1
ในวันที่มีสมรสเท่าเทียม
จุดเริ่มต้นคือโรงน้ำชา
หลายสิบปีก่อน เด็กผู้หญิงอายุ 12 ปี ถูกไล่ตะเพิดอย่างไม่ใยดีเมื่อย่างกรายเข้าไปในโรงน้ำชา
ทั่วพื้นที่ทางภาคใต้หรืออย่างน้อยๆ ก็ในละแวกบ้านของเธอ โรงน้ำชาหรือร้านกาแฟใดๆ ก็ตามคือพื้นที่ให้เฉพาะผู้ชายที่ตื่นเช้า มานั่งอ่านหนังสือพิมพ์ มาถกเถียงปัญหาการเมือง เศรษฐกิจ สังคม
“นี่ไม่ใช่ที่ของเด็กผู้หญิง กลับไปช่วยแม่ล้างจานไป” คือคำพูดที่ชายวัยกลางคนเอ่ยกับเด็กหญิง
ผู้หญิงและเด็กผู้หญิงไม่ได้รับอนุญาตให้มีปากเสียง ถูกตัดขาดจากบทสนทนาเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ สังคม อย่างสิ้นเชิง
เด็กหญิงตัวเล็กจ้อยในวันนั้นเติบโตมาทำงานเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียมทางเพศ โดยใช้ชื่อกลุ่มว่า ‘โรงน้ำชา’ เพื่อท้าทายกับสิ่งที่เธอเคยพบเจอในอดีต ก่อนที่ทุกคนจะรู้จักเธอในชื่อ วาดดาว บางกอกไพรด์ หรือ วาดดาว-ชุมาพร แต่งเกลี้ยง
กิจกรรมแรกๆ ที่เธอทำนอกเหนือจากการจัดสัมมนา คือการชวนคู่รักไปที่เขตบางรัก เมื่อประมาณ 11-12 ปีที่แล้ว วาดดาวพาคู่รัก ‘พี่หน่อง’ และ ‘พี่ฝ้าย’ ไปขอจดแจ้งแต่งงานกัน
แน่นอนว่าต้องถูกปฏิเสธ
สายเลือดนักกิจกรรมจึงเรียกร้องให้หยิบธงรุ้ง หยิบไมค์ พร้อมกับลากลำโพงออกมายืนปราศรัยหน้าเขตบางรักให้กับพี่หน่องและพี่ฝ้าย โดยมีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ไปช่วยกันยืนถือป้ายเรียกร้องความเท่าเทียม
ในวัน IDAHOT (The International Day Against Homophobia, Transhobia and Biphobia) หรือวันยุติการเกลียดกลัวคนรักเพศเดียวกัน คนข้ามเพศ และคนรักสองเพศ ซึ่งประเทศไทยไม่เคยจัดมาก่อน เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เธอกับเพื่อนๆ ก็รวมตัวกันจัด เพื่อที่จะสร้างกระแสในสังคม
วาดดาวเล่าว่า วันนั้นใช้การรณรงค์ในรูปแบบแฟลชม็อบทั่วเมือง เธอเดินทางไปที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยมีธงรุ้งเล็กๆ ติดมือไปแปะเอาไว้ที่นั่น โดยไม่คิดฝันว่าวันหนึ่งเธอจะสามารถนำธงรุ้งขนาดมหึมาไปห่มคลุมอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไว้ได้ทั้งหมดอย่างในการชุมนุมใหญ่เมื่อปี 2563
จากโรงน้ำชาสู่ความไพรด์
ปี 2563 ฟากฝั่งของนักกิจกรรมเยาวชนได้จัดม็อบตุ้งติ้ง นั่นคือจุดเปลี่ยนที่วาดดาวตัดสินใจว่า ‘พวกเราต้องลงถนน’
“วันที่จัดม็อบตุ้งติ้งเราเซอร์ไพรส์มาก เพราะว่ามีน้องๆ นักเรียน นักศึกษา ถือป้ายคำว่า ‘สมรสเท่าเทียม’ เราเหมือนมองเห็นความจริงว่าถ้าเรามัวแต่ทำแบบเดิมเรามาผิดทาง สิ่งที่ต้องรณรงค์นับจากนั้นมันต้องอยู่บนท้องถนนกับคนที่ต่อสู้ เราเปลี่ยนองคาพยพในกลุ่มทั้งหมด คุยกันว่าจะไม่จัดการสัมมนา การประชุมในโรงแรมที่มีแต่คนกลุ่มเดิมๆ อีกต่อไปแล้ว เราจะลงถนน”
วาดดาวเล่าให้ฟังด้วยสายตาที่ภาคภูมิใจ เพราะเมื่อมองย้อนกลับไป ไม่มีอะไรที่เธอตัดสินใจผิดพลาด ไม่มีเลย…
ช่วงปี 2563-2565 มีขบวนการเฟมินิสต์ปลดแอก ซึ่งเปลี่ยนชื่อมาจากโรงน้ำชาเคลื่อนไหวเรื่องสิทธิความเท่าเทียมทางเพศเรื่อยมา
จวบจนมีคดีความมากขึ้น โทนและท่วงทำนองของการเคลื่อนไหวจึงถูกทำให้เบาลง เหล่านักเคลื่อนไหวต่างใช้เวลาเยียวยาบาดแผลเล็กใหญ่ที่กัดกินในจิตใจ ช่วงเวลานี้จึงเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาถอดบทเรียนและพยายามสร้างกระแสใหม่ในสังคม ก็คือการสร้างขบวนไพรด์ ซึ่งขบวนไพรด์ ในปี 2565 วาดดาวเล่าว่ามาจากม็อบราษฎรฯ ที่เราคุ้นชิน
“เราจัดม็อบได้ เราเดินขบวนได้ เราพาม็อบเดินจากตรงนู้นตรงนี้ได้ เราเคยชินกับเรื่องแบบนั้น เพราะฉะนั้นการเดินขบวน Pride มันก็เลยเป็นสิ่งที่เราทำได้ มีรถเครื่องเสียงสักคัน ถือป้ายรณรงค์แล้วก็เดินกัน แต่ว่ามันกลับกลายเป็นปรากฏการณ์ที่คนเป็นหมื่นมาเดินร่วมกับเรา”
คำบอกเล่าของวาดดาวทำให้พอจะเข้าใจว่า เหตุใดการเปลี่ยนผ่านจากม็อบไปสู่งานไพรด์จึงไม่เคอะเขิน
เพราะเธอทำอย่างที่ถนัด ไม่กลัวท้องถนน และไม่ทิ้งรูปแบบของการต่อสู้ ไม่ทิ้งเรื่องเล่าของวิถีชีวิตที่ต้องการ ซึ่งก็คือสิทธิและความเป็นธรรมทางเพศ
เรื่องเล่าจากคนเคยถูกจำกัดสิทธิ
วาดดาวเข้าไปข้องแวะกับหลายแวดวงเพื่อเปล่งเสียงพูดเรื่องความเท่าเทียมและความหลากหลายทางเพศ ทั้งการชุมนุมประท้วง การทำพรรคการเมืองอย่างพรรคสามัญชน ขบวนไพรด์ รวมถึงการผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียม ที่เธอเองมีส่วนร่วมอย่างมากในฟากฝั่งของภาคประชาชน
