เนื่องใน #วันแห่งการรำลึกถึงผู้ถูกบังคับสูญหายสากล 30 สิงหาคม ครอบครัวของผู้ถูกบังคับให้สูญหายร่วมกับมูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพ องค์กร Protection International และมูลนิธิ Forum Asia จัดงานแถลงข่าว ‘Faces of the Victims: A Long Way to Justice ใบหน้าของเหยื่อ: เส้นทางที่ยาวไกลสู่ความยุติธรรม’ เพื่อทวงถามความคืบหน้าและยื่นข้อเรียกร้องต่อการแก้ปัญหาคนหายของรัฐไทย หลังมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 เป็นเวลาปีกว่า แต่กลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ
ในการแถลงข่าวประกอบด้วยครอบครัวเหยื่อเข้าร่วมงาน อาทิ อังคณา นีละไพจิตร ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน อดีตสมาชิกคณะทำงานสหประชาชาติว่าด้วยการสูญหายโดยถูกบังคับ (WGEID) วุฒิสมาชิก และภรรยาของทนายสมชาย นีละไพจิตร ซุย เม็ง (Shui Meng) ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและภรรยาของสมบัด สมพอน ผู้นำภาคประชาสังคมลาวที่ถูกบังคับสูญหายในปี 2012 พิณนภา พฤกษาพรรณ (มึนอ) ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนสตรี และภรรยาของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนชาวกะเหรี่ยง ‘บิลลี่’ พอละจี รักจงเจริญ และ สีละ จะแฮ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนชนเผ่าลาหู่ รวมถึงญาติของเหยื่อจากการบังคับสูญหายชาติพันธุ์ลาหู่
คดี ‘บิลลี่’ ต้องสอบสวนหาความจริง โดยไม่มีเงื่อนไขเวลา
แม้จะผ่านมาปีกว่าแล้วหลังจากที่มีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย บิลลี่ก็ยังคงไม่ได้รับความเป็นธรรม ภายหลังที่มีการประกาศใช้ พ.ร.บ. นี้ มึนอได้เข้าประชุมร่วมกับหน่วยงานรัฐแห่งหนึ่งและได้สอบถามว่าคดีของบิลลี่สามารถใช้ พ.ร.บ. นี้มาสืบสวนหาผู้กระทำความผิดได้ด้วยหรือไม่ แต่เจ้าหน้าที่ตอบว่าไม่ได้ เพราะคดีของบิลลี่เกิดก่อนที่จะมี พ.ร.บ. ฉบับนี้ หากจะให้คดีของบิลลี่เข้าสู่การสอบสวนตาม พ.ร.บ. ฉบับนี้ จะต้องมีหลักฐานใหม่ขึ้นมาพิสูจน์
ที่ผ่านมาครอบครัวก็ได้ดำเนินการทุกสิ่งทุกอย่างไปหมดแล้ว มึนอกล่าวว่า “ไม่รู้จะหาหลักฐานใหม่อะไรมาให้เจ้าหน้าที่อีก” ทั้งที่ในความเป็นจริงบิลลี่ยังเป็นบุคคลสูญหายและคดียังอยู่ในชั้นพิจารณาของศาลอุทธรณ์อยู่ คดียังไม่สิ้นสุด พ.ร.บ. ฉบับนี้จึงควรที่จะทำหน้าที่ให้กับครอบครัวของผู้ที่ถูกบังคับให้สูญหายโดยไม่มีเงื่อนไขของเวลาเข้ามาเป็นข้อจำกัดให้ครอบครัวเข้าถึงความยุติธรรม
นักปกป้องสิทธิชาติพันธุ์ลาหู่ เปิดข้อมูล 20 ครอบครัวถูกอุ้มหายยังไม่ได้รับความเป็นธรรม
สีละ กล่าวว่า พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายฉบับนี้ ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย โดยมีหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทรมาน การทำให้บุคคลสูญหาย รวมทั้งรับและติดตามตรวจสอบข้อร้องเรียนต่างๆ ด้วย แต่ตนยังไม่เคยเห็นคณะกรรมการชุดนี้มาลงพื้นที่หรือเข้ามาสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับครอบครัวผู้สูญหายหรือติดตามแก้ไขปัญหาเลยแม้แต่ครั้งเดียว จึงอยากเรียกร้องให้คณะกรรมการชุดนี้ทำงานเชิงรุกลงพื้นที่สอบสวนข้อเท็จจริงให้ความเป็นธรรมกับครอบครัวอย่างเป็นรูปธรรม
สีละยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกด้วยว่า ในอดีตที่ผ่านมามีพี่น้องชาติพันธุ์ลาหู่ถูกอุ้มหายและถูกซ้อมทรมานเป็นจำนวนมาก และที่สีละเรียกร้องความเป็นธรรมมาโดยตลอดคือกรณีของพี่น้องชาติพันธุ์ลาหู่ไม่ต่ำกว่า 20 คนที่ถูกทำให้สูญหาย และมากว่า 50 คนที่ถูกซ้อมทรมานโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งหนึ่งในนั้นมี จะฟะ จะแฮ หลานชายของตนเองที่มีอายุเพียงแค่ 14 ปี ด้วย
“ผมเรียกร้องเรื่องนี้มาตลอดตั้งแต่ยังไม่มีการประกาศใช้ พ.ร.บ. ฉบับนี้ ถึงรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผมเคยทำหนังสือร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ซึ่ง กสม. ได้มีหนังสือส่งต่อไปที่รัฐสภา และรัฐสภาได้มีหนังสือไปถึงกระทรวงกลาโหม กองทัพบก ให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงและเยียวยาเหยื่อ แต่ก็ยังไม่มีอะไรที่เป็นรูปธรรม ผมมีความหวังว่าหลังมีการประกาศใช้ พ.ร.บ. ฉบับนี้พี่น้องชาติพันธุ์ลาหู่ที่ถูกบังคับให้สูญหายจะได้รับความเป็นธรรมแต่ก็ยังไม่เกิดอะไรขึ้น จึงอยากเรียกร้องให้คณะกรรมการตาม พ.ร.บ. ฉบับนี้ทำความจริงให้ปรากฏด้วย” นักปกป้องสิทธิมนุษยชนชนเผ่าลาหู่ และญาติของเหยื่อจากการบังคับสูญหายชาติพันธุ์ลาหู่กล่าว
ซุย เม็ง ภรรยา ‘สมบัด สมพอน’ ยังไม่ยอมแพ้ในการหาความจริงต่อ
ซุย เม็ง กล่าวว่า ผ่านมาแล้วกว่า 10 ปีที่สมบัดถูกบังคับให้สูญหายที่หน้าป้อมตำรวจที่เวียงจันทน์ โดยไม่มีข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสมบัดเลย ความหวังที่จะได้พบเขาอีกครั้งยิ่งห่างไกลออกไป และความกลัวที่จะไม่มีวันได้รู้ความจริงและความยุติธรรมเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม ในฐานะภรรยาและเหยื่อ เธอยืนยันว่าจะไม่ยอมแพ้ต่อความสิ้นหวัง ไม่ว่าสถานการณ์จะดูสิ้นหวังเพียงใด จะต้องค้นหาความจริงต่อไปจนถึงลมหายใจสุดท้าย Shui Meng ระบุว่าตัวเองเป็นหนี้ความยุติธรรมให้กับสมบัด และเหยื่อคนอื่นๆ ของการบังคับให้สูญหาย อาชญากรรมและความอยุติธรรมเช่นนี้ต้องยุติลง
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฉันไม่ได้มองตัวเองเป็นเพียงเหยื่อของการบังคับให้สูญหายเท่านั้น ใช่ ฉันเป็นเหยื่อและยังคงเผชิญกับความสูญเสียและความไม่แน่นอนเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับสมบัด แต่ฉันได้เรียนรู้ว่าการทนทุกข์อย่างเงียบๆ ไม่ใช่ทางเลือก ฉันต้องบอกเล่าเรื่องราวของสมบัดให้โลกได้รับรู้ และต้องพูดออกมาต่ออาชญากรรมและความอยุติธรรมของการบังคับให้สูญหาย การรักษาความเงียบจะไม่ช่วยหยุดการบังคับให้สูญหาย แต่มันจะทำให้ผู้กระทำผิดกล้าทำอาชญากรรมเหล่านี้ต่อไป”
20 ปี ‘สมชาย นีละไพจิตร’ สูญหายในรัฐบาลทักษิณ และไม่มีความคืบหน้า
