ภาพ: ฟังใจ-fungjai
เสาร์ 23 กันยายน ฝนโปรยเม็ดลงมาแต่บ่าย…จนเย็นก็ยังไม่มีทีท่าจะหยุด สบถในใจตามประสาคนเกลียดสายฝนเพราะมันไม่เป็นมิตรต่อรองเท้า ชะโงกหน้าออกไปประเมินสถานการณ์บนท้องฟ้า ฝนไม่หยุดและฟ้ามืดลงเรื่อยๆ ช่างแม่งละกัน หยิบร่มเดินออกจากบ้าน โดดขึ้นแท็กซี่พร้อมความชื้นที่รองเท้าผ้าใบ
Voice Space คึกคักด้วยผู้คน หย่อมชื้นบนเสื้อผ้าบ่งบอกว่าพวกเขาฝ่าฝนมาเช่นกัน มารวมกันที่นี่ งาน ‘เห็ดสด’ ครั้งที่ 5 จัดโดย ฟังใจ – fungjai
เกือบๆ หนึ่งทุ่ม เสียงเพลงในสตูดิโอเร่งเร้าให้เราเดินเข้าไปปักหลักหาพื้นที่ให้ตัวเอง วงกำลังจะขึ้นแสดงแล้ว Safeplanet เปิดหัวเป็นเจ้าแรก พวกเขามาด้วยมาดของหนุ่มขี้อาย เคอะเขินในการพูดจาแต่เต็มที่เวลาเริ่มบรรเลง ซาวด์เฉพาะตัวของวงฟังแล้วเพลิดเพลิน สุ้มเสียงเป็นเอกลักษณ์ที่พาผู้ฟังดำเนินไปตามเพลงที่พวกเขาขนมาอย่าง ‘โอยา’ ‘กล่องดำ’ ‘ระบาย’ ‘ตัดสินใจ’ และ ‘ห้องกระจก’ บทเพลงปิดท้ายที่พาเหล่าผู้ชมเดินทางไปพบกระจกของใจ
จบจาก Safeplanet ก็มาถึงคิวของ Armchair วงดนตรีรุ่นเริ่มใหญ่ที่หายหน้าไปจากสายพานการผลิตอัลบั้มใหม่ มารอบนี้ถึงพวกเขาจะยังเล่นเพลงเก่าเพลงเดิม แต่เพลงเก่าๆ เหล่านี้ต่างกลับมาขุดคุ้ยช่วงเวลาของคนฟัง ความทรงจำฟุ้งกระจาย พาความคิดย้อนรำลึกความจำกลับไป 5 ปี 10 ปีที่แล้ว
‘คุณเก็บความลับได้ไหม’ ‘พรุ่งนี้’ ‘แต่งงาน’ ‘รักแท้’ ‘รึเปล่า’ ‘ไปด้วยกันรึเปล่า’ คือเพลงที่พวกเขาเล่น เพลงในความทรงจำของพวกเรา
ต่อมาคือคิวของ Corncan – ขอนแก่น วงดนตรีนักศึกษายุคบุกเบิก โดยห้าหนุ่มจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยของแก่น เช่นเดียวกับ Armchair วงขอนแก่นหายหน้าหายตาไปนานมาก ด้วยภาระหน้าที่ในชีวิตของสมาชิกวง การขึ้นแสดงบนเวทีเห็ดสด 5 ทำให้พวกเขาได้กลับมารวมตัวกัน ได้เล่นดนตรีอีกครั้ง บรรดาเพลงที่พวกเขาขนมาทุ่มใส่แฟนเพลงก็เช่น ‘หางตา’ ‘ไม่มีประโยชน์’ ‘ฉันยังคงเดิม’ ‘อย่ากลัวการกลับมา’ ‘แค่ไหนที่เรียกว่ารักกัน’ และเพลงที่บ่งบอกถึงความเป็นขอนแก่น – ‘ลืม’ ด้วยพลังเสียงทรงพลัง ดนตรีแน่นหนักและความเอนเตอร์เทนในแบบของพวกเขา