เหตุการณ์ร่วมสมัยที่เป็นความยินดีของประเทศไทยในปีนี้ คือการมีกฎหมายสมรสเท่าเทียม เธอฉายภาพให้เห็นการถูกจำกัดสิทธิของ LGBTQIA+ เติมเต็มความหนักแน่นของเหตุผลที่ว่าทำไมเราจำเป็นต้องมีกฎหมายประวัติศาสตร์ฉบับนี้
“การไม่สามารถทำนิติกรรมร่วมกันได้มีปัญหามากเลยนะ เขาไว้เนื้อเชื่อใจกัน เขาเป็นครอบครัว แล้วเขารู้สึกว่าเขาควรที่จะแต่งงานและสร้างฐานะร่วมกัน เช่น การได้สิทธิลดหย่อนภาษี สิทธิการกู้ร่วม การกู้สองคนได้บ้านหลังใหญ่ขึ้น ได้อาคารพาณิชย์ที่ใหญ่ขึ้น และลงทุนได้เพิ่มขึ้น LGBTQIA+ ถูกตัดขาดจากการลงทุนมาอย่างยาวนาน” วาดดาวเล่า
LGBTQIA+ จำนวนมากให้ข้อมูลเรื่องการกู้บ้านว่า เขาอยากจะมีบ้านหลังใหญ่แต่เขากู้ร่วมกันไม่ได้เลยได้บ้านหลังเล็ก ได้บ้านราคาถูก สำหรับบางคู่ก็ได้สภาพบ้านที่ไม่น่าอภิรมย์เท่าไรนัก
LGBTQIA+ จำนวนมาก ถ้าหากได้แต่งงาน เขาจะสามารถขอสินเชื่อเพื่อทำธุรกิจร่วมกัน ซึ่งจะทำให้งานของเขาเติบโต แต่ก็ทำไม่ได้
แต่หลังจากมีกฎหมายสมรสเท่าเทียมแล้ว หลายคู่คาดหวังว่าจะสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้อย่างเท่าเทียม เพราะทั้งผู้หญิงและผู้มีความหลากหลายทางเพศ ต่างก็ถูกโครงสร้างบางอย่างกีดกันการเข้าถึงเงินทุนมาโดยตลอด
LGBTQIA+ จำนวนมากต้องออกจากระบบการศึกษา เพราะอยู่บ้านไม่ได้ อยู่แล้วไม่เป็นตัวของตัวเอง การออกจากบ้านสำหรับบางคนคือการออกจากระบบการศึกษาไปด้วย นั่นทำให้ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
“คู่รัก LGBTQIA+ ถูกบล็อก ถูกฟรีซเอาไว้ให้เติบโตได้ยาก เห็นหรือยังว่าการจัดตั้งครอบครัวที่มีสถานะทางกฎหมายสำคัญกับระบบเศรษฐกิจมาก” วาดดาวกล่าว
ความจำเป็นในเชิงยุคสมัยกำลังส่งเสียงแกมบังคับให้เราต้องโอบรับความแตกต่างหลากหลาย ทำให้สังคมเท่าเทียม และมีตัวอย่างทั่วโลกให้เห็นว่าเราควรจะมีสังคมแบบใด
ยุคสมัยโบราณที่มวลมนุษยชาติเคยเชื่อว่า LGBTQIA+ สมรสกันไม่ได้ ทุกวันนี้ทั่วโลกก็เริ่มทยอยทำได้แล้ว ที่น่ายินดีคือประเทศไทยเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ตัวกฎหมายบังคับให้ความเท่าเทียมก่อตัวอย่างมั่นคง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ถูกแก้ ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ ธนาคารไทยที่อยู่ภายใต้ประมวลแพ่งและพาณิชย์อยู่แล้วจึงมีหน้าที่ทำตามข้อตกลงใหม่ที่เกิดขึ้น
ธนาคารกับบทบาทภายใต้ข้อตกลงใหม่
เพราะไฟแห่งความหวังที่จะเท่าเทียมถูกจุดให้ลุกโชน โดยมีกฎหมายสมรสเท่าเทียมเป็นเชื้อเพลิง ผลประโยชน์สาธารณะของการผ่านกฎหมายดังกล่าวคือการได้รับสิทธิที่ถูกพรากไปกลับคืน และเหล่าสถาบันการเงินก็ได้กำไรเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ภาพความคาดหวังหนึ่งของวาดดาวคือการได้เห็น economic impact อันเกิดขึ้นจากสมรสเท่าเทียม ที่ธนาคารต้องทำตัวเลขออกมาเพื่อตอบสนองภาพเชิงบวกสู่สังคม
อย่างไรก็ตาม หากจะวิเคราะห์การเติบโตทางเศรษฐกิจจากกฎหมายสมรสเท่าเทียมต้องอาศัยข้อมูลจากหลายมิติด้วยกัน เช่น การเพิ่มการใช้จ่ายทางเศรษฐกิจของกลุ่ม LGBTQIA+ การลดการเลือกปฏิบัติในที่ทำงาน หรือกระทั่งการสนับสนุนเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการจัดงานแต่งงาน
รายงานของ Williams Institute เมื่อปี 2563 พบว่า 5 ปีหลังสหรัฐผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมในปี 2558 ช่วยเพิ่มรายได้ในอุตสาหกรรมงานแต่งงานและการท่องเที่ยว เฉพาะคู่สมรสที่มีความหลากหลายทางเพศประมาณ 3.8 พันล้านดอลลาร์ ท้องถิ่นมีรายได้ภาษีจากงานแต่งงานถึง 244.1 ล้านดอลลาร์
อีกทั้งยังช่วยสนับสนุนการจ้างงานประมาณ 45,000 ตำแหน่งตลอดทั้งปี ซึ่งใช้ข้อมูลของสำนักงานการท่องเที่ยวของรัฐ เพื่อประมาณจำนวนงานที่อาจได้รับการสนับสนุนจากการใช้จ่ายเพื่องานแต่งของคู่รัก LGBTQIA+ จากรายงานพบว่าค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 83,643 ดอลลาร์ จะช่วยสนับสนุนการจ้างงาน 1 ตำแหน่ง เป็นเวลา 1 ปี1
