่อลังการและ CG ที่งดงามหมดจด
ราวกับว่าหนังพาเราหลุดไปยังดิสนีย์แลนด์และดิสนีย์เองก็ยังคงรักษาเสน่ห์ของเวอร์ชั่นแอนิเมชั่นเอาไว้ และนำกลับมารีเมคเล่นใหม่ได้เกือบจะครบถ้วน
จนหลายคนที่ไปดูหนังเรื่องนี้จบออกมาอาจจะบอกว่า ‘เมาเพลง’ ใช่ ดิสนีย์ใส่เพลงเยอะมาก แต่เราว่ามันไม่ใช่ข้อเสียอะไรเลย ดิสนีย์เด่นเรื่องความเล่นใหญ่ ความมิวสิคเคิลมานานแล้ว สังเกตดีๆ หนังก่อนหน้านี้หลายต่อหลายเรื่อง ดิสนีย์มักเล่นแบบนี้มาเสมอ
ฉะนั้นแล้วในฐานะติ่งดิสนีย์อย่างเราเลยแฮปปี้มากเมื่อดิสนีย์กลับมาเล่นแบบนี้อีก
3
เมื่อเคยเป็นแอนิเมชั่นมาก่อน เส้นเรื่องตัวละครจึงค่อนข้างจะ 2 มิติ ดิสนีย์แก้ปัญหาตรงนั้นด้วยการเพิ่มเส้นเรื่องตัวละครให้ดูกลมและเข้าใจมากขึ้น กล่าวคือ เพิ่มปูมหลังให้กับเบลล์และเจ้าชายอสูร อีกทั้งในเวอร์ชั่นนี้ยังทำให้เราได้รู้ว่าทำไมเบลล์ถึงอยู่กับพ่อแค่สองคน
เรารู้สึกว่าดิสนีย์ทำได้ดีและไม่ทำให้คาแรคเตอร์ของตัวละครผิดเพี้ยน และทำให้เรายิ่งเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมเจ้าชายถึงเป็นแบบนี้ และทำไมเบลล์ถึงคิดแบบนี้
อย่างไรก็ตามเราแอบเสียดายที่บางตัวละครกลับไม่เด่นเลย อย่างเช่น ‘ชีฟ’ เด็กชายที่กลายเป็นถ้วยน้ำชา ถ้าในแอนิเมชั่นเราจะจำได้ว่า เบลล์กับชีฟสนิทสนมกันมากและเราเห็นฉากซนของชีฟมากกว่านี้ แต่พอมาเป็นหนังกลับถูกเส้นเรื่องบางอย่างกลบไป
เราเสียดายตรงนี้เล็กน้อยเพราะเราชอบคาแรคเตอร์ของชีฟที่ช่วยดึงเบลล์ให้กลับมาสดใสได้อีกครั้งตอนช่วงเวลาที่ถูกขังอยู่ในปราสาท
4
เราไม่ได้มองว่า เอ็มมาเล่นเป็นตัวเอง แต่ถ้าเข้าใจคาแรคเตอร์ของเบลล์แล้วละก็ทั้งสองมีความคิดคล้ายกันคือ รักการอ่าน ชอบเรียนรู้ แถมยังเป็นผู้หญิงฉลาดและสวยมาก
เอ็มมาเล่นเป็นเบลล์ได้น่ารักมาก เธอทำให้คนดูยิ้มตามรอยยิ้มที่สดใสของเธอ (โดยเฉพาะชุดสีเหลืองคลาสสิกตอนฉากเต้นรำ) และแอบอมยิ้มขำๆ กับความดื้อรั้นของเบลล์ตอนเถียงกับเจ้าชายอสูรอย่างไม่กลัว (แม้ตอนแรกจะหวาดกลัวก็เถอะ)
สำหรับเราแล้ว เรายังคิดไม่ออกถ้ามีคนอื่นมารับบทนี้แทนจะออกมาเป็นยังไง
ตัวละครที่เราชอบอีกตัวคือ แกสตอง ที่รับบทโดย ลุค อีแวนส์ (Luke Evans) ทหารหนุ่มหล่อขวัญใจสาวทั้งหมู่บ้านที่หลงรักความสวยงามภายนอกของเบลล์ และเลอฟู คู่หูสุดซี้ของเขาที่รับบทโดย จอช แก็ด (Josh Gad)
อีแวนส์พาตัวละครแกสตองให้เรารู้สึกหมั่นไส้และขยะแขยงกับความคิดที่ดูเป็นปีศาจร้ายได้อย่างไม่เกินเลย ไม่มากไปและไม่น้อยจนเกินไป ส่วนเลอฟูเองก็เป็นเพื่อนที่ดีของแกสตอง ทั้งศรัทธาและห่วงใย แต่สุดท้ายหนังก็ดำเนินมาถึงจุดหนึ่งที่เลอฟูตัดสินใจที่จะถอยห่างความสัมพันธ์จากแกสตอง
โฉมงามและเจ้าชายอสูรฉบับนี้ทำให้ตัวละครมีการเรียนรู้และกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง มันเลยทำให้หนังมีเลือดเนื้อและหัวใจมากกว่าฉบับเก่า
5
สุดท้าย
หากคุณชอบเอ็มมา การได้นั่งฟังเธอร้องเพลงเราถือว่าคุ้มค่าแล้ว และหากคุณรักดิสนีย์เหมือนที่เราเป็น คุณจะยิ่งเพลิดเพลินและอบอุ่นละมุนไปทั้งหัวใจเช่นกัน
แต่ถ้าคุณไม่ได้เป็นอะไรเลยสักอย่าง ก็ลองไปดูเถอะ คุณอาจหลงเข้าไปอยู่ในชอยส์ข้อใดข้อหนึ่งหรือทั้งสองข้อเลยก็ได้