มัจฉา พรอินทร์ เรียกตัวเองว่าเป็นลาว เลสเบี้ยน เฟมินิสต์ และเป็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
ตั้งแต่ช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 มัจฉาลุกขึ้นมาวิ่ง จึงมีภาพจำเป็นนักวิ่งเทรลเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งบทบาท
และในฐานะประธานมูลนิธิสร้างสรรค์อนาคตเยาวชน เหตุผลหนึ่งที่ทำให้มัจฉาต้องลุกขึ้นมาต่อสู้เรื่องสิทธิมนุษยชนของคนชายขอบ อาจมาจากประสบการณ์ตรงของตัวเอง ในฐานะคนลาวที่เกิดในพื้นที่ชายแดนไทย-ลาว ที่ต้องเผชิญกับความเหลื่อมล้ำทางสังคม
ตลอดวัยเด็กจนกระทั่งเรียนถึงระดับมหาวิทยาลัย เธอต้องหาเงินเรียนเองมาโดยตลอด และเป็นแรงงานเด็กตั้งแต่อายุ 9 ขวบ
นี่คือความเหลื่อมล้ำอันเนื่องมาจากความเป็นชาติพันธุ์ชนเผ่าพื้นเมือง
อย่างที่สองคือความเป็นผู้หญิง
เธอเล่าว่าเห็นสังคมที่ไม่ยอมรับผู้หญิง เห็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับแม่
“ตอนที่แม่เลือกตัดสินใจแยกทางกับพ่อ แทนที่สังคมจะชื่นชมผู้หญิงที่ตัดสินใจรับผิดชอบลูกทุกคน กลายเป็นว่าสังคมรอบตัวแม่ไม่ยอมรับผู้หญิงหม้าย พยายามยัดเยียดให้เป็นเมียคนนั้นเมียคนนี้ ในขณะที่แม่ยืนยันว่าต้องการที่จะเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว” สิ่งที่มัจฉาบอกเล่า สาดสะท้อนภาพให้เราเห็นทั้งความเข้มแข็งของแม่ และเห็นทั้งการกดขี่ทางเพศต่อผู้หญิง
อย่างที่สาม เธอคาดหวังว่าจะเป็นอย่างสุดท้ายที่จะต้องเผชิญกับความเหลื่อมล้ำ แม้ในความปรารถนาจะไม่อยากให้มีเลยก็ตาม คือ การถูกเลือกปฏิบัติ ในฐานะที่นิยามตัวเองว่าเป็นเลสเบี้ยน เธอเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า homophobia หรือการเกลียดชังคนที่มีความหลากหลายทางเพศ
สามสิ่งนี้ประกอบสร้างจนกลายมาเป็นตัวตนของมัจฉาในทุกวันนี้
ภาพจำและประสบการณ์ที่สั่งสมมา กลายเป็นสารตั้งต้นที่ทำให้ลุกขึ้นมาขับเคลื่อนสิทธิมนุษยชนได้อย่างไร
ตอนที่แม่ตัดสินใจแยกทางกับพ่อเพราะต้องเผชิญกับความรุนแรงในครอบครัว ในบริบทเดียวกันนั้น แม่บอกว่าไม่สามารถส่งเราเรียนได้ แต่แม่สนับสนุนให้น้องชายได้เรียน เราก็เลยเห็นความเหลื่อมล้ำทั้งในระดับครอบครัวและในระดับชุมชนที่มีต่อผู้หญิง
ตัวเราเองตระหนักว่าเราไม่ได้เป็นผู้หญิงที่มีรสนิยมทางเพศเหมือนคนอื่นๆ พอทบทวนว่าเรารู้ตัวเมื่อไร จำได้ว่าตอน 9 ขวบ เริ่มรู้สึกว่าเราน่าจะมีรสนิยมทางเพศไม่เหมือนกับคนอื่น แต่ว่าเราไม่เห็นผู้หญิงในชุมชนที่เหมือนเราเลย เราไม่รู้ว่าแบบนี้เรียกว่าอะไรในตอนนั้น
จนกระทั่งเริ่มโตขึ้นอยู่ในระดับมัธยมหรือมหาวิทยาลัยก็ตาม เราถูกเลือกปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียม เพียงเพราะอัตลักษณ์และรสนิยมทางเพศของเราไม่ตรงกับกรอบทางสังคม
สมัยมหาวิทยาลัยเราไม่ชอบใส่กระโปรงไปเรียน ซึ่งเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว การแต่งกายตามเพศสภาพยังเป็นข้อจำกัดอย่างมาก การไม่ใส่กระโปรงไปเรียนของเราเสี่ยงถูกอาจารย์ไล่กลับไปเปลี่ยนชุด โดยเฉพาะการเข้าห้องสอบ และถ้าวันไหนที่ใส่กระโปรงไปเรียนก็จะถูกเพื่อนแซวหรือหัวเราะเยาะ
สิ่งเหล่านี้ทำให้เราตระหนักว่ามันไม่ถูกต้อง และรู้สึกว่าเราไม่ถูกสนับสนุนและยอมรับ ก็เลยต้องลุกขึ้นมาสู้ตั้งแต่ในระดับครอบครัว ไปถึงระดับสถาบันศึกษา แล้วก็สังคมโดยรวมด้วย
ท้ายที่สุดเราเห็นความเหลื่อมล้ำทางเพศ เห็นความไม่ปลอดภัยของผู้หญิง แล้วก็เห็นความไม่ยุติธรรมต่อคนที่เป็นชนเผ่าพื้นเมือง
ทีนี้พอทั้งหมดรวมอยู่ในคนคนเดียว พอเราถูกเลือกปฏิบัติ บางครั้งเลยไม่แน่ใจว่าเพราะเราเป็นลาว เพราะเราเป็นผู้หญิง หรือเพราะเราเป็น LGBTQIA+ เพราะทั้งหมดนี้ท้ายที่สุดมันคือรูปแบบของการถูกเลือกปฏิบัติทั้งนั้น เลยทำให้เราต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงทั้งตัวเอง เปลี่ยนแปลงทั้งครอบครัว แล้วก็สังคมที่อยู่รายล้อม เพื่อให้เรายืนยันความเป็นตัวเองแล้วก็สิทธิเสรีภาพที่เราควรจะมีอย่างเท่าเทียม
