เรื่อง : อารยา คงแป้น
มึงก็รู้ กูก็รู้ เพื่อนๆ เราก็รู้ว่าในกระเป๋าที่พุงของโดราเอมอนมีของวิเศษ
แล้วมึงก็รู้ กูก็รู้ เพื่อนๆ เราก็รู้ ว่าในกระเป๋านักเรียนของมึงมีข้าวมันไก่
ในกระเป๋านักเรียน
สมัยเรียนมัธยมปลาย ข้าพเจ้ามีเพื่อนคนหนึ่ง มันชื่อกล้วย บ้านมันอยู่ใกล้โรงเรียนมากที่สุด แต่ก็ดันมาโรงเรียนสายที่สุด กระเพาะอาหารของเด็กที่ต้องนั่งรถมาเรียนจากต่างอำเภอของข้าพเจ้าจึงฝากไว้ที่มัน เกือบทุกๆ วันพวกเราจะฝากกล้วยซื้อข้าว ข้าวมันไก่ห่อกระดาษเคลือบพลาสติก พร้อมน้ำซุปร้อนๆ หอมฉุยในถุงร้อนมัดหนังยางสีแดงบ้างเขียวบ้าง กล้วยจะจัดแจงซื้อข้าวให้พวกเราแล้วยัดทั้งหมดใส่กระเป๋านักเรียนก่อนเดินเข้าประตูหน้าโรงเรียน
เรากินเมนูเดิมๆ กันอย่างไม่รู้จักเบื่อ แต่ก็มีบางวันที่กระเพาะอาหารของพวกเราล้นปริ่มจากอาหารอย่างอื่น วันนั้นกล้วยก็จะเดินเนิบๆ เข้ามาในห้องเรียน พร้อมถามด้วยเสียงติดอ่างนิดๆ ของมันว่า “วันนี้พวกมึงไม่หิวข้าวเหรอ”
กิจวัตรการกินข้าวเช้าของพวกเราดำเนินเช่นนี้เรื่อยไปเป็นเวลา 3 ปี เต็มๆ (เราไม่เคยคิดกลัวว่าจะเป็นโรคเกาต์กันเลย) จนวันหนึ่งเหตุการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้น
ในโรงเรียนที่อาจารย์บางท่านยังสำเร็จโทษนักเรียนด้วยไม้เรียว อุบัติเหตุจากการถูกตีเกิดขึ้นได้เสมอ กล้วยถูกลงโทษเพราะเข้าเรียนสาย (ก็เวลาปกติของมันอ่ะนะ) แล้วไม้เรียวจากมืออาจารย์ก็ดันไปฟาดเข้ากับกระเป๋านักเรียนของมันเต็มๆ น้ำซุปในที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋าได้รับการกระทบกระเทือน บางถุงทนพิษบาดแผลไม่ไหว สิ้นใจตายก่อนถึงปากเรา
วันนั้นกล้วยเดินถือกระเป๋านักเรียนเข้ามาในห้องด้วยใบหน้าอารมณ์เสียจัด น้ำใสๆ หยดติ๋งๆ จากกระเป๋าลงสู่พื้นไม้เป็นทางยาว สมุดหนังสือเปียกบวม พวกเราแสดงท่าทีเห็นใจมันคนละเล็กละน้อย แล้วรีบถามว่าข้าวที่เหลือยังกินได้ไหม
“ทีหลังพวกมึงไม่ต้องมาฝากกูซื้อข้าวเลย” กล้วยตอบคำถามของเราด้วยสีหน้าหงุดหงิดปนน้อยใจ
แล้ววันต่อมามันก็ซื้อข้าวมาฝากพวกเราเหมือนเดิม
วันเดินทาง
มึงไม่รู้ มึงทำกูร้องไห้บน BTS