ในออสเตรเลีย การผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมในปี 2560 ก็ส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการแต่งงานและธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น สถานที่จัดงาน ร้านดอกไม้ ช่างภาพ
ในปีแรกหลังจากบังคับใช้กฎหมาย The New Daily รายงานว่ามีคู่รักเพศหลากหลายมากกว่า 6,500 คู่เข้าพิธีแต่งงานในออสเตรเลีย ซึ่งคิดเป็น 5.5 เปอร์เซ็นต์ของคู่สมรสทั้งหมดในปีนั้น2
แม้ว่าจะไม่มีตัวเลขรายได้รวมเหมือนสหรัฐ แต่จากข้อมูลรายงานวิจัยการตลาดเบื้องต้นของ IBIS World พบว่าอุตสาหกรรมการแต่งงานในออสเตรเลียมีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปี3 ซึ่งการเพิ่มขึ้นของจำนวนคู่แต่งงานจากกฎหมายสมรสเท่าเทียมย่อมนำไปสู่การเติบโตของรายได้ในภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างมีนัยยะสำคัญ จากการขยายฐานลูกค้าที่มากขึ้น
ภาพสถิติเหล่านี้วาดดาวกล่าวว่า เธอหวังอย่างมากว่าธนาคารไทยจะมีส่วนในการบันทึกตัวเลขเหล่านี้ และเปิดเผยต่อสาธารณะ
“เราต้องการให้ธนาคารตอบสนองตัว positive image ให้เห็น เพื่อไปทลายพวก homophobia (อาการเกลียดกลัวผู้มีความหลากหลายทางเพศ) ทั้งหลายที่เคยด่าทอพวกเราว่า “อีพวกนี้มันไม่ควรมีอยู่เพราะมันประหลาด””
ในทัศนะของ ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ สส.พรรคประชาชน ผู้มีบทบาทสำคัญอีกคนหนึ่งในการเรียกร้องและผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียมให้เกิดขึ้นในประเทศไทย มีข้อเสนอแนะต่อภาคการธนาคารว่า ธนาคารควรจะต้องปรับนโยบายเรื่องเอกสารสัญญาต่างๆ หรือกระทั่งการเซ็นชื่อคู่สมรสก็ต้องทำความเข้าใจว่า ตอนนี้เรามีคนหลากหลายทางเพศแล้ว ดังนั้นไม่ควรมีคำที่บ่งชี้ไปแค่ชายหญิงอย่างคำว่า ‘สามี’ หรือ ‘ภรรยา’ ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจให้ดีๆ
รวมถึงสินเชื่อในคู่สมรส การกู้ร่วมอะไรต่างๆ ต้องมั่นใจได้ว่ากลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม
“เราต้องยอมรับว่าเรายังคงพบอคติในเรื่องการกีดกัน ซึ่งการกีดกันอยู่ในหลายระดับมาก การพูดออกมาก็ชัดเจนว่าเลือกปฏิบัติ แต่การเลือกปฏิบัติให้เข้าถึงโอกาสอาจเกิดขึ้นจากภายในของคนที่กีดกัน หรืออาจจะเกิดขึ้นในระดับตัดสินใจที่ไม่ได้พูดออกมาเป็นคำพูด ฉะนั้นธนาคารก็ควรจะมีการตรวจสอบให้มั่นใจว่า กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศจะเข้าถึงบริการทางการเงินต่างๆ ได้โดยไม่ถูกเลือกปฏิบัติ”
นอกจากนี้ธัญวัจน์ยังเสนอให้มีการเก็บข้อมูลเพื่อวิเคราะห์การเติบโตทางเศรษฐกิจที่สัมพันธ์กันอย่างมีนัยยะกับการผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม ซึ่งเป็นข้อเสนอที่สอดคล้องกับความต้องการของวาดดาว
โลกทัศน์ใหม่ในที่เก่า
การพูดคุยกับวาดดาวทำให้ต้องเตือนใจอยู่เสมอว่าอย่าดูแคลนสมรสเท่าเทียม สิ่งนี้อาจไม่ใช่แค่ใบเบิกทางให้คนแต่งงานกัน แต่มันกำลังเปลี่ยนโลกทัศน์เรื่องการมีครอบครัวใหม่ทั้งหมด โครงสร้างอำนาจของครอบครัวเดิมจะถูกสลาย ความเป็นครอบครัวพ่อ-พ่อ แม่-แม่จะถูกทำให้กลืนกลาย
มัจฉา พรอินทร์ ลาว เลสเบี้ยน เฟมินิสต์ นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองและสิทธิผู้มีความหลากหลายทางเพศ เธอต่อสู้เรื่องการก่อตั้งครอบครัวเพศหลากหลายมาโดยตลอด
เราสัมผัสและรู้สึกไปกับมันว่านี่คือโลกใบใหม่ แต่นี่คือสิ่งเดิมที่ไม่เคยถูกมองเห็น
ครอบครัวแม่-แม่ ของเธอถูกค้นพบมากขึ้นจากการผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียม ปัญหาใหญ่ในครอบครัวที่คนต่างรู้เป็นอย่างดีอยู่แล้วหนีไม่พ้นเรื่องการก่อตั้งครอบครัวและไม่สามารถกู้ร่วมกันได้ แต่แน่นอนว่าไม่ได้มีเพียงเท่านั้น
ก่อนที่จะไปถึงเรื่องการใช้บริการสถาบันทางการเงิน มัจฉาเริ่มต้นเล่าให้ฟังว่า ทั้งชีวิตนี้เธอเผชิญหน้ากับความไม่เท่าเทียมอยู่หลายมิติด้วยกัน
หากเป็นเรื่องชาติพันธุ์ชนเผ่าพื้นเมือง เธอเผชิญกับการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเชื้อชาติ
หากเป็นเรื่องเพศ เธอเผชิญกับความเหลื่อมล้ำทางเพศและความเหลื่อมล้ำ อันมีรากฐานมาจากเพศสภาวะที่เป็นหญิง
และหากเป็นเรื่องความหลากหลายทางเพศ เธอเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า homophobia หรือการเกลียดชังคนที่มีความหลากหลายทางเพศ
เธอเป็นเจ้าของปัญหาทั้งหมดนี้อย่างไม่ยินดี…