จากที่เคยให้สัมภาษณ์ว่า เคยลงไปศึกษาแล้วพบว่าเมื่อเกิดภัยพิบัติ ผู้หญิงและเด็กมักจะเผชิญกับความรุนแรงมากที่สุด หรือกระทั่งเมื่อโรงเรียนเปิดเรียนหลังเหตุภัยพิบัติแล้ว เด็กผู้หญิงมักกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาน้อยที่สุด เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
ในพื้นที่เสี่ยงภัยพิบัติมักจะเผชิญกับภัยพิบัติซ้ำซาก อย่างชุมชนที่ตัวเองทำงานด้วยตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติ แล้วรัฐก็ผลักให้เขาไปตั้งบ้านเรือนอยู่ในพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัย
สภาพการณ์คือมีถนน แล้วบ้านก็จะเกาะอยู่ตามขอบถนน มีเสาลงไปประมาณ 20 เมตร ด้านหน้าถนนเป็นหน้าผา ด้านหลังที่เสาหยั่งลงไปจะเป็นห้วย แล้วพอหน้าฝนน้ำจากลำห้วยจะสูงขึ้น ถ้าบ้านไหนอยู่ต่ำก็จะโดนน้ำท่วม ด้านหน้าที่เป็นภูเขาก็พร้อมที่จะเกิดดินสไลด์ ดินถล่ม
เพราะฉะนั้นด้วยสภาพการณ์แบบนี้เวลาเข้าสู่หน้าฝน หมู่บ้านนี้ก็จะอยู่ด้วยความวิตกกังวลว่าน้ำจะขึ้นหรือดินจะถล่มไหม
ในช่วงที่ฝนตกหนักมากๆ ผู้ชายตัดสินใจที่จะไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยได้ง่ายกว่าผู้หญิง เพราะถ้าเขารู้สึกไม่ปลอดภัยก็แค่ไปนอนที่อื่น นอนที่ไหนก็ได้ นอนวัดก็ได้ นอนบ้านเพื่อนก็ได้ แต่การที่ผู้หญิงจะตัดสินใจ โดยเฉพาะผู้หญิงที่เป็นแม่ ทุกบ้านจะมีผู้สูงอายุ หลายบ้านจะมีผู้พิการ และมีเด็กเล็กด้วย การที่จะออกไปจากบ้านโดยพาผู้พิการ ผู้สูงอายุ และเด็กเล็กไปอยู่ในบ้านใครก็ไม่รู้ หรือแม้กระทั่งการที่รัฐตั้งศูนย์พักพิงให้ ก็ไม่ใช่ว่าผู้หญิงจะอยู่ได้อย่างสบายใจ ฉะนั้นผู้หญิงชนเผ่าจำนวนมากจึงไม่สามารถที่จะละทิ้งบ้านไปได้
โดยระบบการกล่อมเกลาหล่อหลอมของสังคม ผู้หญิงและผู้ชายถูกสอนให้เติบโตมาด้วยตรรกะคนละแบบกัน ทำให้ผู้หญิงจำนวนไม่สามารถตัดสินใจออกจากภาวะวิกฤตได้ทันท่วงทีเท่าผู้ชาย แล้วก็ไม่ถูกสอนให้เอาตัวรอดในภาวะวิกฤตด้วย
ถ้าลองไปเสิร์ชหาข้อมูลก็จะพบว่า ในภาวะวิกฤตผู้หญิงจะเอาตัวรอดได้น้อยกว่า จึงมีแนวโน้มที่จะเสียชีวิตได้มากกว่า เพราะมีสิ่งที่ต้องดูแลมาก
ในสถานการณ์จริงอย่างเช่นช่วงโควิด-19 ต้องเข้าใจก่อนว่าผู้หญิงที่มีอัตลักษณ์ชายขอบ อย่างการเป็นชนเผ่าพื้นเมือง หรือผู้หญิงในชนบท เขาจะเผชิญกับความยากจนหรือการมีทรัพยากรที่จำกัด อันนี้เป็นปัจจัยที่ 1
ถ้ามีเงินอยู่จำกัด แต่มีลูกหลายคน คำถามคือแล้วจะเลือกส่งลูกคนไหนเข้าโรงเรียน ซึ่งผู้หญิงจำนวนมากไม่ได้ถูกให้คุณค่าในเรื่องการศึกษา นี่คือปัจจัยที่ 2 คือสังคมไม่ได้ให้คุณค่ากับผู้หญิงหรือเด็กผู้หญิง เพราะยังเชื่อว่าวันหนึ่งก็ต้องแต่งงานดูแลลูกและผัว เพราะฉะนั้นไม่สามารถที่จะมาสร้างความมั่งคั่งและมั่นคงให้กับครอบครัวได้
เด็กผู้หญิงเองแม้ไม่มีภาวะวิกฤตใดๆ โอกาสที่จะเข้าถึงการศึกษาก็ไม่เท่ากับเด็กผู้ชายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นผู้หญิงที่จะไปโรงเรียนได้ต้องใช้ความพยายามมากกว่าเด็กผู้ชาย ต้องต่อสู้กับครอบครัว ต่อสู้กับความเชื่อว่าเราเท่าเทียม
ดังนั้นพอเกิดวิกฤตขึ้นมาแล้วครอบครัวสูญเสียความมั่นคง เช่น สูญเสียบ้าน สูญเสียทรัพย์สิน แล้วคนในครอบครัวต้องออกไปหาเงินเพิ่มเพื่อจัดการกับภาวะภัยพิบัติที่เกิดขึ้น แล้วใครจะดูแลบ้าน เพราะเกือบทุกบ้านมีผู้สูงอายุ มีสัตว์เลี้ยง มีเด็ก ฉะนั้นระหว่างเด็กชายกับเด็กหญิงใครจะต้องดูแล แน่นอนว่าเด็กผู้หญิงจำนวนมากถูกเลือกให้ต้องดูแลบ้าน ในขณะที่คนอื่นในครอบครัวต้องออกไปทำงานหาเลี้ยงปากท้อง
