มองดูมะขามต้นนี้เสียสักหน่อยหนึ่งจะดีไหม (คนละต้นกันกับมะขามแจ้ที่ถูกฟ้าผ่าต้นนั้น) มะขามซื่อๆ เรานี่แหละ ไม้พื้นถิ่น ไม่สะสวยอันใดเลย ไม่ใช่ของเลอค่าหายาก ไม่มีกวีคนไหนจะเสียแรงเสียเวลาชมโฉมของมันหรอก สูงสักสิบวาเห็นจะได้กระมัง กว้างสักสองคนโอบ ลำต้นก็ไม่ได้เป็นเปลากลมกลึง หากแต่นูนหนุ่ยเป็นปุ่มปมและเว้าแหว่งเป็นร่องลึกบ้างตื้นบ้าง ยอดอ่อนของมันเปรี้ยวจนเข็ดฟัน ไม่มีใครเก็บไปต้มยำทำแกง ฝักแก่ของมันก็เนื้อน้อย มีเมล็ดใหญ่ ไม่เห็นมีใครเก็บไปทำมะขามเปียก ทั้งที่หลวงพ่อเทียนก็ไม่ได้ห้ามหวง มันเป็นต้นไม้ที่ไม่มีใครเคยตัดแต่งกิ่งให้มันเสียบ้างเลย ลำต้นของมันพอพ้นดินขึ้นมาได้สักวากว่าๆ เท่านั้นก็แตกออกเป็นกิ่งก้านน้อยใหญ่ พร้อมสรรพไปด้วยกิ่งแขนงและกิ่งกระโดงสุมสะเลื้อยเฟื้อยพัวพันกัน ก่อให้เกิดร่มเงาอันหนาแน่นเชื้อชิดดีเป็นหนักหนาแม้ในยามฤดูที่มันผลัดใบ ใครเลยจะตรัสรู้ได้ถึงอายุอานามของมัน มันอาจเกิดมาตั้งแต่เมื่อครั้งที่พม่าบุกเมืองเพชรในคราวศึกเสียกรุงครั้งที่สอง มันอาจสูงถึงเจ็ดวาแล้วตอนสุนทรภู่มาเมืองเพชร มันอาจเป็นไม้ใหญ่อยู่ที่ตรงนี้มาก่อนที่วัดแพรกหนามแดงจะถูกสร้างขึ้นมาเสียอีก อย่างไรก็ตามที่ใต้โคนต้นของมันก็มีตั่งเกลี้ยงๆ ตัวเล็กๆ วางไว้อยู่ตัวหนึ่งซึ่งเป็นที่ที่หลวงพ่อเทียนท่านชอบมานั่งอ่านหนังสือหรือนั่งมองนั่นมองนี่และคิดอะไรๆ ของท่าน เป็นที่ซึ่งสามเณรสุนทร ริมเฉนียน ใช้เป็นที่ท่องบ่นตำราจนสอบนักธรรมเอกได้เป็นรูปแรกของตำบลแพรกหนามแดง เป็นที่ซึ่งหลวงพี่สมหมาย วุฒิปัญโญซึ่งเพิ่งบวชได้แค่เพียงพรรษาแรกใช้เป็นที่คร่ำเคร่งท่องปาติโมกข์อยู่อย่างเร็วพรืดแทบไม่หายใจหายคอ หากแต่ก็ถูกต้องชัดเจนทุกอักขระจนท่านเป็นองค์สวดปาติโมกข์ได้สำเร็จในพรรษาแรกเป็นรูปแรกของพระภิกษุทั้งหมดที่เคยบวชที่วัดแพรกหนามแดง เป็นที่ที่พวกคนฉายหนังเร่เขามักจะมาตั้งเครื่องฉายหนังของเขาเวลาที่เขาได้รับการว่าจ้างให้มาฉายหนังที่วัดแพรกหนามแดงซึ่งบางทีเขาก็จับบทฉายตั้งแต่หัวค่ำเรื่อยไปจนถึงยามฟ้าสางท่ามกลางชาวแพรกหนามแดงที่แห่แหนกันมาดูมืดฟ้ามัวดินเพราะว่านานๆ หรอกเขาถึงจะได้ดูหนังกันให้เปรมอุราเสียสักครั้งหนึ่ง เป็นที่รวมพลของขบวนแห่นาคอันอึกทึกครึกโครม เป็นที่ที่พ่อนาคที่จะเข้าพิธีซักซ้อมขั้นตอนและท่องทวนถ้อยคำบาลีที่ตนจะต้องกล่าวขานออกไปในพิธีอุปสมบทของตน เหนืออื่นใด มันเป็นที่ที่เด็กนักเรียนโรงเรียนวัดแพรกหนามแดงสองคนได้เคยใช้เป็นที่เล่นเกมตำรวจจับผู้ร้ายอันแสนยืดเยื้อและระทึกใจ
– – –
คือว่าพักกลางวันของวันที่ยี่สิบสองตุลาคมปี พ.ศ.สองพันห้าร้อยเก้า หลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จสรรพเรียบแล้ว เด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งก็ได้ทำพิธีจับไม้สั้นไม้ยาวเพื่อที่จะเล่นตำรวจจับผู้ร้ายกันตามประสายากของนักเรียนบ้านนอก ผู้ร้ายเจ็ด ตำรวจหนึ่ง หัวหน้าผู้ร้ายคือ ด.ช.ขวัญกล้า ใจซื่อ ตำรวจคือ ด.ช.