เส้นแบ่งระหว่างยาเสพติดกับยารักษาโรคของพืชในตำนานอย่างกัญชา-กระท่อม ในประเทศไทยยังคงถกเถียงกันว่า เราควรจัดให้พืชชนิดนี้อยู่ในหมวดหมู่ใดกันแน่ ขณะที่หลายประเทศได้ยกระดับสู่การศึกษาวิจัย และนำไปใช้ในทางการแพทย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
วงสัมมนาวิชาการ ‘การใช้กัญชา กระท่อม ในการบำบัดโรค: ปัญหาและทางออก’ ซึ่งจัดโดยคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา มีประเด็นสำคัญอยู่ที่การชี้ให้เห็นว่า การใช้กัญชาและกระท่อมเพื่อบำบัดโรคนั้นนำไปสู่ทางเลือกเช่นไรระหว่างปัญหาหรือทางออก?
แม้ว่าสำนักงานป้องกันยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime: UNODC) จะเสนอแนวคิดในการถอดถอนพืชกระท่อมและกัญชาให้พ้นจากบัญชียาเสพติดมาเป็นยารักษาโรค แต่สำหรับประเทศไทยยังคงเป็นเรื่องที่ตัดสินใจได้ยาก นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มองว่า ปัญหาในการพิจารณาให้กัญชา-กระท่อม ออกจากบัญชียาเสพติดประเภท 5 มีความเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน โดยมีสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส. เป็นแม่งานหลัก ทว่าโครงสร้างของ ป.ป.ส. นั้นเทอะทะ และการประชุมเกี่ยวกับปัญหายาเสพติดยังคงมุ่งไปที่การปฏิบัติมากกว่าการพิจารณาเชิงนโยบาย
ในแง่ข้อกฎหมายก็ยังมีอุปสรรคด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะ พ.ร.บ.ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545 ที่ขัดแย้งกับ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ทาง สนช. จึงเสนอให้มีการปฏิรูปกฎหมาย แต่สิ่งที่ นพ.เจตน์ พบคือเป็นเรื่องยากในการนำกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 7 ฉบับ มามัดรวมเป็นเล่มเดียว จึงเสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 โดยมีใจความสำคัญอยู่ที่มาตรา 5 ที่ระบุว่า “… เพิ่มเติมให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีอำนาจกำหนดพื้นที่เพื่อทดลองปลูกพืชที่เป็นหรือให้ผลผลิตเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ผลิตและทดสอบยาเสพติดประเภท 5 หรือกำหนดเขตพื้นที่ให้เสพหรือครอบครองยาเสพติดประเภท 5 ในปริมาณที่กำหนดได้ โดยให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกาและต้องมีมาตรการควบคุมตรวจสอบด้วย”
“ร่างแก้ไขนี้เราได้นำเสนอสภาแล้ว แต่กำลังอยู่ในขั้นตอนประชาพิจารณ์ตามมาตรา 77 วรรค 2 ปลายเดือนตุลาคมนี้ โดยหวังว่าจะแล้วเสร็จในเดือนธันวาคมก่อนการเลือกตั้งในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ปีหน้า” นพ.เจตน์ กล่าว
ขณะที่ ผศ.ภญ.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงสถานการณ์ล่าสุดว่า มติ ครม. ได้มีการอนุญาตให้องค์การเภสัชกรรมสามารถปลูกเพื่อใช้ในการรักษาได้ ส่วนที่ประเทศแคนาดาเตรียมประกาศใช้กัญชาในการรักษาได้ทุกรูปแบบในวันที่ 17 ตุลาคมนี้ รวมถึงประเทศอังกฤษ แพทย์จะสามารถสั่งยาโดยให้ใช้กัญชาเพื่อรักษาผู้ป่วยได้ในเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป แม้ในภาพรวมของสหภาพยุโรป (EU) จะยังคงจำกัดการใช้กัญชาและกระท่อม แต่ก็ให้สิทธิ์แต่ละประเทศในการออกนโยบายเกี่ยวกับการใช้กัญชาเพื่อการรักษาทางการแพทย์ได้