พอหลังวิกฤตจบไป แต่ความยากจน ความยากลำบากมันยังคงอยู่ อย่างในช่วงโควิด-19 นักศึกษาที่เราทำงานด้วย ช่วงนั้นต้องเรียนออนไลน์ แต่ไม่มีใครเรียนได้เลย เพราะไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตในหมู่บ้าน จะเช่าบ้านอยู่ในเมืองก็ไม่มีเงินค่าเช่า ทุกคนก็เลยหลุดออกจากระบบการศึกษาหมดเลย ผ่านไป 2-3 ปี ก็ไม่มีใครเลยที่จะสามารถกลับมาเรียนได้ ทั้งที่อยู่ปี 2 ปี 3 กันแล้ว นี่คือตัวอย่างว่าสถานการณ์จริงมันเป็นแบบนี้
สอดคล้องกับสถานการณ์โลกที่ว่าในภาวะภัยพิบัติ ในภาวะสงคราม ในภาวะยากลำบาก หรือในภาวะวิกฤตทั้งหลาย เด็กผู้หญิงจะหลุดออกจากระบบการศึกษาก่อน และไม่สามารถกลับมาเรียนได้
ประเด็นเรื่องเพศถูกขับเคลื่อนมาหลายสิบปี แต่ทำไมเสียงผู้หญิงและผู้มีความหลากหลายทางเพศยังคงเบากว่าเสมอ
เราอยู่ในสังคมที่กล่อมเกลาให้เชื่อเรื่องชายเป็นใหญ่มายาวนานตั้งแต่ในระดับครอบครัว คนที่มีอำนาจตัดสินใจคือพ่อ แต่เรามักจะถูกหลอกว่าคือแม่
ในสถาบันต่างๆ ไม่ว่าจะระบบการศึกษาหรือการเมือง มันไม่มีผู้หญิงที่มีอำนาจในการตัดสินใจ เพราะฉะนั้นเราจะเห็นเลยว่าผู้หญิงไม่ได้มีตำแหน่งแห่งที่
ผู้ชายก็ถูกกล่อมเกลาหล่อหลอมว่าผู้หญิงคือสมบัติของตัวเอง ฉะนั้นจะมามีอำนาจเท่าเทียมกันไม่ได้ ดังนั้นเสียงของผู้หญิและเด็กผู้หญิงจึงเงียบตั้งแต่ในระดับครอบครัวแล้ว
เราอาจจะเห็นภาพผู้หญิงกรีดร้องเมื่อเผชิญกับความรุนแรง ต้องการที่จะมีพื้นที่ปลอดภัย เราก็จะถูกสั่งสอนว่ากระบวนการแบบนี้ วิธีการแบบนี้ คือวิธีการแบบผู้หญิง ก็เลยไม่มีใครอยากรับฟังเสียงความยากลำบากหรือความต้องการของผู้หญิง
หรือแม้กระทั่งการที่ผู้หญิงเผชิญกับความรุนแรงก็มักจะเต็มไปด้วยการถูกตีตรา ถูกเบลม ถูกกล่าวโทษ แต่เราไม่เคยถามผู้กระทำเลยว่าทำไมถึงทำแบบนั้น เราดันมาตั้งคำถามกับผู้ถูกใช้ความรุนแรง ทั้งหมดนี้ทำให้ผู้หญิงไม่ได้รับการสนับสนุนให้มีโอกาสเท่าเทียม
ประการต่อมา เมื่อผู้หญิงเผชิญปัญหาอะไรก็ตาม เราไม่มีอำนาจในทางการเมืองที่จะเรียกร้องให้เกิดระบบที่เป็นธรรมขึ้น และในขณะเดียวกันเมื่อเราเรียกร้องให้เกิดความเป็นธรรม เราก็จะถูกตีตรา แทนที่จะถูกเกื้อกูล สนับสนุน ให้มีส่วนร่วมในเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตและความปลอดภัย
ตั้งแต่มดลูกของเรา เราอยากแต่งงานเมื่อไร อยากมีลูกเมื่อไร เราเลือกไม่ได้ขนาดนั้น ยังมีการบังคับแต่งงานกับเด็ก บังคับแต่งงานกับผู้หญิงที่มีความหลากหลายทางเพศอยู่
หรือแม้กระทั่งก่อนหน้านี้การทำแท้งก็ผิดกฎหมาย วันที่มันจะถูกกฎหมาย คนที่ตัดสินใจให้เราก็เต็มไปด้วยนักการเมืองผู้ชาย มันก็เลยใช้เวลาเนิ่นนานมาก ทั้งที่มันคือเนื้อตัวร่างกายของเรา
อำนาจการตัดสินใจในเนื้อตัวร่างกาย ชีวิต และความปลอดภัยของผู้หญิงไปอยู่ในมือของผู้ชาย เพราะฉะนั้นที่เราบอกว่าเราต่อสู้กันมาหลายสิบปี มันไม่ใช่แค่หลายสิบปีหรอก
ในทางประวัติศาสตร์ผู้หญิงถูกกระทำแบบนี้และมีการต่อสู้มาตลอด เพียงแต่ว่ากระบวนการต่อสู้ถูกกีดกันด้วยอำนาจทางเศรษฐกิจที่ผู้หญิงไม่มีเท่าผู้ชาย และถูกกีดกันด้วยวิธีคิดแบบชายเป็นใหญ่ แบบอำนาจทางการทหารในสภาวะสงคราม
เราพูดเรื่องนี้เยอะเพราะพื้นที่ที่เราทำงานอยู่ด้วยเป็นพื้นที่ชายแดน แล้วในพื้นที่ชายแดนก่อนหน้าที่จะเกิดสงคราม ผู้หญิงไม่ได้อยู่ในพื้นที่เจรจาที่จะสามารถบอกได้ว่าเราไม่เอาสงคราม แต่ทันทีที่เกิดสงครามผู้หญิงกลายเป็นหม้าย กลายเป็นผู้แบกรับชะตาชีวิตอันหนักหน่วง
นอกจากนี้ สถานการณ์การสู้รบในเมียนมา ยังส่งผลต่อการบังคับอพยพย้ายถิ่นฐาน (forced displacement) ของพี่น้องชนเผ่าพื้นเมืองนับตั้งแต่มีการสู้รบมากกว่า 70 ปี ผู้ได้รับผลกระทบมีทั้งผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้หญิง และเด็ก การปฏิบัติของรัฐไทยมีความลักลั่นเรื่องหลักมนุษยธรรม ส่งผลต่อการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลผู้ได้รับผลกระทบจากการสู้รบหรือจากสงครามเมียนมา โดยเฉพาะคนชนเผ่าพื้นเมืองที่ไม่มีสถานะบุคคล คนไร้รัฐ ไร้สัญชาติ หรือแม้กระทั่งผู้ที่อยู่ในแคมป์ผู้ลี้ภัย