ในยุคที่สงครามถูกยกให้เป็นงานทางการทูต เราคงคุ้นเคยกับคำว่า ‘อาณานิคม’ และทุกวันนี้หน้าตาของมันแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น กลุ่มชาติพันธุ์ชนเผ่าพื้นเมืองตกใต้รูปแบบที่เรียกกันว่า ‘อาณานิคมภายใน’ พวกเขาคือชนกลุ่มน้อย แต่ถ้าจะให้ถูกต้องควรเรียกว่า กลุ่มคนที่ถูกทำให้เป็นชนกลุ่มน้อย และผลกระทบจากสิ่งนี้คือการสูญเสียอำนาจที่จะปกครองตัวเอง
“แค่เป็นชนเผ่าพื้นเมืองก็มีอุปสรรคแล้ว แค่ภาษาที่เราพูดเราก็ไม่มั่นใจแล้ว เด็กชนเผ่าจำนวนมากที่อยู่ในระบบการศึกษามักจะถูกล้อเรียนเรื่องภาษา พูดไม่ชัด เป็นคนไทยหรือเปล่า เวลาเราทำให้เขาสูญเสียความเชื่อมั่นที่จะเปล่งเสียง มันไม่ใช่แค่เพราะเขาเป็นชนเผ่าพื้นเมืองอย่างเดียว มันไปซ้อนกับเพราะเขาเป็นผู้หญิงด้วย” มัจฉากล่าว
“อยู่ในบ้านเขาบอกว่าผู้หญิงไม่ควรพูด ไม่ควรเข้าประชุม เข้าประชุมก็เสนอความคิดเห็นอะไรก็ไม่มีใครฟัง ควรจะอยู่บ้านเลี้ยงลูก เพราะเหตุนี้ปัญหาของผู้หญิงจึงไม่เคยถูกพาไปแก้ไขด้วยเลย” เธอเล่าต่อถึงปัญหาความไม่เท่าเทียมทางเพศที่ทับซ้อนอยู่กับความเป็นชนเผ่าพื้นเมือง
ในสภาวะบริบทเดียวกันประสบการณ์ของผู้หญิงและผู้ชายไม่เหมือนกัน ภาวะของการต้องแบกรับความคาดหวังของสังคมไม่เหมือนกัน และสิ่งเหล่านี้เราปฏิเสธไม่เคยได้เลยว่าสังคมสนับสนุนผู้ชายมากกว่า
“กระทั่งเวลาเราเรียนจบออกมาแล้วพูดถึงเรื่องงาน มันก็ไม่เท่าเทียมกัน ผู้หญิงก็ได้ค่าแรงน้อยกว่า โอกาสในการก้าวไปสู่ระดับสูงๆ ก็น้อยกว่า ยิ่งเป็น LGBTQIA+ บางที่ถ้ารังเกียจเดียดฉันท์เราก็ทิ้งใบสมัครเราเลย เพราะฉะนั้นโอกาสในการจะเข้าถึงงานก็ไม่มีด้วยซ้ำ”
มัจฉาให้ข้อมูลว่า ต้องมีการแก้ไขเรื่องการเข้าถึงงานและค่าแรงที่เป็นธรรม ตอนนี้ถ้าหากมีใครต้องการที่จะลงทุนเปิดบริษัท หรือแม้กระทั่งเอาเงินไปสร้างรายได้เพิ่มเติม จะเห็นได้เลยว่าเงินที่มีไม่เพียงพอ ฉะนั้นจึงต้องมีการสนับสนุนโอกาส
มัจฉายกตัวอย่างเรื่องของ SMEs หรือทุนต่างๆ ซึ่งจะเห็นว่าผู้หญิงแทบเข้าไม่ถึงสิ่งเหล่านี้ เพราะฉะนั้น LGBTQIA+ ก็ไม่เคยจะเป็นแนวทางใหม่ที่สังคมหรือรัฐบาลจะมองเห็นเลย จึงต้องมีการแก้ไขในเรื่องพวกนี้ เรื่องของทรัพยากร เรื่องการลงทุนกับองค์ความรู้ให้กับผู้มีความหลากหลายทางเพศหรือผู้หญิง ให้มีความมั่นคง เข้าถึงโอกาสในการเลื่อนตำแหน่ง และสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากการเข้าถึงเงินทุน เข้าถึงเงินกู้ โดยไม่มีความเหลื่อมล้ำอันเป็นเหตุมาจากมิติทางเพศ หรือมิติความหลากหลายทางเพศ
“สิ่งเหล่านี้มันไกลพวกเรามาก เพราะว่าเราไม่มีสเตตเมนต์ เราไปกู้ธนาคารไม่ได้ อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย แม้จะมีบัตรเครดิตสักใบมันเป็นไปแทบไม่ได้เลยสำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในงานที่มีสถาบันรองรับ ฉะนั้นจึงต้อง improvement ในเรื่องเหล่านี้ ก็คือการเข้าถึงการจ้างงาน การคุ้มครองตามกฎหมาย และการส่งเสริมให้สามารถเข้าถึงเงินทุนหรือการกู้ต่างๆ เพื่อที่จะสร้างอนาคตและความมั่นคงของครอบครัว”
ในฐานะลาว เลสเบี้ยน เฟมินิสต์ ที่มีเครดิตพูดเรื่องราวปัญหาเหล่านี้ในระดับนานาชาติ มัจฉาเชื่อมโยงให้เห็นว่าปัญหาที่ทับถมกันอยู่หลายต่อหลายชั้นมันโยงใยกันอยู่
เธอทำโปรแกรม Economic Justice ต้องรณรงค์แก้ไขรากเหง้าของปัญหาทางเศรษฐกิจ ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับนโยบายทางการเงินและนโยบายเศรษฐกิจโดยตรง เธอจึงคาดหวังอย่างมากว่าทั้งรัฐและสถาบันทางการเงิน จะรับผิดชอบต่อความเท่าเทียมทางเพศ ที่ส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจเช่นเดียวกัน
2
ในนามผู้สะสมความมั่งคั่ง ที่ต้องทลายเพดานกระจก
อยู่ใต้เพดานกระจก
เสียงสะท้อนจากเจ้าของปัญหา ทั้งวาดดาวและมัจฉา ฉายภาพการถูกกดทับก่อนที่สถานการณ์จะพาเรามาอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่คลุ้งไปด้วยความน่ายินดีที่สังคมถูกยกระดับขึ้นมาได้ด้วยกฎหมายประวัติศาสตร์อย่างสมรสเท่าเทียม
แต่ในสังคมที่ผู้คนต้องยังขวนขวายทำงานเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แม้รูปการณ์จะฟังดูดีที่อย่างน้อยก็มีงานทำ แต่การไม่ได้มีสถานะว่างงานของผู้หญิงหรือผู้มีความหลากหลายทางเพศก็ไม่ได้ชื่นมื่นเท่าไรนัก อคติทางเพศและการถูกเลือกปฏิบัติยังคงทำงานกับพวกเขา เพียงแค่เปลี่ยนสภาพการณ์ไปเรื่อยๆ เท่านั้น
