Gravity คงจะมีอะไรสักอย่างบนโลกนั้น

1

                                                                                                                                                                                                                             เรื่อง: ณัฐกานต์ อมาตยกุล

 

“ออกซิเจนของฉันกำลังจะหมด” ไรอันก้มลงมองตัวเลขเปอร์เซ็นต์หลักหน่วยตรงแผงติดชุดนักบินอวกาศ
“ออกซิเจนเหลือแค่ 6%” เธอคอยรายงานความวิกฤตของชีวิตให้แมทฟัง ระหว่างที่ทั้งคู่ล่องลอยพาตัวเองไปสู่ดาวเทียมของรัสเซีย

หากอยู่บนโลก พวกเขาคงจะรีบจ้ำอ้าวด้วยสองฝีเท้าและกล้ามเนื้อน่องปูดโปนแบบเรื่องอินไทม์ เพื่อหนีจากความตายที่ไล่หลังมาแบบหายใจรดต้นคอ
แต่ในสภาพไร้แรงโน้มถ่วง แมทและไรอันทำได้เพียงปล่อยให้แรงเฉื่อยที่ยังพอมีอยู่นำพาพวกเขาผ่านห้วงอวกาศเงียบเหงานั้นไป

“ออกซิเจนของฉันกำลังจะหมด” ราวกับหมกมุ่นในชีวิตแสนสั้นที่เหลืออยู่ เสียงของไรอันเริ่มไร้ความหมาย “มันเหลืออีก 1%”
สีหน้ากระวนกระวายใจกว่าเด็กวัยรุ่นที่หาเต้าเสียบสายชาร์จไม่เจอหลายเท่า

 

gravity-movie-8

 

“ข้างบนนี้สวยเนอะ” แมทบอกว่าเขาชอบที่สุดตอนพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า ไล้แสงสีทองเรื่อเรืองบนขอบโลก

เขาเปิดเพลงฟัง ระหว่างการเดินทางแช่มช้า
คนเมืองกรุงอย่างเราเดินทางไกล700 กิโลเมตรเพื่อชื่นชมดาวประดับทั่วฟ้า และบอกตัวเองว่าเท่านี้ก็ตายตาหลับแล้ว

กระนั้น ความตายในอวกาศของแมทและไรอัน ณ ที่ที่มีดวงดาวเป็นฉากหลังรอบทิศทาง

หากเกิดขึ้นระหว่างที่ทั้งคู่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว คงจะเป็นความงามที่แสนเงียบงัน เป็นความเหงาที่คูณสิบยกกำลังเก้า ท่ามกลางหมู่ดาวที่มีเพียงสารอนินทรีย์

สภาพไร้แรงดึงดูดรอบข้าง ไม่มีแม้แต่พื้นให้แผ่นหลังได้สัมผัสเมื่อใกล้สิ้นลม

ดวงตามองทะลุกรอบหน้าของชุดนักบินอวกาศแน่นหนา จ้องมองโลกที่จะไม่มีใครสักคนรับรู้วิญญาณที่กำลังจะจากร่างนี้ไป

เสียงหายใจหอบ และการกระตุกเต้นของชีพจร คือสองเสียงที่ประสานเป็นเพลงงานศพ ที่มีเพียงเจ้าตัวที่ได้ยืนไว้อาลัย

แมทเป็นคนมีเสน่ห์ ไม่ใช่เพราะเขาหล่อและมีรอยยิ้มเจ้าชู้ไก่แจ้

เขาคือคนที่รับรู้วิกฤติการณ์ที่อยู่ตรงนั้น คอยคิดหาทางแก้ปัญหาอย่างใจเย็น
แต่ก็ยังมองเห็นความสวยงามอื่นที่มีให้ชื่นชมระหว่างห้วงเวลาวิบัติ

เขารู้ว่าออกซิเจนของไรอันกำลังลดลงอย่างรวดเร็ว ทว่าถังเก็บออกซิเจนเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถจัดการกับมันได้ ในเมื่อปริมาณมันเป็นตัวเลขที่จำกัด

“คุณหายใจให้ช้าหน่อย ใช้พลังงานให้น้อยลงหน่อย”
เขาพูดถึงสิ่งที่ทำได้และควรทำ เพื่อต่อเวลาชีวิตไปอีกนิด

ก่อนเปิดเพลง แล้วมองไปยังขอบฟ้าด้วยรอยยิ้ม

เขาพร้อมจะตายอยู่เสมอเมื่อถึงเวลา

 

gravity-end

ไรอัน แพทย์หญิงที่ขึ้นมาฝึกปฏิบัติงานกับนาซา เธอคิดถึงลูกน้อยวัยสี่ขวบที่จากไป ทิ้งไว้เพียงชีวิตที่ไร้ความหมายให้เธอประคองจนกว่าจะสิ้นลมนับแต่นั้น

อดีตแสนบัดซบถูกใช้เป็นเหตุผลให้เธอทำใจกับการตายได้ เหมือนคนที่กระทำอัตนิวิบากกรรมจากตึกสูงราวกับเป็นวีรกรรมห้าวหาญ รอยแผลที่สะกิดซ้ำจนเน่าหนอน ทำให้ความตายประเสริฐกว่าการมีลมหายใจ

แต่สำหรับแมท นั่นเป็นความคิดที่โง่เขลาไม่เอาไหน ในเมื่อยังมีสิ่งที่พอทำได้เพื่อชีวิตที่ดีกว่า ทำไมคนเราจึงปฏิเสธที่จะลงมือทำมัน ด้วยข้ออ้างความพ่ายแพ้ที่ผ่านพ้นมา

เคว้งคว้างไร้พลังงานผลักดัน ร่างกายลอยเอื่อย รอให้ออกซิเจนหมดไปเองหรือไม่ก็ให้ขยะอวกาศสักชิ้นลอยมาชนจนร่างแหลก ระหว่างที่ความคิดได้จากไปอยู่กับกาแล็กซีอื่นไปนานแล้ว

“พอกันทีชีวิตไร้จุดหมาย!” ไรอันตะโกนในอวกาศที่ไม่มีมนุษย์สักคนจะได้ยินมัน

แต่ตัวเธอเองเป็นพยานให้กับปณิธานสดใหม่ที่เพิ่งจุดไฟขึ้น เธอหมุนติ้วกลางอวกาศ แต่สติคอยบอกองศาตรงหน้าเสมอ

เธอฉีดพ่นถังดับเพลิงตามจังหวะเมื่อหันหน้าไปยังทิศทางที่เหมาะสม อาศัยแรงดันกลับ พาร่างกายของเธอไปยังจุดหมาย เธอไม่ใช่ไรอันคนเดิมที่เอาแต่โวยวายทุกสองนาที ว่าออกซิเจนกำลังจะหมด

แล้วเธอก็เข้าใจ ไม่ว่าจะตายหรืออยู่
เธอได้เลือกที่จะผ่านพ้นห้วงขณะนั้นอย่างเต็มเปี่ยม ไม่ปล่อยเวลาเปลืองเปล่า

ในอวกาศ- ณ ที่ที่นิยามของเวลาคือสิ่งที่ดำรงอยู่เสมอ ไม่ได้ไหลเลื่อนจากไป

Author

WAY

Author

กองบรรณาธิการ
ทีมงานหลากวัยหลายรุ่น แต่ร่วมโต๊ะความคิด แลกเปลี่ยนบทสนทนา แชร์ความคิด นวดให้แน่น คนให้เข้ม เขย่าให้ตกผลึก ผลิตเนื้อหาออกมาในนามกองบรรณาธิการ WAY

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า