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ว่าเพิ่งเกิดขึ้น แต่มันยังดำเนินอยู่ เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าทำไมเราถึงยังเผชิญกับความรุนแรงอยู่ ก็เพราะเรายังอยู่ในสังคมที่ชายเป็นใหญ่ แล้วผู้หญิงก็ไม่มีอำนาจในพื้นที่เลย ในทางการเมืองเราก็ถูกกีดกัน แล้วเสียงที่เรากรีดร้องว่าเราต้องการความยุติธรรมมันไม่ได้รับการสนับสนุน
แต่อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ว่าผู้หญิงไม่มีการต่อสู้ เพราะตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงในสังคมก็มาจากผู้หญิงด้วยเช่นกัน
เชื่อเรื่องที่บอกว่าทุกวันนี้เรากำลังเป็นสังคม ‘หญิงเป็นใหญ่’ หรือเปล่า
เป็นแค่สิ่งที่เขาพยายามสร้างขึ้นเพื่อกีดกันการแก้ไขปัญหาเรื่อง homophobia กับเรื่องความไม่เป็นธรรมทางเพศ เพราะในทางปฏิบัติ เวลาเราบอกว่าเราต่างตกอยู่ใต้วัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ มันมีหลักฐาน มีข้อเท็จจริงอยู่ว่ามันมีความเหลื่อมล้ำทางเพศอยู่
กรณีเช่น เรานับถือศาสนาพุทธ แม่เราก็มีลูกชายด้วย ไม่ว่าลูกชายจะเกเรแค่ไหนก็จะรักมากเลย เพราะเขาเชื่อว่าเมื่อลูกชายบวชก็จะพาเขาขึ้นสวรรค์ เขาก็จะฟูมฟักลูกชายเป็นอย่างดีเลย เขาจะเก็บเงินเก็บทองไว้บวชลูกชาย
แต่ในขณะที่ลูกผู้หญิง เรียกได้ว่าเราอยู่ในสังคมที่รังเกียจผู้หญิง เขาจะรู้สึกตลอดเวลาเลยว่า ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะเกิดปัญหาท้องไม่พร้อม ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะพาความเสื่อมเสียมาให้ ฉะนั้นคุณค่าในสังคมชนบทที่เราเติบโตมา หรือแม้กระทั่งชุมชนชนเผ่าพื้นเมืองที่ทำงานด้วย ระบบให้คุณค่าผู้ชายมันมากกว่าผู้หญิง
แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ท้ายที่สุดผู้หญิงก็บวชไม่ได้ กลายเป็นผิดกฎด้วยซ้ำไป แต่เราก็มองมันเป็นเรื่องปกติ ในทุกๆ ศาสนาไม่มีผู้หญิงที่มีส่วนร่วมเท่าเทียมกับผู้ชายเลย ฉะนั้นพื้นที่ทางจิตวิญญาณของผู้หญิงมันก็หายไปด้วย
นอกจากนั้นเวลาผู้หญิงเผชิญกับความรุนแรง เช่น กรณีถูกข่มขืนหรือถูกใช้ความรุนแรงประเภทการคุกคามทางเพศ ในกระบวนการที่จะคืนความเป็นธรรมให้กับผู้หญิง มันคือการที่ผู้หญิงจะต้องพิสูจน์ว่าตัวเองถูกกระทำความรุนแรง และจำนวนมากไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยหลักฐานที่ระบบวิธีคิดแบบชายเป็นใหญ่ต้องการ
ผู้หญิงจะถูกสืบสวนสอบสวน หรือที่เราเรียกกันว่าถูกข่มขืนซ้ำจากกระบวนการไม่ยุติธรรมที่ผู้ชายอยู่ในนั้นทั้งหมด รวมถึงคนตัดสินที่ไม่ใช่แค่ตัดสินจากมุมมองชายเป็นใหญ่ แต่เป็นผู้ชายจริงๆ ที่มีอำนาจในการเคาะว่าจะให้โทษให้คุณอย่างไรต่อผู้ชายที่เป็นผู้กระทำ หรือต่อผู้หญิงที่เป็นผู้ถูกกระทำ
เห็นๆ กันอยู่ว่าระบบและวัฒนธรรมเป็นแบบนี้ แล้วจะมาบอกว่าการที่ผู้หญิงลุกขึ้นมาต่อสู้แปลว่าผู้หญิงต้องการเป็นใหญ่ มันคือการเหยียบเราซ้ำชัดๆ เราต้องการต่อสู้เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเพศ และเราต้องการความเท่าเทียม ตัวเราเองตั้งแต่เคลื่อนไหวมา เราไม่เคยเคลื่อนไหวเพื่อที่จะยิ่งใหญ่เหนือใครเลย เราแค่ต้องการความเป็นธรรม
หรือแม้กระทั่งกฎหมายสมรสเท่าเทียมที่ประชาชนผู้มีความหลากหลายทางเพศขับเคลื่อน ในยุคแรกๆ คนจำนวนมากกว่าบอกว่า “ก็เห็นอยู่กันได้ ทำไมต้องมีสมรสเท่าเทียมด้วย ฉันเป็นผู้หญิงฉันยังไม่อยากแต่งงานเลย เธอจะแต่งไปทำไม”
แต่ว่าในทางปฏิบัติ สิ่งที่คนหลากหลายทางเพศเรียกร้องก็คือ เราต้องการความปลอดภัย เราต้องการการยอมรับ และถ้ามันมีกฎหมายที่จะคุ้มครอง แล้วมันไม่คุ้มครอง LGBTQIA+ เราก็ต้องการให้มันขยายการคุ้มครอง เพราะถ้าไม่มีกฎหมายก็จะไม่มีการอนุญาตให้ใช้ทรัพยากร ซึ่งก็เป็นภาษีของพวกเราทุกคน