ฉะนั้นคำกล่าวของมัจฉาที่ว่า “โอกาสในการก้าวไปสู่ระดับสูงๆ ก็น้อย ยิ่งเป็น LGBTQIA+ บางที่ถ้ารังเกียจเดียดฉันเราก็ทิ้งใบสมัครเราเลย” จึงไม่ผิดแปลกเลยแม้แต่น้อย
หนึ่งในคำที่ถูกหยิบยกมาใช้อธิบายโอกาสที่ผู้หญิงและผู้มีความหลากหลายทางเพศถูกปิดกั้นและถูกกีดกันจากการทำงาน การเข้าสู่ตำแหน่ง การมีส่วนร่วม โดยเฉพาะในพื้นที่ทางการทั้งหลายได้อย่างชัดเจนที่สุดคือคำว่า ‘glass ceiling’ หรือ ‘เพดานกระจก’
เพดานกระจก ถูกเอ่ยขึ้นครั้งแรกในการกล่าวสุนทรพจน์ของ มาริลิน โลเดน (Marilyn Loden) ภายในงาน Women’s Exoposition ในนิวยอร์กเมื่อปี 1978 เธอถูกมอบหมายจากบริษัทที่เธอทำงานอยู่ขณะนั้นให้หาคำตอบว่า ‘ทำไมผู้หญิงจึงไม่เข้ารับตำแหน่งผู้บริหาร’ เธอรวบรวมข้อมูลจนมั่นใจว่าไม่ใช่ว่าผู้หญิงไม่อยากรับตำแหน่ง แต่พวกเธอรับไม่ได้ต่างหาก4
การตั้งต้นด้วยการบอกว่าผู้หญิงขาดคุณสมบัติ เป็นเรื่องง่ายในยุคก่อนหน้า แต่โลเดนต้องการทำลายความเชื่อนั้นจึงโต้แย้งด้วยการบอกว่า การที่ผู้หญิงไม่สามารถก้าวกระโดดไปสู่จุดที่มีอำนาจในการตัดสินใจ ไม่ใช่เพราะขาดคุณสมบัติหรือไร้ซึ่งความสามารถ ทุกสิ่งล้วนแล้วเกิดจากอคติและการถูกเลือกปฏิบัติทั้งสิ้น
The Washington post รายงานคำกล่าวของโลเดนในวันงานนิทรรศการสตรี 2018 ที่ว่า “ฉันหวังว่าถ้าคำว่าเพดานกระจกมันอยู่ได้นานกว่าฉัน มันจะกลายเป็นคำที่ล้าสมัย ผู้คนจะพูดว่า ‘เคยมีช่วงเวลาหนึ่งที่เรามีเพดานกระจก’”5
ทุกคนก็คงหวังเช่นนั้น…
ทว่าในการทำงานไม่ว่าวิชาชีพใด ต่อให้มีความสามารถ มีฝีมือมากเพียงใดก็แล้วแต่ ความเป็นหญิงจะทำให้ไม่ได้รับการยอมรับ ด้วยมายาคติ ด้วยความเชื่อ ด้วยมายเซ็ตของแต่ละคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีอำนาจตัดสินใจที่เป็นผู้ชาย สิ่งนี้เป็นเรื่องโครงสร้างอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างเพศที่มีมาตั้งแต่ในอดีต
เรายังคงดำรงอยู่ในสังคมที่ถูกครอบงำโดยเพดานกระจก แน่นอนว่าทุกวันนี้เพดานกระจกถูกท้าทาย แต่โดยสภาพยังคงหนาแน่น มันยังกดทับความเท่าเทียมทางเพศ บทบาทความเป็น ‘แม่’ ยังคงส่งผลต่อตำแหน่งหน้าที่และรายได้ ผู้หญิงและผู้มีความหลากหลายทางเพศยังต้องขวนขวายหาพื้นที่เพื่อวางตัวตนอย่างมั่นคง
“ผู้หญิงน่ะต่อให้เรามีความสามารถหรือเก่งขนาดไหน แต่มันมีความเชื่อที่ว่าพอผู้หญิงอยู่ในสถานะ ‘แม่’ หรือ ‘เมีย’ มีครอบครัว ก็จะมีภาระที่ต้องดูแล เพราะฉะนั้นเวลาที่คุณมาทำงานคุณก็จะมีข้อจำกัดในเรื่องเวลาและความรับผิดชอบ”
นัยนา สุภาพึ่ง ที่ปรึกษามูลนิธิเพื่อสิทธิและความเป็นธรรมทางเพศ (for-sogi) บอกเล่าถึงปัญหาเรื่องเพดานกระจกที่แม้ว่าจะกร่อนไปบ้าง แต่ยังคงสภาพแข็งแรงอยู่ในปัจจุบัน
ด้วยความเป็นเฟมินิสต์อย่างเข้มข้นของนัยนาที่ผลักดันประเด็นสิทธิสตรีและสิทธิผู้มีความหลากหลายทางเพศมาอย่างยาวนาน ทำให้มองเห็นข้อจำกัดในการมีพื้นที่ของผู้หญิงและ LGBTQIA+ อย่างชัดเจน
‘แม่’ สถานะหนึ่งเดียวของผู้หญิงที่พอจะใช้เป็นอำนาจต่อรองอะไรต่อมิอะไรได้ แต่แม่ที่อาศัยอยู่ภายใต้เพดานกระจกยังคงต้องสวมบทบาทที่สังคมบอกว่าเป็นหน้าที่ ซึ่งนัยนากล่าวว่า ภาระจากการที่ต้องดูแลครอบครัวมันส่งผลต่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงานอย่างไม่ต้องสงสัย
ใจความสำคัญเรายังคงใช้สิ่งนี้เพื่อกล่าวถึงอุปสรรคความก้าวหน้าทางอาชีพของผู้หญิง แต่สำหรับนัยนาแล้วคำนี้คือชื่อเล่นของการเรียกขานความซับซ้อนที่ทับถมกันหลายเลเยอร์ ทั้งผู้หญิงและผู้มีความหลากหลายทางเพศ รวมถึงชนกลุ่มน้อยที่ต่างยังคงต้องเผชิญหน้ากับความไร้ซึ่งอำนาจ
ขณะเดียวกันการเกิดขึ้นของสมรสเท่าเทียมจะทำให้ผู้คน รวมถึงสถาบันหลักในประเทศ ให้ความสำคัญกับสิทธิความเท่าเทียมทางเพศมากขึ้นไปอีก ซึ่งวาดดาวกล่าวว่า สถานการณ์พอจะมีหวังว่าปัญหาที่ยังค้างเติ่งอยู่จะค่อยๆ ถูกยอมรับและถูกแก้ไขในที่สุด
การกล่าวถึงสัดส่วนโควตาสำหรับผู้หญิงหรือผู้มีความหลากหลายทางเพศ และการสนับสนุนพื้นที่ทางการเงิน จึงเป็นเครื่องมือที่สากลพยายามจะหยิบมาใช้ทลายม่านหมอกเรื่องเพศ กระทุ้งเพดานกระจกให้กร่อนลงไปบ้าง