โผงเผง ตะบูนดำ ปรากฏว่าลูกน้องผู้ร้ายทั้งหกถูกจับกุมทีละรายๆ ได้โดยละม่อม แต่ทว่ากว่าจะจับกุมได้ทั้งหกคน เวล่ำเวลามันก็กระชั้นเข้ามาเต็มที เพราะว่าระฆังตีบอกเวลาเข้าเรียนภาคบ่ายมันอาจจะดังขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าผู้ร้ายคนที่เจ็ดคือไอ้ขวัญกล้าโดนจับ เกมนี้ก็ถือว่าพวกผู้ร้ายแพ้ และไอ้โผงเผง ตะบูนดำนั้นมันก็เป็นเด็กดื้อดึงทรหด มุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว อีกทั้งยังมีความรอบคอบละเอียดลออ ที่สำคัญก็คือมันคือไอ้เด็กซุกซนซอกแซกหมายเลขหนึ่ง มันได้ดำเนินการตรวจค้นทั้งตามใต้ถุนกุฏิพระ ขึ้นไปตรวจค้นบนวัด บนศาลาการเปรียญ ใต้ถุนศาลาการเปรียญ ใต้ถุนสะพานข้ามคลองหน้าวัด ในป่าละเมาะรอบวิหารหลังเก่า เข้าไปในป่าช้าสำรวจดูกุดังเก็บศพหลังที่ยังว่างทุกหลัง ในองค์พระปรางค์เก่าหน้าโบสถ์ เพราะว่าข้างในองค์พระปรางค์นั้นเป็นโพรง ใต้ถุนโรงเรียนอันทั้งรกเรื้อและมืดตื้อ ขึ้นไปค้นในห้องเรียนทุกห้องทั้งที่อยู่ชั้นบนและชั้นล่างของตัวอาคารโรงเรียน เข้าไปค้นแม้แต่ในห้องพักครูด้วยการเดินเขย่งปลายเท้าหลังคู้ค้อมทำตัวลีบ พลางก็พูดกับพวกครูๆ ที่อยู่ในห้องนั้นว่าขอโทษครับขอโทษครับโดยไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม ทุกหนทุกแห่งที่มันไป พวกผู้ร้ายทั้งหก (ซึ่งสมมุติว่าถูกใส่กุญแจมือเรียบร้อยแล้ว) ติดตามมันไป ทุกหนทุกแห่ง เด็กเล็กเด็กใหญ่ทั้งชายหญิงติดตามมันไปจนขบวนมีขนาดใหญ่ขึ้นทุกทีๆ ไอ้โผงเผงเริ่มรู้สึกถูกกดดันทั้งโดยเวลาที่เหลืออยู่น้อยเต็มทีและทั้งโดยขบวนผู้ติดตามซึ่งกำลังส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา มันเปลี่ยนวิธีการใหม่โดยแยกโจรทั้งหกที่มันได้จับเอาไว้แล้วนั้นไปแยกสอบสวนทีละคนๆ มันรู้ของมันเองว่าการแยกสอบสวนดีกว่าการสอบสวนแบบรวมกลุ่ม (มันอาจจะจำมาจากหนังเรื่องใดเรื่องหนึ่ง) สีหน้าสีตาของมันคร่ำเคร่ง คำพูดของมันมีทั้งขู่ตะคอกให้ไอ้พวกผู้ร้ายตะครั่นตะครอและปลอบโยนให้ความหวังแก่ไอ้พวกผู้ร้ายถ้าหากว่าไอ้พวกผู้ร้ายจะให้ความร่วมมือกับมัน มันติดสินบนพวกผู้ร้ายทั้งหกนั้นด้วยของมีค่าทุกอย่างในโลกที่มันครอบครองอยู่ มีดเหลาดินสอเล่มหนึ่ง หนังสือรวมบทเพลงของทูล ทองใจเล่มหนึ่ง (สนนราคาตั้งเล่มละหนึ่งบาท) ลูกข่างลูกหนึ่ง (เจียนจากไม้มะขามเทศ) ว่าวตัวหนึ่ง (โครงไม้ไผ่แปะอย่างประณีตด้วยถุงกระดาษสีน้ำตาลซึ่งมีรูปอาภัสรา หงสกุล และรองนางสาวไทยอีกสี่คนพิมพ์อยู่) หนังสติ๊กอันสุดฉมังอันหนึ่ง (ตัวง่ามทำจากไม้ฝรั่ง) และมันยินดีสละแม้แต่อีลำดวน คงคาฉุยฉาย แฟนสุดรักสุดสวาทคนล่าสุดของมันซึ่งเรียนอยู่ชั้นเดียวกับมันและไอ้พวกโจรคือชั้น ป.สาม (ซึ่งมันสบถสาบานว่าตัวห้อมหอมเพราะทาแป้งน้ำมองเล่ยะมาโรงเรียนทุกวันและซึ่งมันยืนยันว่าไม่เป็นเหาเด็ดขาด อีกทั้งผ่านการเป็นอีสุกอีใสมาเรียบร้อยแล้ว) ไม่เคยมีใครเห็นไอ้โผงเผง ตะบูนดำเอาจริงเอาจังมากเท่านั้นมาก่อนเลย มันยังให้สัญญาลมๆ แล้งๆ แก่โจรทั้งหกนั้นอีกหลายอย่างด้วยกัน คือสัญญาว่าจะเผยเคล็ดลับของวิธีทำเลขบัญญัติไตรยางศ์ วิธีการทำมะละกอตัวผู้ให้เป็นตัวเมีย วิธีการในการลดความฝาดของมะขวิดดิบและวิธีการปลูกกล้วยน้ำว้าไม่ให้มีเมล็ด วิธีการปลูกแตงโมให้ออกลูกมาเป็นทรงสี่เหลี่ยมแทนที่จะเป็นทรงกลม ตลอดจนวิธีการในการบังคับหอยโข่งให้ผลิตไข่มุกน้ำงาม แม้แต่พวกโจรทั้งหกเองก็ยังเห็นใจมัน แต่พวกมันก็จนด้วยเกล้าจริงๆ ไม่รู้ว่าไอ้ขวัญกล้าหลบหนีไปซ่อนอยู่ที่ใด ไอ้โผงเผงเดินเหินไปรอบๆ บริเวณโรงเรียน มันเดินเหินไปทั่วบริเวณวัด สอดส่ายสายตาแยงเข้าไปในทุกซอกมุมอันมืดหม่น แม้จะมีเด็กเล็กเด็กใหญ่คอยติดตามหรือรุมล้อมมันอยู่ แต่มันก็เริ่มรู้สึกเหมือนกับอยู่คนเดียวในโลก มันทั้งเร่าร้อนและกระสับกระส่าย มันตะโกนก้องด่าพ่อล่อแม่ไอ้ขวัญกล้า เพราะว่ามันทะนงตนว่ามันรู้จักชื่อพ่อชื่อแม่ของเด็กทุกคนในโรงเรียน ชื่อพ่อชื่อแม่ของลุงชินผู้เป็นภารโรง ชื่อพ่อชื่อแม่ของครูทุกคนในโรงเรียน และแม้แต่ชื่อพ่อชื่อแม่ของหลวงพ่อเทียน (ซึ่งความสามารถในด้านนี้ของมันได้รับการพิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์แจ้งครั้งแล้วครั้งเล่าจนเด็กๆ ภารโรง ครูทุกคนและแม้แต่หลวงพ่อเทียนได้แต่กลอกหน้าและรำพึงอย่างอัศจรรย์ใจและขัดเคืองว่าไอ้โผงเผงมันรู้ชื่อพ่อชื่อแม่ของเราได้อย่างไรของมันวะ) มันเริ่ม ด่าประจานเสือกล้านักเลงใหญ่ของแพรกหนามแดงผู้เป็นพ่อของไอ้ขวัญกล้าว่าไม่เป็นลูกผู้ชาย รักใคร่ชอบพอผู้หญิงเขาก็ไม่รู้วิธีเกี้ยวพาราสี กลับใช้วิธีการของนักเลงยักษ์นักปล้ำไปฉุดคร่าผู้หญิงเขามา ส่วนยายแป้งร่ำแม่ของไอ้ขวัญกล้าผู้ถูกฉุดคร่ามานั้นเล่า ตอนถูกเขาฉุดคร่ามาก็ไม่ได้ดิ้นรนหรือส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลืออย่างจริงจังแต่ประการใด จะขัดขืนบ้างก็นิดๆ หน่อยๆ จะด่าเอาบ้างก็ไม่กล้าใช้ถ้อยคำหยาบคาย จะหยิกก็ไม่กล้าหยิกแรง จะข่วนก็ทำได้เพียงแค่ขีด จะผลักไสก็เกรงว่าผู้ฉุดคร่าตนเขาจะชอกช้ำ จะทุบเอาบ้างก็ทุบแต่พอเป็นพิธี และแล้วมัน ก็พูดด้วยสีหน้าอันตายด้านและน้ำเสียงอันเด็ดขาดว่า แท้ที่จริงแล้วการฉุดคร่าอันอื้อฉาวครั้งดังกล่าวนั้น ผู้ถูกฉุดคร่าอนาจารก็คือเสือกล้าต่างหาก โดยผู้กระทำการฉุดคร่าอนาจารอย่างอุกอาจก็คือตัวยายแป้งร่ำนั่นเอง ไอ้ขวัญกล้านั้นเป็นที่รู้กันดีว่าใครจะลามปามถึงพ่อถึงแม่ของมันไม่ได้เป็นอันขาด และมันเป็นคนโมโหร้าย มันได้เคยก่อเหตุวิวาทบาดถลุงกับเด็กเล็กเด็กใหญ่และถูกเฆี่ยนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนจากสาเหตุดังกล่าวนี้ ก่อนที่ไอ้โผงเผงจะตีแผ่รายละเอียดอันบัดสีบัดเถลิงอันใดอีกต่อไปตามความสันทัดจัดเจนของมันนั้นก็มีใครคนหนึ่งที่ท้ายขบวนรำพึงออกมาด้วยความอัศจรรย์ใจว่า เฮ้ย! ที่บนต้นมะขามหน้าโบสถ์นั่นมันไอ้ขวัญกล้านี่หว่า หน็อยแน่ะ มันกล้าถึงกับขนาดซ่อนตัวอยู่ในที่โจ่งแจ้งเป็นอย่างยิ่งซึ่งทำให้ใครก็นึกคิดไปไม่ถึงเลย
– – –
นั่นปะไร มันนั่งไขว่ห้างกระดิกตีนอยู่บนคาคบแรกสุดของมะขามต้นนั้น มองดูความชุลมุนชุลเกเบื้องล่างนั้นด้วยรอยยิ้มอันเงียบเชียบละมุนละไม ตาอันเหลืองเหมือนเสือของมันมีวี่แววแห่งความสุขสมอุราเป็นที่ยิ่ง มันดูกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับมะขามต้นนั้น ราวกับว่านั่นคือเรือนของมันและมันได้อยู่ที่นั่นมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก นี่ถ้าหากใครหาชุดลิเกให้มันสักชุดหนึ่งและหาพระขรรค์ให้มันสักอัน มันก็พร้อมที่จะกลายเป็นเทพารักษ์ได้ในทันที ไอ้โผงเผงพอได้เห็นเข้าเช่นนั้นมันก็จัดแจงปีนป่ายเหย็งๆ ขึ้นไปโดยไม่รอช้า ไอ้โผงเผงนี่มันปีนต้นไม้เก่งเป็นเต้ย