เรายินดีที่จะใช้ภาษีกับชายหญิงที่มีอัตลักษณ์ตรงเพศกำเนิด แต่เราไม่อยากเจียดแม้กระทั่งความเท่าเทียมมาให้คนหลากหลายทางเพศได้มีสิทธิและสวัสดิการบ้างเลยหรือ
เพราะฉะนั้นเวลาเราถูกบอกว่าผู้หญิงเป็นใหญ่อยู่แล้ว หรือบอกว่าผู้หญิงต้องการเป็นใหญ่ เราไม่เคยเป็นใหญ่อยู่แล้วในทางประวัติศาสตร์ และมีงานสนับสนุนมากมาย The Economist ทำงานวิจัยออกมาเลยว่า ถ้าเรายังขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้เท่านี้ อีกร้อยปีถึงจะมีความเป็นธรรมทางเพศ ดังนั้นสิ่งต่างๆ ที่พยายามด้อยค่ากันอยู่ในสังคม มันคือการกีดกันผู้หญิงไม่ให้แก้ไขปัญหาด้วยซ้ำ
ไม่มีหลักฐานอะไรยืนยันเลยว่า ผู้หญิงหรือผู้มีความหลากหลายทางเพศเป็นใหญ่ในสังคม แต่ ‘ชายเป็นใหญ่’ มีงานวิจัยรองรับ ทุกอย่างเลย
พูดในแง่เอาความเป็นจริงเลยก็ได้ว่า ชายหญิงในสังคมไทยใครปลอดภัยกว่ากัน ใครเข้าถึงการศึกษามากกว่ากัน อาชีพการงาน เงินเดือน ตำแหน่ง สัดส่วนชายหญิงทางการเมือง ไม่มีตรงไหนเลยที่ผู้หญิงเหนือกว่าผู้ชาย
เรามีข้อมูล ข้อเท็จจริง มีงานวิจัยรองรับมากมายว่าผู้หญิงถูกกดขี่ แต่ไม่มีงานวิจัยหรือหลักฐานอะไรเลยที่ทำให้เชื่อมั่นได้ว่าผู้หญิงเคยเป็นใหญ่
จากจุดเริ่มต้นที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมทางเพศ มองเห็นสังคมเปลี่ยนแปลงไปกี่มากน้อย
สังคมต้องเปลี่ยนอยู่แล้ว อย่างเช่นยุคสมัยโบราณเราเชื่อว่าคลอดลูกได้ทีละคน บางวัฒนธรรมพอมีลูกแฝดในสมัยโบร่ำโบราณมีการฆ่าทิ้งด้วยซ้ำไป ซึ่งนั่นมันเปลี่ยนไปแล้ว มันคือการก่ออาชญากรรม
กระทั่งในยุคสมัยที่ LGBTQIA+ สมรสไม่ได้ ทุกวันนี้ทั่วโลกก็เริ่มทยอยทำได้แล้ว ประเทศไทยถึงแม้จะช้า แต่ก็สมรสได้แล้ว เราจะเห็นเลยว่าโลกมันเปลี่ยน ดังนั้นเราจะอยู่ที่เดิมไม่ได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับสังคมไทยก็คือ เรามักจะใช้ความคิดความเชื่อที่เก่ามาก ใช้วัฒนธรรมโบร่ำโบราณมาจำกัดโอกาสในการที่จะพัฒนาสังคม
ฉะนั้นเวลาบอกว่า นี่ไง สังคมไทยมีสมรสเท่าเทียมแล้ว เราก็จะบอกว่ามันไม่พอ มันควรจะมีมากกว่านี้อีก เพราะว่าเด็กนักเรียน LGBTQIA+ ที่อยู่ในโรงเรียนก็ยังถูกบูลลี
ถ้าสังคมโดยรวมไม่ยอมรับคนหลากหลายทางเพศ พ่อแม่ที่มีลูกเป็นคนหลากหลายทางเพศก็เสี่ยงที่จะไม่ยอมรับลูกตัวเอง แล้วก็ใช้ความรุนแรงกับลูกตัวเอง
พูดถึงเรื่องงานก็ไม่เท่าเทียมกัน ผู้หญิงได้ค่าแรงน้อยกว่า โอกาสน้อยกว่า ยิ่งเป็น LGBTQIA+ สถานที่ทำงานบางแห่งถ้ารังเกียจเดียดฉันท์เรา ก็ทิ้งใบสมัครเราเลย เพราะฉะนั้นโอกาสในการจะเข้าถึงงานก็ไม่มีด้วยซ้ำ
ดังนั้นเราจะเห็นเลยว่า มีความจำเป็นของยุคสมัยที่จะต้องโอบรับความแตกต่างหลากหลาย แล้วก็มีตัวอย่างทั่วโลกให้เราเห็นว่าเราควรจะมีสังคมแบบไหน มันก็ควรที่จะเปลี่ยน
ในฐานะที่ขับเคลื่อนเรื่องสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง และปัญหาต่างๆ ไปพร้อมกับความเท่าเทียมทางเพศ รัฐตอบสนองเรื่องเหล่านี้อย่างไรบ้าง
ต้องเข้าใจว่าคนที่เป็นชาติพันธุ์ชนเผ่าพื้นเมือง หรือคนที่ถูกทำให้เป็นชนกลุ่มน้อย มันจะมีรูปแบบที่เขาเรียกว่าอาณานิคม ซึ่งสำหรับในประเทศไทยก็ต้องเรียกว่า ‘อาณานิคมภายใน’ ผลกระทบจากสิ่งนี้คือ การสูญเสียอำนาจที่จะปกครองตัวเอง
เพราะฉะนั้นการเรียกตัวเองว่าชนเผ่าพื้นเมือง การเรียกตัวเองว่าลาว ก็ไม่ได้ถูกรัฐยอมรับ จะเห็นเลยว่ากฎหมายไทยไม่มีคำเหล่านี้ และไม่ใช่แค่นั้น สิทธิบนที่ดิน การเข้าถึงทรัพยากรก็ถูกรัฐควบคุมไปด้วย
พี่น้องชนเผ่าพื้นเมือง โดยเฉพาะคนที่อยู่บนภูเขา แม่น้ำ หรือแม้กระทั่งชนกลุ่มน้อยทางภาคอีสานที่อยู่ตามภูต่างๆ ไม่มีสิทธิบนที่ดิน แล้วกฎหมายก็ห้ามไม่ให้เขาดำเนินวิถีชีวิตที่สืบทอดกันมาก่อนจะมีประเทศนี้เสียอีก พี่น้องหลายที่อยู่กันมาเป็นร้อยสองร้อยปีก่อนจะมีรัฐชาติ ก่อนจะมีประเทศไทย เขาต้องกลายเป็นคนอื่นบนที่ดินของตัวเอง ไม่สามารถเอาไม้มาทำบ้าน ไม่สามารถปลูกข้าวได้สำหรับคนที่อยู่ในพื้นที่ป่าสงวนและเขตอุทยาน เป็นต้น