โดยเฉพาะในภาคการธนาคาร การเพิ่มพื้นที่ทางการเงิน รวมไปถึงการเปิดโอกาสให้กับผู้หญิงและผู้มีความหลากหลายทางเพศในองค์กร นัยนาระบุว่า นอกจากเรื่องภาพลักษณ์แล้วยังนำมาซึ่งการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วย
ในหนังสือ Five years-Ten guides ของ Fair Finance Guide International (แนวปฏิบัติของแนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมนานาชาติ) ระบุว่า ผู้หญิงมากกว่าพันล้านคนไม่สามารถเข้าถึงระบบทางการเงินได้ ทำให้ผู้หญิงประสบปัญหาในการเก็บออม เสี่ยงต่อการถูกกีดกันทางเศรษฐกิจและสังคมมากขึ้น
ยังมีความไม่เท่าเทียมกันเด่นชัดอย่างมากในด้านการก้าวไปสู่ตำแหน่งผู้นำหรือผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจ ไม่เกินจริงที่สิ่งนี้จะลุกลามไปถึงการละเมิดสิทธิในการเข้าถึงบริการสาธารณะอย่างเท่าเทียมกัน สิทธิในการได้รับความเสมอภาค การไม่ถูกเลือกปฏิบัติ Fair Finance Guide International จึงมีคำแนะนำว่าสถาบันที่สนับสนุนเงินทุนแก่บริษัทต่างๆ จึงต้องรับผิดชอบต่อความไม่เท่าเทียมทางเพศที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ6
“กว่าเราจะทำให้เห็นว่าในโลกของนักกฎหมายที่ไม่มีผู้หญิงคุณพลาดอะไรไปหากไม่มีความละเอียดอ่อนในเรื่องเพศ เราไปศึกษาคำพิพากษาศาลฎีกาย้อนหลัง 50 ปี คือมันต้องทำงานกันขนาดนี้เพื่อให้เขาเห็นว่าทำไมกฎหมายจึงต้องแก้ไข คำพิพากษาศาลฎีกาแบบนี้ใช้ไม่ได้คุณต้องรื้อทิ้ง ต้องไปศึกษาย้อนหลังเป็น 50 ปี 100 ปี ที่ผู้ชายทำไว้ เพื่อมากางดูกัน”
นัยนากล่าวถึงประสบการณ์ส่วนตัวก่อนจะระบุต่อ เธอมองว่าการให้ความสำคัญกับสัดส่วนสำหรับผู้หญิงหรือผู้มีความหลากหลายทางเพศ และการสนับสนุนให้มีการเข้าถึงเงินทุน คือสองสิ่งที่เหล่าสถาบันทางการเงินจะสามารถสร้างความเป็นธรรมทางเพศให้สมบูรณ์ขึ้นในสังคมได้
เพิ่มพื้นที่ทางการเงิน ปลดล็อกความเท่าเทียม
เนื่องจากสถาบันทางการเงินเป็นสถาบันหลักของประเทศเช่นกัน เราจึงจำเป็นต้องพูดถึงโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อว่ามีความเท่าเทียมกันหรือไม่ ซึ่งสิ่งนี้เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่เจ้าของปัญหาต่างสะท้อนออกมาอย่างไม่ต่างกัน
“เวลาที่ผู้หญิงจะเป็นเจ้าของกิจการก็ต้องมีภาระรับผิดชอบเยอะ เพราะฉะนั้นธนาคารต้องให้ความสำคัญกับข้อมูลในเชิงภูมิหลังเขาด้วย ควรจะให้โอกาสคนที่เขามีภาระแบบนี้เพิ่มมากขึ้น และมีเงื่อนไขกับเขาลดลง นี่คือสิ่งที่เราคิดว่าสถาบันทางการเงินควรจะต้องคำนึงถึงภาระรับผิดชอบเหล่านี้ด้วย ถึงจะเรียกว่ามี gender sensitivity หรือความละเอียดอ่อนทางเพศภาวะจริงๆ” นัยนาให้ความเห็น
เมื่อสถาบันทางการเงินเกี่ยวโยงอยู่กับสภาวะไร้อำนาจของผู้หญิงและผู้มีความหลากหลายทางเพศ มีบางธนาคารที่โอบรับและพยายามเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเท่าเทียม ส่งเสริมโอกาสทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมให้เข้าถึงเงินทุน
แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย (Fair Finance Thailand) หรือ FFT จัดทำการประเมินนโยบายด้านต่างๆ ของสถาบันการเงินไทย 11 แห่ง และเป็นปีที่ 7 ที่นำมาตรฐาน Fair Finance Guide International มาใช้ในประเทศไทย
ในด้านความเท่าเทียมทางเพศ แม้ว่าธนาคารกรุงศรีอยุธยาจะได้คะแนนเป็นอันดับ 6 จาก 10 อันดับ แต่เป็นธนาคารเพียงแห่งเดียวที่ได้รับคะแนนจากการเปิดเผยสัดส่วนการสนับสนุนทางการเงินแก่ธุรกิจที่มีผู้หญิงเป็นเจ้าของ เทียบกับการสนับสนุนทางการเงินแก่ MSMEs จากผลิตภัณฑ์ ‘Krungsri Women SME Bond’
โดยในปี 2562 เป็นธนาคารแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ออกผลิตภัณฑ์ ‘Gender Bonds’ เพื่อสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่นำโดยผู้หญิงในประเทศไทย โดยเสนอขายพันธบัตรให้กับ International Finance Corporation (IFC) ซึ่งเป็นสมาชิกของ World Bank Group
ทางธนาคารกรุงศรีอยุธยาระบุวัตถุประสงค์ไว้ในเอกสารแนะนำพันธบัตร ว่านี่คือการสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ประกอบการหญิงที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพิ่มการจ้างงานของประเทศ และส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนในประเทศไทยและเอเชีย7
นอกจากนี้จากการประเมินนโยบายด้านต่างๆ ของสถาบันการเงินไทย ที่จัดทำโดย FFT ยังพบว่าธนาคารทหารไทยธนชาติ หรือ TTB มีนโยบายที่โดดเด่นเมื่อเทียบกับธนาคารอื่น คือ TTB มีนโยบายสินเชื่อบ้านสำหรับคู่รัก LGBTQIA+ ที่ต้องการกู้ซื้อที่อยู่อาศัยร่วมกันด้วย
การสนับสนุนการเข้าถึงสินเชื่อแก่ผู้หญิงและ LGBTQIA+ ของทั้งธนาคารกรุงศรีและ TTB ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สามารถเป็นก้าวสำคัญในการทลายเพดานกระจกในมิติทางเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี
ทำตามความเชื่อ เพื่อแก้ปัญหาเรื่องเพศ
วาดดาวมีมุมมองที่สอดคล้องกับนัยนาอย่างมาก ในเรื่องการให้ความสำคัญกับสัดส่วนสำหรับผู้หญิงหรือผู้มีความหลากหลายทางเพศในภาคการเงินการธนาคาร
“เราเชื่อเรื่อง gender quota มากๆ มันจะทำให้สังคมที่เราอยู่เริ่มเขยิบได้”
วาดดาวกล่าวขึ้นเมื่อบทสนทนาพาเราคุยกันทอดยาวไปถึงเรื่องแนวคิดการทำพรรคสามัญชน ซึ่งเธอเชื่อว่าแนวคิดนี้จะสามารถทำผ่านกลไกของธนาคารได้เช่นกัน
เดิมที gender quota หรือโควตาเพศ เป็นเครื่องมือทางนโยบายที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มพื้นที่ทางการเมืองให้กับผู้หญิง เพื่อสร้างสมดุลทางเพศในสถาบันทางการเมือง8
วาดดาวให้ข้อมูลต่อว่า ในปัจจุบันมีการนำหลักการดังกล่าวมาใช้ในภาคธุรกิจ ซึ่งจะเห็นมากในยุโรป
ในฐานะผู้ที่ข้องแวะกับหลายแวดวงและมองเห็นในสิ่งที่ไม่ต่างกัน เธอเล่าว่าสังคมเรายังไม่ได้ยอมรับเรื่องโควตาเพศมากนัก เพราะสังคมไทยยังให้สิทธิพิเศษกับผู้ชายในฐานะผู้นำ หนำซ้ำยังหลอกกันเองว่า ‘ถ้าคนเท่าเทียมกันแล้วทำไมต้องมี gender quota’
ความจริงแล้วพัฒนาการของเพศที่อนุญาตให้เพศชายเป็นผู้นำเราทำมาหลายร้อยปี พัฒนาการของผู้หญิงที่มีโอกาสพูดก็จะไม่กล้าพูดเท่าผู้ชาย สัดส่วนในการตัดสินใจก็มีน้อยกว่า พื้นที่สาธารณะก็มีน้อยกว่า
“ในเมื่อคุณบอกว่าคนเท่ากัน แต่ทำไมถึงหาแคนดิเดตไม่ได้ ก็เพราะว่าสังคมมันติดบัคไง สังคมมันมีเงื่อนไขที่ผิดปกติ ยังมีเพดานกระจกอยู่ แต่เราหลับตาไม่ยอมมองว่าสังคมผิดปกติ” วาดดาวกล่าว
สถาบันทางการเงินและบริษัทต่างๆ มีอิทธิพลที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนในวงกว้าง แน่นอนว่าเรื่องความเท่าเทียมทางเพศเป็นหนึ่งในนั้น สถาบันทางการเงินมีผลกระทบมหาศาลต่อชีวิตของผู้คนที่ตกใต้สภาวะไร้อำนาจเพราะถูกกดทับด้วยมิติทางเพศ และในฐานะที่สะสมความมั่งคั่งจากผู้คน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกนักหากต้องมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบเรื่องราวเหล่านี้
การประเมินธนาคารในหมวดนโยบายด้านความเท่าเทียมทางเพศ พบว่าธนาคารไทยทำได้ดีในส่วนของการมีนโยบายไม่ยอมรับการเลือกปฏิบัติทางเพศและความรุนแรงทางเพศทุกรูปแบบ (zero-tolerance policy) แต่ในด้านของการรับประกันการมีส่วนร่วมของผู้หญิงในคณะกรรมการบริษัท และมาตรการส่งเสริมให้ผู้หญิงได้เข้าสู่ตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงมีน้อยธนาคารที่จะทำได้
ธนาคารทหารไทยธนชาต หรือ TTB ซึ่งเป็นธนาคารที่ได้อันดับ 1 หมวดความเท่าเทียมทางเพศในปี 2024 นี้ โดยในปีก่อนหน้าธนาคาร TTB ได้คะแนนจากการให้สัดส่วนคณะกรรมการและคณะกรรมการบริหารที่เป็นผู้หญิง แต่ในปีปัจจุบันพบว่ามีสัดส่วนต่ำกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ จึงทำให้ไม่ได้คะแนนในส่วนนี้ไป
ในขณะที่ธนาคารออมสิน เป็นธนาคารเพียงแห่งเดียวที่มีสัดส่วนผู้หญิงในตำแหน่งกรรมการ และผู้บริหารระดับสูงที่สัดส่วนร้อยละ 40 และคณะกรรมการบริหารที่สัดส่วนร้อยละ 309
สำหรับธนาคารที่สนับสนุนศักยภาพของผู้หญิงและ LGBTQIA+ ให้มีบทบาทในการดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงว่า อย่างไรก็แล้วแต่การเปิดโอกาสแบบนี้จะทำให้ทุกคนได้รับโอกาสในการคัดเลือกเท่ากัน และถือว่าองค์กรเองก็ไม่ปิดโอกาสตัวเองในการที่จะได้เจอคนดีมีศักยภาพ
นี่อาจเป็นหนึ่งในอีกหลายร้อยเหตุผลว่า เหตุใดโลกจึงต้องมีการบัญญัติคำว่า ‘เสมอภาค’ ‘เท่าเทียม’ ‘เป็นธรรม’ 3 คำนี้ไม่ได้มีประโยชน์แค่กับคนที่อำนาจน้อยเท่านั้น คนที่มีอำนาจมากก็ได้ประโยชน์เช่นกัน เพราะหากไม่ยึดหลักการนี้ คงยากที่จะค้นพบแนวทางที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุด และได้บริหารงานอย่างยืนยาว มั่นคง