อย่าว่าแต่ต้นมะขามเลย ชั้นแต่ต้นตาลหรือต้นสำโรงซึ่งทั้งลื่นและไม่มีที่ยึดเหนี่ยวเลยมันก็ยังปีนได้สบาย มันกระดืบๆ ไต่ระดับขึ้นไป ตีนเปลือยของมันควานหาแง่งแง่ที่มันพอที่จะพักตีนได้ มือของมันควานหาปุ่มปมสำหรับจับเกาะ อีกสักเพียงหนึ่งช่วงแขนก็จะถึงตัวไอ้ขวัญกล้า ถึงตรงนี้เองที่ไอ้ขวัญกล้ามันถึงได้ยงโย่ยงหยกลุกขึ้นยืนจังก้า มองลงมายังใบหน้าอันกำลังแหงนเงยขึ้นไปของไอ้โผงเผง ใบหน้านั้นดำเกรียมและเต็มไปด้วยเหงื่อ จมูกเริ่มโด่งเป็นสันน้อยๆ ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง ขากรรไกรนั้นแกร่งและบึกบึน คิ้วทั้งสองหนาเป็นปื้น เปลือกตาลึกหนาสองชั้น ขนตายาวและงอนเช้ง ไอ้โผงเผง ตะบูนดำคนนี้มันจะต้องเติบโตขึ้นเป็นหนุ่มรูปงามอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เท่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้มันก็คือชายชาตรีในรูปลักษณ์ย่อส่วน ไอ้ขวัญกล้านั้นมันล่วงรู้ถึงจริตนิสัยของไอ้โผงเผงได้เป็นอย่างดี เพราะว่ามันทั้งคู่เป็นเกลอกัน รู้ว่าจินตนาการของไอ้โผงเผงนั้นทรงพลังมหาศาล รู้ดีว่าไอ้โผงเผงได้ลืมเลือนไปมิดม้วยว่ามันคือเด็กชายโผงเผง ตะบูนดำ อายุเก้าขวบ เรียนอยู่ชั้น ป.สามในโรงเรียนประชาบาลวัดแพรกหนามแดงและกำลังอยู่ในชุดเครื่องแบบนักเรียนบ้านนอกอนาถา กางเกงสีน้ำตาลเก่าคร่ำ มีรอยเปรอะเปื้อนพรายพร้อย เชิ้ตสีขาวแขนสั้นมัวหมอง มีรอยเปรอะเปื้อนพรายพร้อยอีกเช่นเดียวกัน คาดเข็มขัดลูกเสือราคาถูกอยู่เส้นหนึ่ง (ซึ่งที่หัวเข็มขัดอันทำจากโลหะขี้กะโล้โท้อะไรสักอย่างหนึ่งนั้นมีตัวอักษรพิมพ์นูนประกอบกันขึ้นเป็นใจความว่า “เสียชีพอย่าเสียสัตย์”) ไม่มีถุงน่องรองเท้า เป็นเด็กนักเรียนบ้านนอกอันทั้งเปิ่นเทิ่งและทะมอทะแมชนิดที่อาจทำให้ ม.ล.ปิ่น มาลากุลรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ถ้าหากว่าท่านได้มาพบเข้า ท่านอาจจะถึงแก่อกแตกตาย แต่ในขณะนั้นมันกลับเชื่อมั่นฝังหัวไปประมาณว่ามันคือพันตำรวจตรีโผงเผง ตะบูนดำสารวัตรปราบปรามผู้มีสมัญญานามว่าเป็นยมทูตเขตเจ็ดอะไรไปนู่น กอปรไปด้วยคุณลักษณ์เท่ๆ ของดอน โพโทร ตัวเอกใน “สมิงจ้าวท่า” ของเพชร สถาบัน ของโรม ฤทธิไกร ตัวเอกใน “อินทรีแดง” ของเศก ดุสิต ของกรด แก้วสามสี ตัวเอกใน “อกสามศอก” ของอรวรรณ ของชีพ ชูชัย ตัวเอกใน “เล็บครุฑ” ของพนมเทียน หน้าที่ของมันก็คือกำจัดคนพาลอภิบาลคนดี เป็นนายตำรวจผู้เหี้ยมหาญ แต่แม้กระนั้นก็เป็นสุภาพบุรุษ มีการศึกษาสูง ผ่านการฝึกอบรมจากสก็อตแลนด์ยาร์ดมาแล้ว เป็นคนมีวัฒนธรรม เป็นหนุ่มเจ้าชู้ผู้มีรักเดียวใจเดียว ชื่นชอบเสียเหลือเกินละที่จะคุ้มครองปกป้องผู้อ่อนแอกว่า เป็นมือกฎหมายผู้มุ่งจะสถาปนากฎระเบียบขึ้นให้จงได้ในแพรกหนามแดงแดนเถื่อนอันไม่มีชื่อไม่มีแป “อโหสิให้กูเถอะนะ ไอ้โผงเผง” ไอ้ขวัญกล้าพูดเบาๆ “ที่กูจะต้องทำให้มึงอับอายต่อหน้าธารกำนัลชนิดที่มึงจะไม่มีวันลืมไปจนวันตาย” มันพูดเช่นนี้ก็เพื่อที่จะฉุดให้ไอ้โผงเผงกลับคืนมาสู่ความเป็นจริง แต่ไม่สำเร็จ เพราะไอ้โผงเผงได้เตลิดไปไกลสุดกู่เสียแล้วในจินตนาการแห่งตน “ไอ้โจรร้าย มึงทั้งปล้น ฆ่า ข่มขืน ลักขโมย มึงกำลังจะจนมุมแล้ว แม้ว่ามึงกะกูจะเป็นเพื่อนร่วมน้ำสาบาน เป็นศิษย์ก้นกุฏิของหลวงพ่อเทียนมาด้วยกัน แต่หนทางชีวิตของเราก็แตกต่างกันไกล และบัดนี้ ฟ้าลิขิตให้เราต้องมาพบกัน ยอมมอบตัวเสียเถอะไอ้ขวัญกล้า มึงอย่าบังคับให้กูต้องถึงแก่ต้องลงมือเตะถีบทุบถองมึงเลย”
