มีเดียมอนิเตอร์ ร่วมกับ แผนงานวิจัยนโยบายอาหารและโภชนาการ เพื่อการสร้างเสริมสุขภาพได้ศึกษา การโฆษณาอาหารและเครื่องดื่มในรายการสำหรับเด็ก ทางฟรีทีวี 4 ช่อง ได้แก่ ช่อง3, 5, 7 และ ช่อง9 พบว่า ร้อยละ 94 ของอาหารและเครื่องดื่มที่โฆษณา เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการไม่เหมาะสม ยิ่งไปกว่านั้น การโฆษณายังใช้พรีเซ็นเตอร์ที่เป็นดาราดัง คนที่มีชื่อเสียง ใช้การ์ตูน และการใช้ mock up ที่ทำให้อาหารมีขนาดใหญ่เกินกว่าความเป็นจริง
เนื้อหาโฆษณาก็มุ่งเน้นเรื่องรสชาติของอาหาร การส่งเสริมให้บริโภคเกินความจำเป็น การบริโภคแทนอาหารมื้อหลัก การใช้คำที่ทำให้รู้สึกว่าราคาถูกลง การทำให้รู้สึกว่าเด่นกว่าคนอื่น และมีเนื้อหาส่อไปในทางเพศซึ่งไม่เหมาะสมกับเด็ก
นอกจากนี้ ยังพบโฆษณาแฝงทุกรูปแบบ “มากที่สุด” ในรายการที่ถูกจัดให้มีเนื้อหาระดับ ‘ท’ ที่ออกอากาศในช่วงเวลาสำหรับเด็กด้วย
“การโฆษณาดังกล่าวเป็นการส่งเสริมให้เด็กเกิดความต้องการบริโภค ในขณะที่กฎหมายควบคุมการโฆษณาที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่ครอบคลุมการโฆษณาที่มีรูปแบบและเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมกับเด็ก” ดร.เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ ผู้อำนวยการโครงการมีเดียมอนิเตอร์ กล่าว
ด้าน รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล เสริมว่า ปัจจุบันนี้โฆษณามีการใช้กลยุทธ์และมีเทคนิคลูกเล่นแพรวพราวที่เชิญชวนให้เกิดการบริโภค ทำให้เด็กหลงกลได้ง่าย โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี ที่ไม่สามารถแยกแยะระหว่างโลกจินตนาการและโลกของความเป็นจริง ดังนั้น เด็กจึงตกเป็นเหยื่อของการโฆษณา และก่อให้เกิดผลกระทบต่อเด็ก 3 ประการ ได้แก่ 1. เพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพทางกาย เช่น โรคอ้วน กลัวอ้วน หรือผอมขาดสารอาหาร 2. เพิ่มความเสี่ยงด้านจิตใจ เช่น การเกิดพฤติกรรมการลอกเลียนแบบตามสื่ออย่างไม่เหมาะสม และ 3. เพิ่มความเสี่ยงด้านสังคมและวัฒนธรรม เกิดค่านิยมผิดๆ เช่น เมื่อบริโภคสินค้าที่โฆษณาแล้วมีผลต่อความรู้ความสามารถ ความสวยความงาม เป็นต้น
“ถึงเวลาแล้วที่ต้องเอาจริงเอาจังกับการนำกฎหมายที่มีอยู่มาบังคับใช้ให้เห็นชัดเจนเป็นรูปธรรมเสียที” รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ย้ำ
ส่วน เข็มพร วิรุณราพันธ์ ผู้จัดการสถาบันสื่อเด็กและเยาวชน (สสย.) กล่าวว่า สื่อเป็นปัจจัยแวดล้อมที่สำคัญในการเรียนรู้ของเด็ก เด็กใช้เวลากับสื่อมาก โฆษณาจึงมีผลกระทบต่อทัศนคติและพฤติกรรมของเด็กเยาวชนมากด้วยเช่นกัน
“อยากเห็นคนทำโฆษณาที่มีจิตสำนึกไม่มุ่งแต่กำไรจนไม่สนใจผลที่เกิดขึ้นต่อเด็ก หน่วยงานกำกับดูแลโฆษณา ทั้งสมาคมวิชาชีพและภาครัฐอย่างกสทช. ต้องให้ความสำคัญกับการดูแลเรื่องโฆษณาที่เข้าถึงเด็ก ต้องมีหลักเกณฑ์ที่แตกต่างจากโฆษณาในช่วงรายการของผู้ใหญ่ ต้องให้ความรู้เรื่องเท่าทันสื่อแก่เด็กและพ่อแม่ ต้องให้เครือข่ายพ่อแม่และภาคสังคมต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการเฝ้าระวัง หมดเวลาที่จะโยนกันไปมาว่าเป็นหน้าที่ของใคร แต่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันพัฒนาเด็กและเยาวชน”
และหนึ่งในมาตการป้องกันคือ กฎหมายและกลไกในการควบคุมการโฆษณา และถึงเวลาแล้วที่จะต้องกำหนดมาตรฐานเพิ่มกฎกติกา และกำหนดกลไกในการควบคุมดูแลโฆษณาในช่วงรายการเด็กและเยาวชนเป็นพิเศษ โดยเฉพาะโฆษณาอาหารที่ไม่มีประโยชน์ต่อสุขภาพที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสมและใช้เทคนิคต่างๆ เพื่อกระตุ้นและส่งเสริมให้เด็กบริโภค
“ประเทศไทยควรมีมาตรการในเรื่องนี้อย่างเคร่งครัดเหมือนกับประเทศอื่นๆ เช่น อังกฤษและออสเตรเลียที่มีกลไกการกำกับดูแลร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคธุรกิจเอกชน ในการติดตามเฝ้าระวังและการลงโทษโฆษณาที่ฝ่าฝืนกฎข้อบังคับ เพราะการออกกฎหรือมาตรการดังกล่าว นอกจากจะเป็นการปกป้องสุขภาพของเด็กและเยาวชนแล้ว ยังเป็นผลดีต่อสังคมและภาครัฐในการลดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลรักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่อไปในอนาคตอีกด้วย” นงนุช ใจชื่น นักวิชาการแผนงานวิจัยนโยบายอาหารและโภชนาการ เพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ ทิ้งท้าย
**************************************