อย่างไรก็ตาม แม้การใช้โควตาเพศจะเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการสร้างความเท่าเทียมในภาคธุรกิจ เป็นหนทางแก้ปัญหาการมีส่วนร่วมของผู้หญิงและผู้มีความหลากหลายทางเพศ แต่เพื่อให้สังคมรุดหน้าไปอีกขั้น เราจำเป็นต้องพูดเรื่องความยุติธรรมทางเพศ (gender justice) ซึ่งมัจฉาเรียกร้องสิ่งนี้
เธอยกตัวอย่างว่า เวลาที่เราเห็นเวทีสาธารณะ เช่น เวทีที่พูดเรื่องสิ่งแวดล้อมจะมีผู้หญิงน้อยมาก ในขณะที่ทางปฏิบัติผู้หญิงเป็นผู้ได้รับผลกระทบมากที่สุด
ทุกครั้งหลังจากภัยพิบัติทุเลาลง ปัญหาไม่ได้หายวับไปตามกัน เศษซากปรักหักพังของความรุนแรงและความเสียหายยังคงอยู่ ช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจถ่างกว้างขึ้น ปัญหาใหม่ๆ ก่อตัวจากปัญหาเก่าที่รัฐเพิกเฉย ตอกย้ำให้ความเหลื่อมล้ำยังคงปรากฏ ผู้หญิงได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะต้องแบกรับงาน care work (งานดูแลและบริการที่ไม่ได้รับค่าจ้าง) ที่มากขึ้น จากเดิมที่มีภาระมากมายอยู่แล้ว ดูแลทุกอย่างในบ้าน ทุกคนในบ้าน ล้วนเป็นภาระรับผิดชอบอันหนักอึ้งที่ต้องแบกเอาไว้
นี่คือข้อเท็จจริงจากการทำงานร่วมกันกับชนเผ่าพื้นเมืองกว่า 20 ปีของมัจฉา
แม้กระทั่งเวลาที่ออกกฎหมาย นโยบาย โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกี่ยวกับมิติทางเพศ ความหลากหลายทางเพศ น้อยมากที่จะมีเจ้าของปัญหานั่งอยู่ที่นั่น นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเธอต้องเดือดร้อนกับสิ่งนี้ และเรียกร้องให้เกิด gender justice หรือความยุติธรรมทางเพศ
“ผู้หญิงเป็นประชากรมากกว่าครึ่ง ถ้ารวมกับ LGBTQIA+ เผลอๆ เราคือ 70 เปอร์เซ็นต์ แต่ทำไมในทางการเมืองเรามีนักการเมืองหลากหลายทางเพศไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ มีนักการเมืองหญิงไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ รวมกันแล้วไม่ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นเราเลยเรียกร้อง gender justice จำนวนจะต้องเกินครึ่ง เพราะประชากรและปัญหามันใหญ่โตเกินกว่าจะมาให้โควตามาก”
เธอเน้นย้ำว่า ถ้าหากเราอยากขับเคลื่อนไปข้างหน้า มันไม่ใช่แค่สัดส่วนทางเพศต้องเป็นธรรมต่อผู้หญิงหรือคนหลากหลายทางเพศ มันต้องมากกว่าด้วยซ้ำไปเพื่อที่จะพาสังคมเราไปทัดเทียมกับสังคมอื่นๆ
เช่นเดียวกัน ในตอนท้ายของการสนทนากับวาดดาว หลังจากที่พูดถึงบทบาทของธนาคารกับความเท่าเทียมและความหลากหลายทางเพศ ในฐานะที่นั่งเป็นคู่สนทนากับเธอ สังเกตไม่ยากว่าเธอเครื่องติดขนาดไหน
“เมื่อพวกเราเป็นส่วนหนึ่งในความมั่งคั่งของพวกคุณแล้ว คุณต้องช่วยทลายความเป็น phobia ของสังคม นี่แหละคือการเปลี่ยนแปลงสังคม แล้วนี่ก็คือความเป็นธรรมที่เราใช้อีกกลไกหนึ่ง ซึ่งคือกลไกของภาคการเงินการธนาคารมาสร้างความเปลี่ยนแปลง สร้างความเป็นธรรมทางเพศ และความเป็นธรรมทางสังคม”
วาดดาวกล่าวในสิ่งที่เธอเชื่อมั่นอย่างมาก พร้อมกับทิ้งท้ายว่า การเกิดขึ้นของกฎหมายสมรสเท่าเทียมเป็นโอกาสอันดีที่ธนาคารจะทำความเข้าใจข้อตกลงใหม่ครั้งนี้ พร้อมกับเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนโอกาสให้เกิดความเท่าเทียมทางเพศมากยิ่งขึ้น
เชิงอรรถ
- https://williamsinstitute.law.ucla.edu/wp-content/uploads/Economic-Impact-SS-Marriage-May-2020.pdf ↩︎
- https://www.thenewdaily.com.au/news/national/2019/11/27/same-sex-marriages-australia ↩︎
- https://www.ibisworld.com/au/industry/bridal-stores/4002/ ↩︎
- https://www.bbc.com/news/world-42026266 ↩︎
- https://www.washingtonpost.com/news/retropolis/wp/2018/03/01/she-coined-the-phrase-glass-ceiling-she-didnt-expect-it-to-outlive-her/ ↩︎
- https://www.fairfin.be/sites/default/files/2020-09/Fair%20Finance%20Guide%20International%20-%20Small%208%20MB.pdf ↩︎
- https://www.krungsri.com/Krungsri2020/media/IR/gender-bond/Krungsri-Women-SME-Bond_Impact-Report-2023.pdf ↩︎
- https://www.idea.int/data-tools/data/gender-quotas-database/quotas ↩︎
- https://fairfinancethailand.org/bank-guide/topic/gender-equality/ ↩︎