ใครคนนึงเคยบอก การได้กลับมาเล่นดนตรี ผสานวง และเล่นคอนเสิร์ตกับเพื่อนอีกครั้ง คือของขวัญอันล้ำค่าของนักดนตรี
การวางคิววงดนตรีของเห็ดสด 5 บ่งบอกว่าพวกเขาต้องการไล่ระดับบรรยากาศให้เดือดขึ้นเรื่อยๆ ความมันระดับแก้วหูสั่นของวงขอนแก่นช่วยให้เราวอร์มร่างกายเพื่อรับมือต่อการหูดับ กระป๋องเบียร์ในมือสั่น และเมาแสง เมื่อถึงคราววง Bomb at Track ขึ้นหวดบนเวที ใช่ ต้องใช้คำว่า ‘หวด’
พวกเขามาด้วยเพลง ‘สันติภาพ’ ‘My generation’ ‘อำนาจเจริญ’ ‘เดนมนุษย์’ ‘ฆาตกรคีย์บอร์ด’ และ ‘โจรในเครื่องแบบ’ ดนตรีหนักหน่วงกระแทกโสตประสาทถูกสาดใส่ผู้ชมตลอดการแสดง
“ชูนิ้วกลางขึ้นมา” พวกเขาเรียกร้องแฟนเพลง ไม่ทันสิ้นเสียงนิ้วกลางก็ชูว่อน มันคือการแสดงความสรรเสริญด้วยใจจริง หลังเพลงสุดท้ายจบ พวกเขาลงจากเวที พื้นที่ด้านหน้าไม่สามารถนั่งรอชมวงต่อไปได้อีก พื้นเหนียวหนึบไปด้วยคราบเบียร์ที่หกเลอะจากการกระโดดโลดเต้น ดีกรีบนพื้นปูนน่าจะพอๆ กับความเดือดวูบวาบในร่างกาย
ไม่ต้องรอให้หายเหนื่อยศิลปินวงต่อไปก็พาผู้ชมไปเดือดต่อ พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ มาในยูนิฟอร์มของเขา เสื้อยืด กางเกงขาสามส่วน และผ้าคาดหัว เริ่มด้วยเพลงที่ค่อยๆ ปลุกจังหวะการเต้นของหัวใจอย่าง ‘ด.ช.รามี่’ ‘แกเพื่อนฉัน’ ‘แรงยังมี’ ‘โอ…เย’ อย่างไม่น่าเชื่อ กว่าครึ่งของคนดูผู้เป็นวัยรุ่น ต่างร้องเพลงของเขาได้
หลังเพลงจังหวะเร้าใจผ่านไปสามสี่เพลง ปู-พงษ์สิทธิ์ เริ่มละเลงความเศร้าใส่ผู้ชมด้วยเพลง ‘แค่นั้น’ ‘อยู่ตรงนี้’ ที่พาเศร้าจนน้ำตาแทบร่วง จนมาถึงเพลงที่มีท่อนโซโลเมาท์ออร์แกนที่เท่ที่สุดอย่างเพลง ‘เสมอ’ กลายเป็นว่าคนข้างๆ ปาดน้ำตา – คิดถึงบ้าน
หลังหมดโหมดเศร้า ความสนุกกลับคืนสู่แฟนเพลงอีกครั้งเพลง ‘นักแสวงหา’ ‘หนุ่มน้อย’ ‘รักเดียว’ ต่างถูกทยอยเล่น แต่จนแล้วจนรอด “ฟางเส้นสุดท้ายเมื่อตะวันบ่ายคล้อยลงมา…” กลับไม่มาตามนัด คอนเสิร์ตจึงจบลงด้วยเพลง ‘เจ้านาย’ ปู-พงษ์สิทธิ์วางกีตาร์ เดินลงเวทีในขณะที่เสียงเรียกร้องเพลงมือปืนยังดังก้อง จนไฟบนเวทีดับทุกคนจึงเลิกตะโกนและยอมแพ้
“พี่ปูไม่เล่นมือปืนว่ะ” กลุ่มข้างหลังกล่าวด้วยน้ำเสียงน้อยใจ