“มึงน่ะแหละที่ควรจะถอยไปเสียแต่โดยดี อ๋อ ที่มึงมุ่งมั่นจะจับกูให้ได้นี่ก็เป็นเพราะว่าแฟนมึงมาคอยดูอยู่ด้วยใช่ไหมเล่า แฟนมึงน่ะมันก็แค่ ด.ญ.ลำดวน คงคาฉุยฉาย เรียนอยู่ชั้น ป.สามโรงเรียนประชาบาลวัดแพรกหนามแดงเท่านั้นหรอก ไม่ใช่ร้อยตำรวจเอกหญิงมรกต กำจาย นายตำรวจสันติบาลที่ปลอมตัวมาเป็นแม่ค้าขายอ้อยควั่นเหมือนอย่างที่มึงอาจจะคิดฝันส่งเดชไปนั่นหรอก”
“โทษของมึงน่ะไม่พ้นถูกประหารชีวิต ความผิดอันอุกฉกรรจ์ของมึงน่ะมันช่างหลายกระทงเสียเหลือเกิน แต่มึงอย่าปรารมภ์ไปเลย พ่อมึงแม่มึงน่ะ กูจะเลี้ยงดู ไม่ให้อนาทร” ว่าแล้วไอ้โผงเผงมันก็จัดแจงกระดืบไต่ขึ้นไปอีกด้วยอาการอย่างตุ๊กแก แล้วมันก็แหงะหน้าขึ้น ยืดคอเบนไปทางเบื้องหลังเพื่อเพิ่งมองเป้าหมายให้ถนัด มันแปลกใจเล็กน้อยเมื่อได้เห็นว่าไอ้ขวัญกล้าไม่ได้กระถดถอยหนีปีนสูงขึ้นไปอีกแต่อย่างใด “บ๊ะ ไอ้หอกนี่มันเป็นโจรร้ายไปหมดสิ้นทั้งชีวิตและวิญญาณมากกว่าที่กูได้เป็นตำรวจไปหมดสิ้นทั้งชีวิตและวิญญาณเสียอีก” มันรำพึงในใจอย่างฉงนฉงาย
– – –
ไอ้โผงเผง ตะบูนดำปีนขึ้นไปและตกลงมาจากมะขามต้นนั้นอยู่ถึงหกเจ็ดเที่ยวด้วยกัน ทุกครั้งที่มันจักแหล่นจะคว้าขาไอ้ขวัญกล้าได้รอมร่อนั้น ไอ้ขวัญกล้ามันก็ฉี่ใส่มือของไอ้โผงเผงเสียหน่อยหนึ่ง ฉี่อย่างสุภาพ ฉี่อย่างมีสมบัติผู้ดี ฉี่เพราะความจำเป็นบังคับ ฉี่เพราะไม่มีทางเลือก ฉี่โดยไม่มีความคิดลามกอนาจารแอบแฝงอยู่เลย ฉี่โดยไม่ประสงค์จะสร้างความอัปยศให้แก่คู่ต่อสู้ ฉี่อย่างผู้มีน้ำใจเป็นนักกีฬา ข้างซ้ายทีข้างขวาที ไอ้โผงเผงจำต้องปล่อยมือออกจากปุ่มปมของลำต้นมะขามที่มันเกาะเกี่ยวอยู่ ย่นย่อถดถอย และปล่อยให้ตัวเองหล่นตุ้บลงมา มันรู้วิธีย่อเข่าทิ้งน้ำหนักตัว การหล่นลงมาไม่ได้ทำให้มันเจ็บปวดอะไรนักแต่ทำให้มันโกรธ การต้องปีนขึ้นไปใหม่ทำให้มันยิ่งโกรธมากขึ้น มันสบถ มันด่าทอ ผรุสวาจาของมันทั้งปวดแสบปวดร้อนและบัดสีบัดเถลิง แต่ทุกครั้งเมื่อใกล้จะถึงตัวไอ้ขวัญกล้า ไอ้ขวัญกล้าก็ชิงปล่อยฉี่ใส่มือของไอ้โผงเผงเข้าให้เสียก่อนทุกทีไป มันเป็นการปล่อยฉี่ที่ได้รับการคำนวณมาก่อนแล้วเป็นอย่างดี ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ฉี่ใส่มือข้างซ้ายทีหนึ่งจนมือข้างนั้นง้างออก ฉี่ใส่มือข้างขวาอีกทีหนึ่งจนมือข้างนั้นง้างออก หยุดกึกทันทีที่ร่างของคู่ปรปักษ์หล่นตุ้บลงไปโดยไม่มีการซ้ำเติม มันรู้ดีว่าปริมาณสำรองของฉี่ที่มันมีอยู่นั้นมันจำกัด และไอ้ขวัญกล้าก็บริหารจัดการฉี่ของมันอย่างผู้เชี่ยวชาญ และมันก็บังคับฉี่ของมันให้หยุดกึกได้ในทันทีอย่างใจหมาย นั่นแสดงว่ามันได้ฝึกปรือการกระทำเช่นนี้มาแล้วจนช่ำชอง เช่นเดียวกับเด็กชายชาวแพรกหนามแดงทุกคน มันมีเวลาว่างเหลือเฟือ และมันก็คงได้อุทิศเวลาส่วนหนึ่งของมันแอบฝึกปรือการฉี่อย่างคร่ำเคร่ง เพราะมันเชื่อมั่นสุดจิตสุดใจในถ้อยคำของบทอาขยานที่ครูประยงค์ สีสันอำไพ บังคับให้มันเล่าท่อง “อันความรู้รู้กระจ่างเพียงอย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล” ในขณะที่เด็กชายชาวแพรกหนามแดงคนอื่นๆ อาจจะฝึกปรือการเตะต้นกล้วยเลียนแบบอภิเดช ศิษย์หิรัญ ฝึกแย็บซ้ายสามทีซ้อนเป็นแย็บงูฉกเลียนแบบโผน กิ่งเพชร ฝึกยิงหนังสติ๊กให้แม่น ฝึกเตะตะกร้อ ฝึกร้องเพลงแหล่ชมนกชมไม้ของพร ภิรมย์ ฝึกขี่จักรยานโดยการไม่จับแฮนเดิ้ลทั้งสองมือ ฯลฯ ไอ้ขวัญกล้ากลับพิเรนทร์ฝึกปรือการฉี่ของมัน ฉี่เป็นเส้นตรงเพื่อทำระยะให้ไกลที่สุด ฉี่ในระยะใกล้เพื่อทดสอบพลัง ฉี่ยักเยื้องฉวัดเฉวียนไปยังเป้าหมายต่างๆ นานาและฉี่ลงปากขวดที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางแตกต่างกันไปเป็นกรณีพิเศษเพื่อความแม่นยำ ฉี่ลงพื้นทรายเป็นการสาปแช่งครูที่มันเกลียดเป็นใจความว่าครูสุนทรจงตายเสีย ฉี่ลงบนพื้นฝุ่นจีบเด็กผู้หญิงที่เรียนอยู่ชั้นเดียวกับมันว่า รุ้งจ๋า ฉันรักเธอ (เผื่อฟลุค) ฉี่บนกำแพงร้าวๆ ของวัดเป็นรูปหัวใจมีศรปัก ฉี่เป็นคำขวัญวันเด็กอันโด่งดังของยุคก็ได้ว่าเด็กดีเป็นศรีแก่ชาติเด็กฉลาดชาติเจริญ ฉี่เป็นกลอนสุภาพก็ยังได้ว่าเสน่หาอาลัยใจจะขาด ด้วยนิราศห่างเหเสน่หา ฯลฯ การกระทำเช่นนี้มันเคยแสดงให้เพื่อนๆ ผู้ชายของมันดูหลายครั้งหลายหนที่โรงเรียน แน่นอนละว่าจะต้องเป็นการแสดงที่ปิดลับ พวกผู้ใหญ่และเด็กผู้หญิงจะล่วงรู้ไม่ได้เลยเป็นอันขาด (ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามันเป็นเด็กที่รู้จักกาลเทศะ เป็นลูกมีพ่อมีแม่ เป็นศิษย์มีครู) เป็นการแสดงให้ดูฟรีไม่ได้เก็บสตุ้งสตางค์ ถ้าหากว่าไอ้ขวัญกล้ามันคิดเก็บสตางค์ครั้งละหนึ่งสลึงต่อคนต่อรอบในการแสดงเช่นที่ว่านี้ของมันมันก็คงกลายเป็นเศรษฐีย่อยๆ ไปตั้งนานแล้ว การแสดงทุกครั้งของมันสร้างความพึงพอใจและความคาดไม่ถึงให้แก่ผู้ชมของมันอย่างเอกอุได้เสมอและทำให้เกิดผู้เลียนแบบขึ้นหลายต่อหลายราย (บางรายนั้นก็แค่ไอ้เด็กที่ยังฉี่รดที่นอนอยู่เลย) แต่ผู้เลียนแบบเหล่านั้นก็เป็นได้แค่เพียงผู้เลียนแบบ เขาเหล่านั้นทำระยะได้ไม่ไกลพอ ไม่ว่าก่อนจะลงมือกระทำการพวกเขาจะดื่มน้ำเข้าไปมากสักเท่าใดก็ตาม พวกเขายังไม่มีพลังและความแม่นยำที่มากพอ ลายเส้นของพวกเขาเล่าก็ขาดความวิจิตรบรรจง การงานของเขาปราศจากเสียซึ่งความแปลกใหม่และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ไอ้โผงเผง ตะบูนดำก็ล่วงรู้ถึงความสามารถอันล้นเหลือในทางด้านนี้ของไอ้ขวัญกล้าเป็นอย่างดี ในระหว่างการปีนขึ้นไปและการตกลงมาครั้งแล้วครั้งเล่านั้น มันได้แต่หวังว่าปริมาณปัสสาวะสำรองของไอ้ขวัญกล้าจะเหือดแห้งลงในที่สุด ไอ้ขวัญกล้าก็ล่วงรู้ได้เท่าทันความคิดนี้ของไอ้โผงเผง มันจึงปลดปล่อยทิ้งเปล่าๆ ปลี้ๆ เสียบ้างถึงสองครั้งเพื่อให้ไอ้โผงเผงมีกำลังใจและเป็นทั้งการขู่ขวัญไอ้โผงเผงไปด้วยในเวลาเดียวกัน
– – –