อังคณา ชี้ว่าคดีสมชายผ่านมากว่า 20 ปี โดยไม่มีความก้าวหน้า เพราะรัฐไม่มีเจตจำนงทางการเมืองในการเปิดเผยความจริง และนำคนผิดมาลงโทษ แม้ปัจจุบันประเทศไทยจะมี พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับสูญหาย รวมถึงการให้สัตยาบันอนุสัญญา แต่ยังไม่เห็นความพยายามของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตามหาตัวสมชาย กรรมการตาม พ.ร.บ. ที่ตั้งขึ้นก็ไม่เคยรับฟังครอบครัวทั้งที่กฎหมายระบุให้สืบสวนจนทราบที่อยู่และชะตากรรม และรู้ตัวผู้กระทำผิด ในขณะที่ครอบครัวคนหายต่างถูกคุกคามมาโดยตลอด ไม่นานนี้ขณะจัดงานรำลึก 20 ปี สมชาย นีละไพจิตร ยังมีคนอ้างเป็นเจ้าหน้าที่มาสอดแนม ตามถ่ายภาพครอบครัว ยังไม่นับรวมการด้อยค่า และคุกคามทางออนไลน์
“สมชาย นีละไพจิตร ถูกอุ้มหายในรัฐบาลทักษิณ ปีนี้ลูกสาวคุณทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยคุณทักษิณเองก็ยังมีบทบาททางการเมือง ก็อยากทราบว่าลูกสาวคุณทักษิณในฐานะนายกรัฐมนตรี จะคืนความเป็นธรรมให้ครอบครัวคนถูกอุ้มหายอย่างไร อย่างน้อยบอกความจริง และนำคนผิดมาลงโทษก็ยังดี อุ๊งอิ๊งรักพ่อแค่ไหน ลูกๆ คนหายก็รักพ่อไม่ต่างกัน ดังนั้นคืนความยุติธรรมและการเปิดเผยความจริงจึงจะเป็นการเยียวยาที่ดีที่สุดให้แก่ครอบครัว”
นอกจากนี้ในงานยังมีการกล่าวถึงกรณีนายอี ควิน เบดั๊บ สมาชิกของชุมชนชาวพื้นเมืองมอนตาญาร์ดในเวียดนาม ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องเผชิญกับการกดขี่และการประหัตประหารมาอย่างยาวนาน หลบหนีออกจากเวียดนามซึ่งชีวิตของเขาอยู่ภายใต้การคุกคามอย่างต่อเนื่อง เขาได้ขอลี้ภัยในประเทศไทยในปี 2018 โดยหวังว่าจะหาสถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับตัวเขาและครอบครัว ซึ่งเขาได้รับสถานะผู้ลี้ภัยจาก UNHCR
ทั้งนี้ องค์สิทธิมนุษยชนขอให้รัฐบาลไทยไม่ส่งตัวนายอี ควิน เบดั๊บกลับ เนื่องจากจะเป็นการขัดแย้งอย่างชัดเจนต่อพระราชบัญญัติการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับให้สูญหายของประเทศไทย
ปรานม สมวงศ์ จาก Protection International เปิดเผยข้อมูลว่า ตามข้อมูลของคณะทำงานว่าด้วยการบังคับหรือการสูญหายโดยไม่สมัครใจของสหประชาชาติ (WGEID) ตามรายงานล่าสุด ประเทศไทยมีกรณีการบังคับสูญหายที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้หลายกรณี แต่จำนวนที่แน่นอนของกรณีการบังคับสูญหายในประเทศไทยอาจแตกต่างกันไปตามแหล่งข้อมูลและช่วงเวลาที่พิจารณา
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา WGEID ได้บันทึกกรณีการบังคับสูญหายในประเทศไทยประมาณ 80-90 กรณี จำนวนนี้สะท้อนถึงกรณีที่ได้รับการรายงานและยอมรับโดยสหประชาชาติเพื่อทำการสอบสวน อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้อาจไม่ครอบคลุมปัญหาทั้งหมด เนื่องจากบางกรณีอาจไม่ได้รับการรายงานหรือถูกจัดประเภทต่างออกไป