ผลลัพธ์จากการถูกแย่งชิงที่ดิน และการเข้าไม่ถึงทรัพยากร ก็ทำให้เกิดความยากจน ทำให้ไม่สามารถพัฒนาไปข้างหน้าได้อย่างเท่าเทียม
การไม่มีถนน ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต ไม่มีโรงเรียน เมื่อเจ็บป่วยก็ไม่สามารถไปหาหมอได้ หลายพื้นที่ในประเทศไทยตอนนี้เดินทางไม่ได้ หน้าฝนต้องเดินทางทางเรือ เจ็บป่วยต้องรอเฮลิคอปเตอร์ของทหารมารับไป มันไม่ใช่แค่ไม่เคลื่อนไปข้างหน้า แต่มันต้องเผชิญกับความยากลำบาก
แล้วรัฐควรมีหน้าที่อย่างไรต่อเรื่องเหล่านี้
ในเรื่องสิทธิ รัฐมีหน้าที่ 3 อย่าง ปกป้องคุ้มครอง ส่งเสริม และเติมเต็ม ถามว่ารัฐทำอย่างนี้ในกรณีชนเผ่าพื้นเมืองหรือเปล่า คำตอบคือไม่
เราไม่มีโรงเรียนในชุมชน เมื่อไม่มีโรงเรียนในชุมชน เด็กผู้หญิงก็ไม่ได้เข้าโรงเรียน เมื่อไม่ได้เข้าโรงเรียนก็เกิดปัญหาแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย นอกจากจะออกจากปัญหาความยากจนไม่ได้แล้ว ก็จะมีปัญหาเรื่องสุขภาพ เด็กไม่ได้รับการพัฒนาอย่างที่ควรจะเป็น
แค่เป็นชนเผ่าพื้นเมืองก็มีอุปสรรคแล้ว แค่ภาษาที่เราพูดเราก็ถูกทำให้สูญเสียความเชื่อมั่นแล้ว เด็กชนเผ่าพื้นเมืองจำนวนมากที่อยู่ในระบบการศึกษามักจะถูกล้อเลียนเรื่องสำเนียง ภาษาและถูกตั้งคำถามเรื่อง ‘ความเป็นไทย’ เหล่านี้ส่งผลต่อการสูญเสียความเชื่อมั่นที่จะเปล่งเสียง ไม่ใช่แค่เพราะเขาเป็นชนเผ่าพื้นเมืองอย่างเดียว แต่ยังซ้อนกับการที่เขาเป็นผู้หญิงด้วย
อยู่ในบ้านเขาบอกว่าผู้หญิงไม่ควรพูด ไม่ควรเข้าประชุม เข้าประชุมก็เสนอความคิดเห็นอะไรไม่ได้ ไม่มีใครฟัง ควรจะอยู่บ้านเลี้ยงลูก ปัญหาของผู้หญิงจึงไม่เคยถูกพาไปแก้ไขด้วยเลย
ในบริบทเดียวกัน ประสบการณ์ของผู้หญิงและผู้ชายก็ไม่เหมือนกัน ภาวะของการต้องแบกรับความคาดหวังของสังคมไม่เหมือนกัน และสิ่งเหล่านี้เราสนับสนุนผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ขณะที่ผู้หญิงเผชิญกับช่องว่างในการที่จะทำอะไรต่างๆ มากกว่าผู้ชายเสมอ
จากที่ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 100 ผู้หญิงแห่งปี 2023 จาก BBC สิ่งนี้ช่วยสร้างอิมแพ็กต่อประเด็นที่กำลังขับเคลื่อนอยู่อย่างไรบ้าง
แน่นอนว่ามันมีอิมแพ็กมากๆ ค่ะ ก่อนหน้านี้ประเทศไทยอาจจะไม่เห็นการทำงานของเรา แต่การถูกมองเห็นในระดับโลกก็ส่งผลดีต่อเราในระดับประเทศ
เช่น เมื่อไม่นานมารี้เราเพิ่งได้ถูกเสนอชื่อให้รับรางวัล ‘Her Awards’ โดย UNFPA Thailand เป็นรางวัลที่เราภูมิใจมากๆ เพราะรับรางวัลในฐานะ ‘คนเชียงใหม่’ เพราะจริงๆ แล้วส่วนตัวย้ายถิ่นฐานมาอยู่เชียงใหม่มา 20 กว่าปี แล้วเราทำงานในพื้นที่ชายแดน พอได้รับรางวัลนี้เหมือนถูก acknowledgement ได้รับการยอมรับมากขึ้น
รวมถึงการถูกนับเป็น 50 รายชื่อโดยแคมเปญ Mirror 50 ผู้เป็นตัวแทน ‘POWER of NOW: ตอนนี้แหละ เริ่มเลย’ ซึ่งเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นหลังได้รางวัลนานาชาติแล้ว
เพราะฉะนั้นถ้าถามว่ารางวัลนานาชาติมีอิมแพ็กอะไร ประการแรกแปลว่างานที่เราทำมาตลอด 20 ปี ถูกยอมรับในระดับโลก และการที่เราจะถูกยอมรับในระดับโลกได้ก็ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ เขาจะเอารางวัลมาให้เรา มันคือการพยายามทำงานโดยที่เราไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ จากสังคม แล้วกระโดดไปทำงานในระดับนานาชาติ พาปัญหาของประเทศไทยไปร่วมกับปัญหาระดับโลก
รางวัล BBC 100 (100 สตรีผู้เป็นแรงบันดาลใจและทรงอิทธิพลจากทั่วโลก ประจำปี 2023) อยู่ในหมวดของการสร้างทางออกให้กับความไม่เป็นธรรมในด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เราพูดเรื่องนี้มานานแล้ว เพราะเราอยู่ในชุมชนที่ถ้าฝนตกน้ำท่วมปุ๊บ บ้านไหล ดินถล่ม