เด็กๆ ทั้งชายหญิงทั้งเด็กใหญ่อยู่ ป.สาม ป.สี่ และเด็กเล็กอยู่ ป.หนึ่ง ป.สองทยอยกันเข้ามาสมทบมากยิ่งขึ้นบนลานทรายใต้ต้นมะขามต้นนั้น ไม่ได้มากันจนหมดทั้งโรงเรียนหรอก แต่ก็มากันมากพอดู ใบหน้าซื่อๆ และแววตาหิวโหยมหรสพเหล่านั้นเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น มันเป็นเกมที่แปลกประหลาดซึ่งน่าจะได้รับการบรรจุในกีฬาแหลมทอง กีฬาเอเชียนเกมส์และกีฬาโอลิมปิค มันเป็นการดวลกันตัวต่อตัวเยี่ยงชายชาตรี มันเป็นการชิงไหวชิงพริบอันแสนระทึกใจเพื่อหาผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียว บรรดาผู้ชมต่างมีความคิดเห็นไม่ลงรอยกัน พวกหนึ่งซึ่งมีนิสัยสุภาพอยากให้ไอ้โผงเผงชนะ อีกพวกหนึ่งซึ่งมีนิสัยใจกล้าหน้าด้านอยากให้ไอ้ขวัญกล้าชนะ อีกพวกหนึ่งซึ่งมีนิสัยชอบประนีประนอมอยากให้มันทั้งสองเสมอกัน พวกเราไปมุงดูการแข่งขันเช่นนั้นของไอ้เด็กเหลือขอสองพระหน่อนั่นอยู่ได้โดยปราศจากความละอาย เพราะว่าพวกเรามีสันดานอันดิบเถื่อนและมีสติปัญญาอยู่ในระดับถึกๆ ทุยๆ ใช่หรือไม่-ใช่ พวกเราไม่ได้ล่วงรู้ถึงขอบเขตของพฤติกรรมอันส่อแสดงถึงความดีความงามใช่หรือไม่-ใช่ พวกเราขาดความสำนึกในเรื่องกิริยามารยาทของกัลยาณชนใช่หรือไม่-ใช่ พวกเราขาดแคลนแม้กระทั่งสัญชาตญาณในทางสุนทรียภาพใช่หรือไม่-ใช่ เพราะอะไร ก็เพราะว่าเราอัตคัดความบันเทิงน่ะซี เด็กผู้หญิงเล่นอะไรกัน เล่นหมากเก็บ เก็บลูกหินมาเล่นหมากเก็บ เล่นอะไรอีก เล่นมอญซ่อนผ้าซ้ำๆ ซากๆ มีตุ๊กตาทำจากฟางแห้งหรือผ้าขนหนูเก่าๆ เล่นรีรีข้าวสารซ้ำๆ ซากๆ เล่นขายข้าวขายแกงซ้ำๆ ซากๆ เล่นอะไรอีก เล่นกระโดดเชือก โรงเรียนไม่มีเชือกกระโดด ต้องไปทึ้งเถาตำลึงยาวๆ มาทำเป็นเชือกกระโดดแทน ได้มาเถาหนึ่งยาวไม่พอก็เอามาผูกปมต่อเข้ากับอีกเถาหนึ่ง หรือไม่ก็เล่นห่วงยาง ทั้งโรงเรียนมีห่วงยางซึ่งเก่าจนยุ่ยอยู่อันเดียว เด็กผู้ชายเล่าเล่นอะไร เล่นลูกข่าง ลูกข่างก็มักจะถูกริบเพราะครูเห็นว่าเป็นอันตราย เล่นซ่อนหาล่ะ ก็เล่นได้เฉพาะในบริเวณโรงเรียนและตามใต้ถุนกุฏิ ซึ่งเมื่อเล่นบ่อยๆ เข้าชัยภูมิเหมาะๆ ในการซ่อนตัวก็เป็นที่ล่วงรู้ไปเสียจนหมดสิ้นแล้ว ครั้นจะดอดไปเล่นซ่อนหาในบริเวณป่าช้าของวัดบ้างก็ไปไม่ได้ เพราะลุงชินภารโรงเกรงว่าผีจะลักซ่อน เล่นลิงจับหลักก็เล่นอย่างแกนๆ ทั้งที่โรงเรียนและที่วัดไม่มีเสาเหมาะๆ สำหรับจะเล่นลิงจับหลักเลยแม้แต่สักต้นเดียว ตะกร้อหวายเคยมีอยู่ลูกหนึ่งแต่มันก็แตกหักเสียรูปจนเล่นไม่ได้อีกแล้ว ฟุตบอลก็มีอยู่ลูกเดียวซึ่งทั้งฝ่อแฟบและฉีกขาดรุกรุย เราไม่มีสนามเด็กเล่น เราไม่มีอุปกรณ์กีฬา เราไม่มีห้องสมุด เราไม่เคยบังอาจฝันถึงห้องสมุดเลย เราไม่มีเครื่องดนตรีและห้องซ้อมดนตรี ด้วยเหตุฉะนี้เองเราก็จึงไปชมดูการขับเคี่ยวกันระหว่างไอ้เด็กเหลือขอสองพระหน่อนั่นกันเป็นที่บันเทิง ไม่มีผลแพ้ชนะที่เด็ดขาด นี่เป็นเรื่องน่าเสียดาย ระฆังตีบอกเวลาเข้าเรียนภาคบ่ายมันดังขึ้นเสียก่อน
– – –
ในงานทอดกฐินที่วัดแพรกหนามแดงเมื่อปีก่อนซึ่งพลตำรวจโทขวัญกล้า ใจซื่อเป็นเจ้าภาพนั้น ท่านทั้งประหลาดใจและดีใจเมื่อท่านได้พบเข้ากับเพื่อนเก่าของท่านคือนายแพทย์โผงเผง ตะบูนดำ ซึ่งท่านแทบไม่ได้ข่าวคราวและไม่ได้พบกันเลยตลอดระยะเวลาห้าสิบปีที่ผ่านมา นั่นก็เป็นเพราะว่านายแพทย์โผงเผง ตะบูนดำท่านไม่ได้มีนิวาสสถานหรือที่พำนักหรือที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย นายแพทย์โผงเผง ตะบูนดำต้องบินมาจากเมืองเซนต์หลุยส์ มลรัฐมิสซูรี ประเทศสหรัฐอเมริกาโน่น เพื่อมาร่วมงานในครั้งนี้ ท่านแต่งงานกับเมียแหม่มของท่านและท่านก็มีนิวาสสถานอยู่ที่นั่น