ในวันที่เรารำลึกถึงเหยื่อของการบังคับสูญหายสากล ข้ออ้างเรื่องงบประมาณหรือการขาดแคลนบุคลากรไม่ควรถูกนำมาใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ความเงียบและการเพิกเฉยไม่สามารถยอมรับได้อีกต่อไป รัฐมีหน้าที่ไม่เพียงแต่ต้องผ่านกฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิของผู้ถูกบังคับสูญหาย แต่ยังต้องทำให้กฎหมายเหล่านี้มีผลบังคับใช้อย่างแท้จริง เพื่อคืนศักดิ์ศรีและความยุติธรรมให้กับเหยื่อและครอบครัวของพวกเขา เราจะไม่หยุดเรียกร้องจนกว่าความจริงจะถูกเปิดเผย และผู้ถูกบังคับสูญหายจะกลับคืนสู่อ้อมอกของครอบครัว พร้อมกับการปรากฏของความยุติธรรมที่แท้จริง
ทั้งนี้ ภายในงานยังได้มีการเปิดคลิปวิดีโอความรู้สึกของแวรอกีเย๊าะ บาเน็ง น้องสาวของ แวอับดุลวาเหม บาเน็ง ผู้ถูกบังคับให้สูญหายในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย โดยขณะที่หายตัวไปแวอับดุลวาเหมเป็นเพียงเยาวชนจากโรงเรียนสอนศาสนาธรรมวิทยา ซึ่งเป็นโรงเรียนชื่อดังของจังหวัดยะลา แวอับดุลวาเหมถูกทำให้สูญหายในวันที่ 17 ตุลาคม 2548 จากสุสานมัสยิดแห่งหนึ่งที่จังหวัดปัตตานี ในช่วงที่รัฐบาลในยุคนั้นมีนโยบายการปราบปรามความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งตลอดการหายตัวไปครอบครัวความยุติธรรมให้กับลูกชายมาโดยตลอด แม้จะโดนข่มขู่คุกคามในการเรียกร้องความยุติธรรมในการตามหาตัวของแวอับดุลวาเหม แม้จะผ่านมานานแล้วถึง 18 ปี แต่ครอบครัวก็ไม่ละความพยายามในการตามหาความจริงและความยุติธรรม
7 ข้อเรียกร้องต่อนายกฯ คนใหม่ เปิดเผยความจริง คืนความเป็นธรรม และชดใช้เยียวยา
ครอบครัวของผู้ถูกบังคับให้สูญหายได้ร่วมกันแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ด้วยการยื่นข้อเรียกร้องผ่านการส่งจดหมายฉบับใหญ่เพื่อติดตามความยุติธรรมให้กับผู้สูญหายและครอบครัวให้กับนายกรัฐมนตรีคนใหม่ โดยติดแสตมป์หน้าซองเป็นรูปของบุคคลที่ถูกบังคับให้สูญหาย พร้อมทั้งร่วมกันอ่านข้อเรียกร้องโดยรายละเอียด ดังนี้
ท่ามกลางความยินดีกับการที่ประเทศไทยมีพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ทำให้อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ สหประชาชาติมีผลบังคับใช้
ในโอกาสวันแห่งการรำลึกถึงผู้ถูกบังคับสูญหายสากล 2567 เราขอเรียกร้องรัฐบาลไทย เปิดเผยความจริงและคืนความเป็นธรรมให้ผู้สูญหายทุกคน เราเน้นย้ำความกังวลและห่วงใยในการดำเนินการเพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำให้บุคคลสูญหาย การยุติการงดเว้นโทษ และคืนความยุติธรรมครอบครัว ดังนี้
- เราเน้นย้ำสิทธิที่จะทราบความจริง เนื่องจากการบังคับบุคคลสูญหาย เป็นอาชญากรรมต่อเนื่อง รัฐมีหน้าที่ต้องสืบสวนสอบสวนจนกว่าจะทราบที่อยู่และชะตากรรมของผู้สูญหาย และนำผู้กระทำผิดมาลงโทษ
- รัฐบาลต้องปฏิบัติตามอนุสัญญาที่ประเทศไทยเป็นภาคี และมีผลบังคับใช้ ต้องมีความจริงใจในการตามหาตัวผู้สูญหาย และคืนพวกเขาสู่ครอบครัว การค้นหาตัวผู้สูญหายต้องเป็นไปตามหลักการชี้แนะในการค้นหาผู้สูญหาย ของคณะกรรมการสหประชาชาติ คือการหาตัวบุคคล ไม่ใช่การหาศพ หรือเพราะการค้นหาตัวบุคคล จะทำให้เราทราบเรื่องราวของผู้ถูกบังคับสูญหาย และรู้ตัวผู้กระทำผิดที่แท้จริง