เวลาไปลงพื้นที่ในชุมชนช่วงหน้าร้อน ก็จะร้อนมากๆ 40 กว่าองศา แล้วปีที่ผ่านมา 45 องศา คิดดูว่าเขาไม่มีไฟฟ้า ไม่มีพัดลม คนในชุมชนใช้วิธีเอาผ้าชุบน้ำคลุมตัวนอน สักพักก็ต้องเอาไปชุบน้ำใหม่ เพราะมันร้อนมากจนทนไม่ได้ แล้วผู้สูงอายุอยู่ยังไง เด็กทารกอยู่ยังไง เขาก็อยู่ด้วยความยากลำบากไง
ยิ่งช่วงที่มี PM2.5 คนในเมืองออกไปออกกำลังกายไม่ได้ ขังตัวเองอยู่ในบ้าน แล้วก็เปิดเครื่องกรองอากาศ เปิดแอร์ด้วย เพราะอากาศร้อน แต่ชุมชนชนเผ่าพื้นเมืองบ้านเป็นไม้ไผ่ เครื่องฟอกอากาศไม่มี ไฟฟ้าไม่มี ผู้สูงอายุมีทุกบ้าน ผู้พิการก็มี เด็กแรกเกิดก็มี ทำให้ได้เห็นภาพผู้สูงอายุและเด็กเล็กๆ ไปต่อคิวใช้เครื่องช่วยหายใจ ในช่วงที่มี PM2.5 สูงๆ และหลังจากนั้นก็จะมีการเสียชีวิตของผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุหรือผู้ที่เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังต่างๆ
สิ่งเหล่านี้เราเห็น เราศึกษา เราพยายามที่จะเข้าใจ และนำไปสู่การเรียกร้องให้รัฐมีความรับผิดชอบที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้โดยที่เจ้าของปัญหามีส่วนร่วมด้วย
ดังนั้นการที่ BBC 100 หรือสังคมระดับโลกเห็นการทำงานของเรา เราก็ถูกเชิญไปพูด เป็นคนไทยคนเดียวด้วยซ้ำไปในปีนี้ที่ขึ้นพูดเวทีระดับโลก แล้วพูดเรื่องชนเผ่าพื้นเมือง เรื่อง LGBTQIA+ เรื่องสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พูดซ้ำๆ เสนอทางออกให้ระดับนานาชาติ
ในประเทศไทยเองก็ไม่ใช่ว่าเราไม่เสนอ เพราะฉะนั้นอิมแพ็กอีกอันหนึ่งนอกจากการถูก acknowledgement ก็คือการที่เรามีทางออกที่มาจากเจ้าของปัญหาอย่างแท้จริง ก็คือเราเองที่เป็นชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อย เราเองที่เป็นผู้หญิง เราเองที่เป็นคนหลากหลายทางเพศ เรารู้ว่าปัญหาคืออะไร
ถ้าแก้ปัญหาด้วยวิธีคิดแบบชายเป็นใหญ่ ด้วยมุมมองของรัฐแบบชนชั้นกลาง ไม่มีทางที่จะแก้ไขปัญหาได้ รังแต่จะเป็นการสร้างปัญหาใหม่ ก็คือการใส่ร้ายว่าพวกเราเป็นผู้กระทำ ทั้งที่จริงๆ แล้วเราไม่มีอำนาจมากพอที่จะทำให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เราไม่มีทางสร้าง PM2.5 นายทุนต่างหาก นโยบายของรัฐต่างหากที่เป็นรากเหง้าของปัญหาอย่างแท้จริง
อีกอย่างหนึ่ง เวลาเราไปพูดเรื่องราวเหล่านี้ในระดับนานาชาติ ชนเผ่าพื้นเมืองจากที่ต่างๆ ก็จะเดินเข้ามาจับมือเราแล้วพูดว่า “เหมือนประเทศฉันเลย”
หรือแม้กระทั่งเราเองเป็นคนที่ผ่านการถูกกระทำความรุนแรงทางเพศมาก่อน เป็นผู้ที่มีชีวิตรอดพ้น ผู้หญิงด้วยกันก็จะเดินมาจับมือแล้วบอกว่า “ฉันด้วย ฉันก็เผชิญกับเรื่องนี้”
ที่สำคัญที่สุดก็คือคนที่มีความหลากหลายทางเพศ โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน เวลาเขาได้ยินสิ่งที่เราให้สัมภาษณ์ เขาก็เดินเข้ามาบอกว่า “ฉันไม่คิดว่าอยากจะมีครอบครัว ขอบคุณมากที่สู้เรื่องการก่อตั้งครอบครัว”
เพราะฉะนั้นเราจะไม่ทิ้งกัน เราจะต่อสู้ไปด้วยกัน เรารู้สึกว่านอกเหนือจากการที่เราได้เป็น 1 ใน 100 ได้พาปัญหาของประเทศไทยไปร่วมขับเคลื่อนในระดับโลกแล้ว เรายังเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ทั้งในบ้านเมืองนี้ แล้วก็ในนานาชาติด้วย
การมีบทบาทของผู้หญิงในสังคมเราที่ถูกอนุญาตให้มองเห็นน้อยกว่าผู้ชาย ทั้งที่เป็นกำลังสำคัญในหลายเรื่อง คิดว่าควรมีการส่งเสริมเรื่องนี้อย่างไร
ได้ยินคำถามนี้แล้วอยากเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟัง ตัวเองเห็นความเหลื่อมล้ำมากเลยจากเรื่องนี้ มีอยู่ปีหนึ่งเราไปขึ้นเวที UN ที่เจนีวา พูดเรื่องสิทธิการก่อตั้งครอบครัว ตอนนั้นกำลังเข้มข้นเลย ประเทศเรากำลังต่อสู้เรื่องสมรสเท่าเทียม ไม่เอา พ.ร.บ.คู่ชีวิต