ท่านเป็นไวยาวัจกรของวัดพระศรีรัตนารามอันเป็นวัดไทยซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองเซนต์หลุยส์นั้น ท่านยังแข็งแรงและกระฉับกระเฉง ท่านดูยังหนุ่มกว่าอายุจริงเป็นอันมาก ปัจจุบันท่านดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์อยู่ที่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยวอชิงตัน เป็นแพทย์ผู้ชำนาญการทางโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันทางโรคข้อและทางอายุรศาสตร์ นอกจากนั้น ท่านก็ยังดำรงตำแหน่งนายกสมาคมไทยแห่งเมืองเซนต์หลุยส์อยู่อีกโสดหนึ่งด้วย ซึ่งหมายความว่าท่านเป็นผู้ได้รับความเคารพนับถืออย่างกว้างขวางในหมู่คนไทยที่นั่น ผิวพรรณของท่านซีดเผือด ท่านพูดภาษาไทยไม่คล่องแคล่วเท่าที่ควร คราบไคลของความเป็นเด็กที่ทั้งซุกซนดื้อด้านและปากจัดวายร้ายแห่งแพรกหนามแดงไม่หลงเหลืออยู่เลย ชุดสูทสีเทาอ่อนและเนคไทสีเงินและรองเท้าสีดำเป็นมันปลาบราคาแพงและผมสีเทาแซมเงินแบบซิลเวอร์เกรย์และแว่นตาขอบกระของท่านทำให้ไม่มีชาวแพรกหนามแดงคนใดจดจำท่านได้จนกระทั่งท่านตะกุกตะกักแนะนำตนเอง (พูดไปพลางน้ำตาที่คลอหน่วยตาของท่านอยู่มันก็ทำท่าว่าจะหยาดไหลลงมา) และท่านก็เดินดูโน่นดูนี่ไปรอบๆ วัดกับพลตำรวจโทขวัญกล้า ใจซื่อ อดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรภาคสิบห้า ไปยังบริเวณอันเคยเป็นที่ตั้งโรงเรียน (ซากของอาคารเรียนไม่มีหลงเหลืออยู่เลย) ตามแนวกำแพงวัดริมคลอง ขึ้นไปบนสะพานข้ามคลองแห่งเก่าที่เหลือแต่เสาโด่เด่และราวเอนเอียงคลอนแคลนและพื้นกระดานผุโหว่ยอบแยบเต็มที (สะพานข้ามคลองแห่งใหม่ก็อยู่ใกล้ๆ กันน่ะแหละหากแต่เป็นสะพานคอนกรีต) เดินไปรอบๆ โบสถ์หลังเก่าซึ่งประตูหน้าต่างปิดตายและไม่ได้ใช้เป็นที่ทำสังฆกรรมมาหลายปีดีดักแล้ว (โบสถ์หลังใหม่ยังไม่เสร็จสิ้นบริบูรณ์ก็จริงแต่ก็ใช้เป็นที่ทำสังฆกรรมได้แล้ว) ไปตามแนวต้นพิกุลริมสระน้ำ เลี้ยวไปทางที่ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งโรงลิเก และวกกลับมายังลานทรายใต้ต้นมะขามหน้าโบสถ์ต้นนั้นในที่สุด “เฮ้ย ไอ้โผงเผง” จู่ๆ อดีตท่านผู้บังคับการก็เอื้อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ถ้าหากกูปีนมะขามต้นนี้ขึ้นไปอีก มึงจะกล้าปีนขึ้นไปจับกูอีกหรือเปล่าวะ” “ตลอดห้าสิบปีที่ผ่านมากูเฝ้าแต่คิดถึงเหตุการณ์ในวันนั้นอยู่ไม่วาย กูเตรียมหนังสติ๊กกับลูกหินมาด้วย” นายแพทย์หยิบหนังสติ๊กกับลูกหินเกลี้ยงๆ สามสี่ลูกออกมาจากกระเป๋าเสื้อชุดสูทของท่านเป็นการยืนยันคำพูด ท่านเอาลูกหินใส่ในแผ่นหนังสำหรับใส่ลูกหินและทดลองง้างหนังสติ๊กอยู่สองสามครั้งเป็นการปรามล่วงหน้าไว้เสียแต่เนิ่นๆ แล้วท่านก็พยายามกล่าวช้าๆ อย่างชัดถ้อยชัดคำสืบต่อมาว่า “ถ้าหากมึงอุตริปีนขึ้นไปอีก กูจะเอาหนังติ๊กนี่ยิงไข่มึง” แววตาของท่านเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดและเอาจริงเอาจัง!
แดนอรัญ แสงทอง นักประพันธ์ชาวไทยผู้มีผลงานถูกแปลเป็นภาษาต่างประเทศมากมาย เช่น ฝรั่งเศส, โปรตุเกส, อังกฤษ, สเปน ได้รับเหรียญอิสริยาภรณ์ศิลปศาสตร์และอักษรศาสตร์ชั้นอัศวิน (Chevalier de l’Ordre des Arts et des Lettres) จากกระทรวงวัฒนธรรม ประเทศฝรั่งเศส |
สนับสนุนวรรณกรรมไทย โดย