- เราขอเน้นย้ำสิ่งที่รัฐไม่อาจละเลยได้ คือ การรับประกันความปลอดภัยของครอบครัว ในกระบวนการร้องเรียนเพื่อขอความเป็นธรรม เพราะเมื่อการบังคับสูญหายเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ และผู้กระทำผิดยังคงลอยนวล และมีอำนาจในหน้าที่การงาน การคุกคามต่อครอบครัวจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลากหลายรูปแบบ รัฐต้องประเมินความเสี่ยง และออกแบบการดูแลความปลอดภัยร่วมกับครอบครัว และข้อจำกัดเรื่องงบประมาณต้องไม่ถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างในการยุติการคุ้มครองอีกต่อไป
- รัฐบาลต้องให้ครอบครัวมีส่วนร่วมอย่างเปิดเผยในกระบวนการหาตัวผู้สูญหาย เพื่อความโปร่งใส และยุติธรรม การตัดสิทธิของครอบครัวในการมีส่วนร่วมทำให้การค้นหาตัวผู้สูญหายไม่รอบด้าน อีกทั้งยังอาจมีการปกปิดความจริงที่เกิดขึ้น
- ข้อเรียกร้องต่อมาตรา 13: เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยบังคับใช้มาตรา 13 อย่างเข้มงวด ป้องกันการส่งกลับ (non-refoulement) ซึ่งระบุว่าห้ามมิให้มีการส่งกลับบุคคลไปยังประเทศที่มีความเสี่ยงว่าจะถูกบังคับให้สูญหายหรือถูกทรมาน
- ที่สำคัญที่สุด คือ การขจัดทัศนคติเชิงลบต่อครอบครัว การสร้างภาพให้ผู้สูญหายเป็นคนไม่ดีทำให้ครอบครัวต้องเผชิญกับการตีตราจากสังคม ส่งผลกระทบต่อผู้หญิงและเด็กให้มีชีวิตอย่างหวาดกลัว และไม่มีความมั่นใจในความปลอดภัย
- เราขอเน้นย้ำว่า เราจะไม่หยุดส่งเสียงจนกว่าความจริง และความยุติธรรมจะปรากฏ และผู้สูญหายจะกลับคืนสู่ครอบครัว
ในโอกาสวันรำลึกเหยื่อการบังคับสูญหายสากล เราขอแสดงความยินดีอย่างจริงใจในโอกาสที่ประเทศไทยมี พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย และอนุสัญญาการบังคับสูญหาย สหประชาชาติมีผลบังคับใช้ เรายืนยันการให้ความร่วมมือกับรัฐในการค้นหาความจริงและความยุติธรรม
เราอยากบอกกับรัฐว่าในฐานะครอบครัวซึ่งส่วนมากคือผู้หญิงและเด็ก เราถูกทำให้อยู่กับความหวาดกลัว ถูกทำให้สูญเสียอัตตลักษณ์ ถูกตีตรา และเพศยังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการลดทอนคุณค่าและศักดิ์ศรีของเรา เจ้าหน้าที่รัฐอาจไม่รู้ว่าในแต่ละปี แม่ๆ หลายคนตายจากไปโดยไม่ทราบความจริงว่าลูกๆ ของพวกเธอหายไปไหน
ในฐานะครอบครัว เราขอบคุณมิตรภาพและกำลังใจจากผู้คนร่วมสังคม เราเชื่อมั่นว่าการต่อสู้ของผู้หญิง จะสร้างความตระหนักแก่สังคมถึงคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ไม่อาจมีผู้ใดพรากไปได้ และเราอยากบอกกับรัฐว่าแม้จะล้มเหลว สิ้นหวัง หวาดกลัว และเจ็บปวด แต่ผู้หญิงในฐานะครอบครัวก็ไม่เคยสูญสิ้นความหวัง เรายังคงความเชื่อมั่นว่ากฎหมายจะคืนความเป็นธรรมให้ผู้ถูกบังคับสูญหายทุกคน และสักวันความจริงจะปรากฏ และผู้สูญหายจะกลับคืนสู่ครอบครัวซึ่งเป็นที่รักของพวกเขา
ครอบครัวผู้ถูกบังคับสูญหาย
30 สิงหาคม 2567