“เวลาที่เราพูดถึงประเด็นนี้ ควรมองที่สุขภาพของประชาชนเป็นศูนย์กลาง ทั้งเรื่องการเข้าถึงและการรักษาภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นสำคัญด้วย”
ความเห็นของ ผศ.นพ.ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์ จากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มองในแง่มุมประวัติศาสตร์ว่า ในอดีตมีการใช้กัญชามายาวนานนับพันปีแล้ว จนมาถึงยุคที่เริ่มมีการผลิตยาแผนปัจจุบันมากขึ้น ยาแผนโบราณต่างๆ โดยเฉพาะกัญชาจึงถูกทำให้กลายเป็นยาเสพติด ผู้เข้ารับการรักษาถูกทำให้กลายเป็นผู้เสพ เพื่อกีดกันยาแผนโบราณออกไป
“เราต้องรู้ก่อนว่าปัญหาของประเทศไทยเราคืออะไร และเกาให้ถูกที่คัน เราต้องกลับมามองประวัติศาสตร์ที่กัญชาเคยถูกใช้เป็นยารักษาโรคได้ เพียงแต่เราต้องระมัดระวังว่าจะเปิดกว้างแค่ไหน เพราะบริษัทยาก็จ้องจะนำกัญชามาใช้ในการทำยาสังเคราะห์ ซึ่งผมอยากเสนอให้มีการปฏิรูปกฎหมายด้วย”
สิทธิบัตรกระท่อม
วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี (ไบโอไทย) มองในแง่สิทธิบัตรที่ไทยจะเสียผลประโยชน์ โดยขณะนี้ญี่ปุ่นได้จดสิทธิบัตรใบกระท่อมในสกุล mitragyna (พืชสกุลนี้ประกอบด้วย กระทุ่มใบเล็ก กระทุ่มใบเนิน และกระท่อม) เพื่อนำไปใช้ในกลุ่มประเทศที่อยู่ภายใต้สนธิสัญญาความร่วมมือด้านสิทธิบัตร (Patent Cooperation Treaty: PCT) ทั้ง 150 ประเทศ รวมถึงประเทศไทย แต่ยังติดข้อกฎหมายบางประการ ทำให้ญี่ปุ่นยังไม่สามารถนำไปใช้ได้
ประโยชน์ทางการแพทย์ที่จะได้จากพืชกระท่อมนี้ วิฑูรย์มองว่า หากมีการถอดพืชกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติด ไม่เพียงจะนำมาสู่ผลประโยชน์ในด้านเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังส่งผลไปถึงสุขภาพของประชาชนด้วย
“โดยสรุปผมเห็นด้วยในการถอดกระท่อมออกจากยาเสพติดประเภท 5 เพราะเราใช้กันมาแต่ดั้งเดิม ฉะนั้น เราจะต้องสนับสนุนให้เกิดหมอพื้นบ้าน และมีการวิจัยต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ในวงกว้าง”
เปลี่ยนมุมมองกฎหมายยาเสพติด
เบื้องหลังแนวคิด พ.ร.บ.ยาเสพติด แต่เดิมมีไว้เพื่อลดปัญหาด้านอาชญากรรม เพราะเชื่อว่าการเสพกัญชา-กระท่อม จะนำมาสู่ปัญหาด้านอาชญากรรม
จากการศึกษาของ พ.ต.ท.หญิง ชลิดา อุปัญญ์ สารวัตรฝ่ายกฎหมายและวินัย โรงพยาบาลตำรวจ (นักศึกษาปริญญาเอกคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์) มองว่าต้องมีการลดทอนความเป็นอาชญากรรมควบคู่กับหลักการอื่นๆ เช่น การไม่ตีตรา ไม่เลือกปฏิบัติ เปิดโอกาสให้คนผันตัวจากอาชญากรมาสู่ผู้บำบัด โดยมีโมเดลจากต่างประเทศที่ใช้กัญชาในการรักษาทางการแพทย์ เช่น ในสหรัฐแบ่งออกเป็นในทางนิตินัยและพฤตินัย โดยในทางนิตินัย ระดับมลรัฐสามารถใช้กัญชาทางการแพทย์และการเสพเพื่อสันทนาการได้ ขณะที่ในทางพฤตินัย หากพบว่ามีการครอบครองกัญชาจะต้องไม่นำไปสู่การลงโทษด้วยกระบวนศาล แต่ตำรวจจะต้องใช้ดุลยพินิจผ่านทางเลือกอื่นแทนการจำคุก รวมไปถึงการกำหนดเพดานอายุผู้มีไว้ในครอบครอง ต้องมีอายุ 21 ปีขึ้นไป ปลูกกัญชาได้ไม่เกิน 6 ต้น และการขนส่งกัญชาที่ถูกกฎหมายไม่เกิน 1 ออนซ์ หรือ 28 กรัม
ไม่ว่ากัญชา-กระท่อมจะถูกตีตราเป็นยาเสพติดให้โทษ หรือเป็นพืชยารักษาโรค สุดท้ายขึ้นอยู่กับทัศนคติและมุมมองว่าจะเปิดกว้างแค่ไหน หากมีการศึกษาวิจัยอย่างถูกต้องตามหลักวิชา เราอาจพบคำตอบที่ดีกว่า หาไม่แล้วประเทศไทยคงย่ำอยู่กับที่
สนับสนุนโดย