แล้วเรามีความมุ่งมั่นอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามเราใช้ทรัพยากรของโลกนี้ในการเดินทาง ไปนอนโรงแรม นั่งเครื่องบิน กินข้าวฟรี ได้ทุนไปพูดในระดับนานาชาติ เราต้องมีความรับผิดชอบกลับมาบอกกลับสังคมไทยว่าไปขับเคลื่อนอะไร พูดอะไรต่อนานาชาติ
บางทีเราพิมพ์สเตตัสเราไม่ไหว หรือมันไปได้ไม่ไกลพอ เราก็อยากให้มีนักข่าวมาสัมภาษณ์ จึงติดต่อสำนักข่าวไป เราบอกกับเขาว่า
“ช่วยสัมภาษณ์แล้วก็ลงข่าวให้หน่อยได้ไหมคะ สิ่งที่เราไปพูดมันสำคัญมากเลย”
“อยากให้ลงอะไรก็เขียนมาเลยครับ” คือสิ่งที่สำนักข่าวตอบกลับมา
คือเราติดต่อสำนักข่าวไปเพราะอยากให้ช่วยขยายเสียงเรา เขียนให้เรา แต่ในวันเดียวกันนั้น มีนักเคลื่อนไหวชายได้ขึ้นเวทีระดับโลก โอ้โห นักเคลื่อนไหวทั่วประเทศไทยพากันแชร์ นักข่าวก็สัมภาษณ์ไม่รู้กี่หัว
เขาไม่ได้ผิดอะไร แต่เรารู้สึกว่าเราเองก็ไปเคลื่อนไหวเพื่อประเทศไทยเหมือนกัน แต่ไม่ถูกรับรู้ ไม่ถูกสนับสนุน ไม่ได้รับการช่วยกระจายเสียงได้เท่าเทียมกับผู้ชาย
เราต้องยอมรับว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่ไม่เท่าเทียม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ภาษา วัฒนธรรม เพศ ความหลากหลายทางเพศ เพราะฉะนั้นเมื่อไรก็ตามที่ประเด็นเหล่านี้ผุดขึ้นมาในสังคม ถูกพูดถึงในระดับนานาชาติ คนที่พูดแปลว่าเขากล้าหาญมากเลยนะ เพราะว่าเขาพร้อมที่จะถูกตีตรา พร้อมที่จะถูกกฎหมายปิดปาก
มันมีขั้วตรงข้าม ซึ่งบางทีคือรัฐ บางทีคือทุน แปลว่าไม่ค่อยปลอดภัย เพราะฉะนั้นเราควรที่จะใช้ทุกองคาพยพของสังคมในการปกป้องคนคนนี้ ส่งเสริมคนคนนี้ แต่ในทางปฏิบัติมันไม่เป็นอย่างนั้นเท่าที่ควร
สังคมไทยจะต้อง educate มากกว่านี้ ว่าเราจะต้องส่งเสริมเสียง ส่งเสริมประสบการณ์ของผู้หญิงให้ถูกรับฟัง ถูกมองเห็น แล้วเราต้องตอบสนองต่อเสียงและความต้องการเหล่านี้อย่างเท่าเทียม
เวลาเราไปพูดในระดับนานาชาติ เรามีข้อเสนอต่อชุมชน ว่าชุมชนเองจะต้องสนับสนุนโอกาสการศึกษาของผู้หญิง
เรามีข้อเสนอต่อรัฐว่า รัฐต้องไม่ยุบโรงเรียนขนาดเล็ก กระทั่งต้องมี พ.ร.บ.โรงเรียนขนาดเล็ก เพื่อเอื้อให้ทุกหมู่บ้านมีโรงเรียน แล้วก็ต้องเอาเงินภาษีเรามาใช้ทำโรงเรียน ทำการศึกษา ส่งเสริมและลงทุนให้ผู้หญิง
เพราะถ้าเราสนับสนุนผู้หญิงสักคนหนึ่ง เขาก็สามารถที่จะมีความเข้มแข็ง แล้วคนที่อยู่รายรอบตัวผู้หญิงก็จะเข้มแข็งไปด้วย เพราะฉะนั้นมันมีคุณูประการแบบบวกๆ มากเลย
แต่ถ้าเราไม่ตอบสนอง ไม่มีแอ็กชันกับเรื่องนี้ แปลว่าเรากำลังทิ้งปัญหาที่มันเป็นความเหลื่อมล้ำ และเราจะไม่ก้าวหน้าและพัฒนาเท่าที่ควร เพราะฉะนั้นท้ายที่สุดสังคมไทยจะต้องตอบสนองต่อเสียงและความต้องการต่อผู้หญิง เพราะนั่นคือสิ่งที่เราทิ้งมาตลอด อย่างเช่นผ้าอนามัยต้องฟรี การศึกษาต้องทั่วถึง มีกฎหมายทำแท้ง กฎหมายที่เกี่ยวกับความเป็นเพศทั้งหมด รวมถึงงบประมาณที่จะมาใช้อุดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางเพศ รัฐจะต้องทำหน้าที่เหล่านี้
ถ้ารัฐไม่รู้ว่าจะทำยังไง ก็นี่ไง เราบอกอยู่นี่ว่าเราต้องการอะไร รัฐมีหน้าที่ตอบสนองต่อพลเมือง ต่อคนที่เป็นเจ้าของปัญหา ถ้าทำแบบนี้แล้วไม่เห็นเลยว่าตรงไหนมันจะเสียหาย มีแต่ได้กับได้
เราคิดว่าสังคมไทยต้องตอบสนองและมีแอ็กชันต่อความเหลื่อมล้ำทางเพศ โดยต้องทำให้เห็น เวลาเราบอกว่าทำให้เห็น แปลว่าจะต้องมีกฎหมายและนโยบายออกมา เพื่อจะได้มีงบประมาณรองรับ
อย่างไรก็ดี เราไม่เพียงแค่ถูกกฎหมายและนโยบายควบคุมเท่านั้น คนชนเผ่าพื้นเมืองยังถูกศาสนา วัฒนธรรมแบบชายเป็นใหญ่มาครอบงำและควบคุม เพราะฉะนั้นเราไม่ได้เรียกร้องแค่กฎหมายและนโยบายต้องเปลี่ยน แต่เราเรียกร้องให้เกิดวัฒนธรรมที่เอื้อต่อความเป็นธรรมทางเพศด้วย เช่นเดียวกับศาสนาเองก็ต้องมีการตีความใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับหลักการสิทธิมนุษยชน