เรื่อง: ณิชากร ศรีเพชรดี
ภาพ: ไทยพีบีเอส
มันเลยเป็นปัญหา oversupply แต่ในความเป็นจริง ไม่ได้มีหนังกระแสที่คนจำนวนมากอยากไปดูตลอดเวลา คนดูหนังต่อโรงน้อย โรงหนังจึงต้องเพิ่มรายได้ให้ตัวเองจากเก้าอี้วีไอพี จากค่าจัดฉาย จากป๊อปคอร์น อะไรต่างๆ
สุภาพ หริมเทพาธิป อดีตบรรณาธิการ นิตยสาร Bioscope
ค่าป๊อปคอร์น ราคาตั๋วหนัง รอบและจำนวนฉายของภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ปัจจัยใดบ้างที่มีผลต่ออำนาจลึกลับ ในการดึงตัวเองออกจากบ้าน เพื่อมุ่งหน้าหาซื้อความผ่อนคลายในโรงภาพยนตร์ ในยุคที่การซื้อเวลาเพื่อนอนนิ่งๆ และดูภาพยนตร์สักเรื่อง ง่ายดายเพียงปลายนิ้วคลิก ในยุคของอินเตอร์เน็ตความเร็ว 4G
‘เดินหน้าหนังไทย? ในภาวะผูกขาด’ คือหัวข้อเสวนา ณ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ในช่วงเย็นวันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมา ว่าด้วยเรื่องของความซบเซาของตลาดหนังไทย ที่ดูเหมือนจะถูกประชาชนค่อนขอดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่า มีแต่สร้างหนังตลก ผี และรักโรแมนติก ที่ไม่ได้มีส่วนช่วยจรรโลงและยกระดับสังคมให้ก้าวหน้าขึ้น เมื่อประเภทหนังที่มีให้เลือกนั้นน้อยแสนน้อย ซ้ำค่าครอบครองบัตร ค่าป๊อปคอร์น ค่าแก้วน้ำลิมิเต็ดเอดิชั่น ค่าเก้าอี้ฮันนีมูนสวีท ยังไม่นับรวมว่า เมื่อยอมจ่ายถึงเพียงนั้น ประชาชนยังต้องรับชมโฆษณาที่ยาวกว่าเครดิตของคณะผู้จัดทำในตอนท้ายอีกด้วย
เหล่านี้จะเพียงพอหรือไม่ ในการทิ้งขว้างความลึกลับเปี่ยมเสน่ห์ของการเข้าชมหนังในโรงภาพยนตร์ไป และเข้าอินเตอร์เน็ตเพื่อดูหนังออนไลน์แทน
การท้าทายกฎหมายผูกขาด
สุภาพ หริมเทพาธิป อดีตบรรณาธิการ นิตยสาร Bioscope กล่าวว่า ปัญหาชั้นแรกคือ มีคนท้าทายกฎหมายป้องกันการผูกขาดที่ว่า ห้ามไม่ให้เจ้าของโรงภาพยนตร์กับเจ้าของหนัง รวมไปถึงเป็นผู้นำเข้าภาพยนตร์ เป็นบุคคลเดียวกัน
“ลองคิดดูว่า หากมีหนังประเภทเดียวกัน เข้าฉายพร้อมกันกับเจ้าของพื้นที่ ใครจะได้พื้นที่ในการเข้าฉาย เพียงเท่านี้ก็เท่ากับเป็นการตัดโอกาสของผู้กำกับ รวมทั้งทางเลือกในการบริโภคของคนดู”
อีกปัญหาหนึ่งที่สอดคล้องกันกับปัญหาการผูกขาดอุตสาหกรรมภาพยนตร์ขณะนี้คือ จำนวนโรงภาพยนตร์มีมากกว่าจำนวนคน หรือความต้องการการเข้าไปดูหนัง ปัญหานี้เกิดขึ้นจากการเร่งสร้างโรงภาพยนตร์จำนวนมากเพื่อรองรับคนให้มาดูหนังได้ทันกระแส เมื่อภาพยนตร์เรื่องใดกำลังอยู่ในกระแส หากประชาชนเดินเข้ามาเพื่อซื้อตั๋วหนัง พวกเขาต้องมีเก้าอี้ในการเข้าไปชม
“มันเลยเป็นปัญหา oversupply แต่ในความเป็นจริง ไม่ได้มีหนังกระแสที่คนจำนวนมากอยากไปดูตลอดเวลา คนดูหนังต่อโรงน้อย โรงหนังจึงต้องเพิ่มรายได้ให้ตัวเองจากเก้าอี้วีไอพี จากค่าจัดฉาย จากป๊อปคอร์น อะไรต่างๆ”
ใครจะกล้าต่อรอง
“พอเป็นโปรดิวเซอร์เอง อำนาจต่อรองนั้นแทบไม่มี โรงภาพยนตร์มักไม่ให้ความสำคัญกับหนังไทย จากส่วนแบ่ง 50/50 ก็อาจลดลงเหลือ 55/45 ซึ่งเป็นเรื่องที่เรารับได้ เพราะเป็นหนังฟอร์มเล็ก แต่นอกเหนือจากนั้นคือทางเลือกและอำนาจในการเอาหนังไปขายที่ช่องทางอื่น”
นี่คือประสบการณ์ของคนทำหนัง บัณฑิต ทองดี นายกสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย ในครั้งที่เขาต้องเล่นบทเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับหนังไทยฟอร์มเล็ก บัณฑิตเล่าต่อว่า พอสัดส่วนที่ต้องได้จากการฉายหนังในโรงลดลง เขาต้องหันไปหาช่องทางขายหนังจากแผ่นดีวีดี ซึ่งในขณะนั้นตลาดยังโตพอที่จะขายได้อยู่ แต่มือที่มองเห็นเข้ามายื่นข้อเสนอว่า หากขายลิขสิทธิ์ทำดีวีดีให้กับโรงหนังในราคาครึ่งหนึ่งของเจ้าอื่น เขาจะได้เพิ่มรอบฉายหนังในโรงภาพยนตร์
“เท่ากับผมต้องเลือกว่า จะไปลุ้นเอากับจำนวนตั๋วหน้าโรงหนัง หรือลิขสิทธิ์ดีวีดีที่ให้เงินมากกว่า”
สิ่งที่คนทำหนังเองต้องทำต่อไปหากอยากจะเอาหนังของตัวเองเข้าโรงภาพยนตร์คือ ต้องซื้อโฆษณาในหน้าหนังสือพิมพ์ ซึ่งโรงหนังเจ้าใหญ่ได้ซื้อพื้นที่ไปหมดแล้ว
“บางทีงบลงทุนของหนังฟอร์มเล็กคือ 2 ล้านบาท แต่ต้องซื้อโฆษณา 400,000 เงินตรงนี้มันจะคุ้มกับการลงทุนเพียงหนึ่งวันหรือเปล่า”
จากความบันเทิงสู่ความน่ารำคาญ
ในสายตาของ ดรสะรณ โกวิทวณิชชา นักวิจารณ์ภาพยนตร์ เครือข่ายคนดูหนัง บอกว่า ทุกวันนี้เขาแทบไม่เดินเข้าไปดูหนังในโรงภาพยนตร์
“โรงหนังทำให้บรรยากาศมันไม่น่าเข้าไปดู มีแต่กับดักให้เสียเงินรายทาง จากความบันเทิง ได้กลายเป็นความน่ารำคาญ และทุกวันนี้มันมีทางเลือกในการดูหนังมากขึ้น”
ดรสะรณ กล่าวถึงความระคายใจในส่วนของคนดูหนังว่า ทุกวันนี้มีการบังคับให้คนซื้อบัตร แทบไม่มีพนักงานขายตั๋วอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ เปิดไฟ-ปิดม่านก่อนที่เครดิตคนทำหนังจะขึ้นหมด โฆษณาจำนวนมาก รวมทั้งรอบหนังที่มีพื้นที่เฉพาะหนังทำเงิน หนังนอกกระแสจะถูกผลักไปอยู่รอบดึก หรือบางครั้งหนังถูกถอดออกจากโรงเร็วกว่ากำหนด
สายหนังยังเป็นทางเลือก?
“เมื่อ 20 กว่าปีก่อนเคยมีคนแนะนำให้ผมซื้อหนังมาทำธุรกิจสายหนัง เพื่อป้องกันการผูกขาดของโรงภาพยนตร์ขนาดใหญ่ ล่วงมาถึงวันนี้ คนที่เป็นเจ้าของธุรกิจสายหนังก็คือเจ้าของโรงหนังใหญ่ๆ อีกที”
คือคำบอกเล่าของ นิมิตร สัตยากุล ตัวแทนธุรกิจฉายหนังกลางแปลง นิมิตรเล่าถึงการต่อสู้ในธุรกิจโรงหนังทางเลือกว่า เมื่อ 20 ปีก่อนเขาได้สร้างโรงหนังขึ้นมาเอง หากปัญหาที่เกิดขึ้นคือโรงภาพยนตร์ของเขามีจำนวนหนังไม่พอฉาย เพราะมีผู้ผลิตหนังเพียงเจ้าเดียวที่ขายหนังให้ ที่เป็นผลจากการกีดกันการขายหนัง โรงภาพยนตร์รายใหญ่ไม่ขายหนังให้แก่สายหนังเจ้าเล็ก
นอกจากนี้ เขายังได้กล่าวถึงอำนาจการต่อรองที่มีอยู่ระหว่างสายหนัง โรงภาพยนตร์ และผู้สร้างหนังแต่เดิมว่าเป็นระบบที่ลงทุนร่วมกัน หากผู้กำกับเสนอว่าอยากทำหนังสักเรื่อง โรงภาพยนตร์เห็นว่าน่าสนใจ และทางสายหนังเห็นว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ทั้งหมดก็จะร่วมลงทุนเม็ดเงินด้วย โดยโรงภาพยนตร์และสายหนังก็จะกันพื้นที่รอบฉายเอาไว้ให้ด้วย ในแง่นี้ ทั้งสามส่วนจึงมีส่วนร่วมในการรับความเสี่ยงร่วมกัน การประกันว่าจะมีพื้นที่ฉาย หรือหนังจะถูกส่งต่อไปยังโรงหนังทางเลือกหรือสายหนังจึงยังมีอยู่
ไม่มีทางเลือก / เลือกอะไรได้ไหม
ในส่วนท้ายของวงเสวนา คำถามจากคนทางบ้านถูกส่งขึ้นมาบนเวที ใจความส่วนใหญ่รวบรวมได้ว่า เพราะเดี๋ยวนี้หนังไทยมีแต่หนังตลก ผี รักโรแมนติกของเด็กมัธยม หาได้มีความหลากหลายที่จะยกระดับสังคม หรือเป็นตัวเลือกให้กับวงการภาพยนตร์บ้านเราเลย ซึ่งสุภาพได้ตอบคำถามนี้ไว้ว่า
“เพราะการท้าทายกฎหมายผูกขาดเหล่านี้ มันกำลังทำอันตรายต่อวัฒนธรรม หนังหลากหลายประเภทเช่นหนังเกาหลี ฮ่องกง ฝรั่งเศส ที่เมื่อก่อนมีอยู่ในโรงหนังบ้านเราบ้าง ก็ถูกทำให้ค่อยๆ หายไป ตอนนี้เหลือหนังไม่กี่แบบให้เราได้ดู คนดูเหมือนถูกบังคับให้ดูหนังประเภทเดียว จากนั้นหนังทางเลือกก็จะไม่ทำงานกับคนและอย่างต่อเนื่อง หนังทางเลือกเริ่มไม่ถูกปาก คนดูไม่อยากไปดูหนังเหล่านี้ในโรงหนัง ทั้งหมดนี้เป็นผลจากคนที่เคยทำความแตกต่างได้ตายไปหมดแล้ว”
นิมิตรตั้งคำถามกลับว่า “เราบอกว่าไม่มีหนังไทยดีๆ ให้ดู แต่เรารู้หรือยังว่ามีหนังอย่าง อนธการ ที่เข้าชิงรางวัลเกือบทุกสถาบัน เราอาจจะบอกว่าเราไม่มีทางเลือกดีๆ แต่หนังที่เป็นทางเลือก ก็ไม่มีคนดูเช่นกัน”