หลังเรียนจบมัธยมปลาย พวกเรากระจัดกระจายกันไปคนละทิศละทาง ข้าพเจ้าเดินจากจังหวัดต้นแม่น้ำเจ้าพระยาไปเรียนไกลกว่าเพื่อน ส่วนกล้วยกับเพื่อนคนอื่นๆ เลือกเรียนใกล้บ้าน
ถึงตอนนี้ข้าพเจ้าเรียนจบมาร่วม 2 ปีแล้ว กล้วยก็เรียนจบแล้วเช่นกัน
แต่ตลอด 5-6 ปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้ากับมันไม่ได้เจอะเจอกันเลย พอถึงคราวที่ได้มาพบกัน เราก็ไม่สามารถพูดคุยกันได้อีกแล้ว
ข่าวการเดินทางไกลของกล้วยทำลายเช้าวันเสาร์ที่อากาศสดใสลงอย่างยับเยิน ข้าพเจ้ารู้ข่าวการตายของมันระหว่างนั่งรถไฟฟ้าไปทำธุระ ราวกับมีค้อนปอนด์หล่นใส่หัว มึนงงจนทำอะไรไม่ถูก น้ำตาหยดแหมะอย่างกลั้นไม่อยู่ โชคดีนิดหน่อยที่โบกี้รถไฟฟ้ายามเช้าวันหยุดผู้คนยังไม่พลุกพล่าน ข้าพเจ้ากัดฟันทำธุระจนเสร็จอย่างคนที่สติเลื่อนลอยเต็มทน สมองเฝ้าคิดถึงแต่เพื่อน
กล้วยจากไปในคืนวันอาสาฬหบูชา หลังเวียนเทียนเสร็จมันจูงมอเตอร์ไซค์กลับบ้านเพราะยางรั่วเกินกว่าจะขี่ได้ มันจูงรถของมันมาเรื่อยๆ บนถนนสายเลียบแม่น้ำพระยา ถนนเส้นนี้มีรถสัญจรไม่มาก รถส่วนใหญ่ทำความเร็วกันเกินพอดี เพื่อนของเราจึงตกเป็นเหยื่อความเร็วบนท้องถนน กล้วยถูกรถกระบะชนอย่างจัง มันนอนนิ่งบนถนน (เราเห็นจากภาพที่พลเมืองดีถ่ายเอาไว้) หลังจากนั้นไม่นานมันทิ้งลมหายใจสุดท้ายไว้ที่โรงพยาบาล
งานศพของมันจัดขึ้นเรียบๆ ข้าพเจ้าไปทันแค่วันประชุมเพลิง เพื่อนๆ ลางานมาร่วมส่งกล้วยเดินทางไกล พวกเราอยู่ในอารมณ์ตื้อๆ ตันๆ แต่ก็ยังพูดคุยหยอกเอินกันเหมือนวันเก่าๆ
เพื่อนบางคนกลัวผีเพื่อน แต่บางคนไม่กลัว
‘ให้มันมาหากูเลย กูจะได้กอดมัน’ เพื่อนผู้ชายของเราบอกแบบนั้น
…พวกเราต่างรู้ว่าโดราเอมอนเดินทางกลับโลกอนาคต และโนบิตะยังโชคที่ได้เอ่ยคำร่ำลา แต่พวกเราทำได้เพียงเคาะข้างโลงของเพื่อนเพื่อเอ่ยอะไรเล็กๆ น้อยๆ กับมันเป็นครั้งสุดท้าย
พวกเราไม่รู้ว่าเพื่อนของเราเดินทางไปถึงไหนแล้ว หรือมันอาจยังเฝ้ามองพวกเราก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่อยู่ตรงไหนสักที่ และถ้ามันพอจะรับรู้ได้ ข้าพเจ้าอยากบอกมัน – กูคิดถึงมึงนะ
***********************************
(หมายเหตุ : ตีพิมพ์ครั้งแรกในคอลัมน์ เรื่องเล็กในหนังใหญ่ นิตยสาร Way ฉบับที่ 82)