“เขาเรียกผมว่าเด็กงอแง”: กบ Big Ass ผู้ใช้สัญชาตญาณและหัวใจที่เต้นแรงนำทางบนถนนสายดนตรี

บ่าย 3 โมงตรงพอดีไม่ขาดไม่เกิน รถยนต์ที่นั่งโดยสารมาชะลอและหยุดลงหน้าบ้านหลังหนึ่ง เราเดินลงมาจากรถโดยมีเจ้าของบ้านยืนรอต้อนรับ กล่าวทักทายด้วยความเป็นกันเอง พร้อมกับเดินมาช่วยขนของ ยกอุปกรณ์เข้าบ้านด้วยความเป็นกันเอง

“เชิญเลยๆ อันนี้น้ำดื่ม ห้องน้ำอยู่ทางโน้น ส่วนสถานที่ก็เซ็ตได้เลย เก้าองเก้าอี้ย้ายได้หมด” อีกหลายประโยคที่บ่งบอกว่าเจ้าของบ้านยินดีต้อนรับ และพร้อมพูดคุยกับเราในวันนี้ 

ช่วงระหว่างเตรียมตัวมีเวลาให้ได้มองสำรวจรอบๆ ตัว เห็นว่ามีตั้งแต่ลู่วิ่ง คอมพิวเตอร์ที่เปิดเกมฟุตบอลค้างไว้ กระดานไวต์บอร์ดที่มีข้อความคล้ายว่าจะเป็นชื่อเพลง โพสต์อิทที่บันทึกไอเดียสั้นๆ หลายแผ่นแปะไว้เกือบรอบบ้าน และกลองไฟฟ้า บรรยากาศที่คลุ้งไปด้วย passion และการมีใจรักในอะไรสักอย่าง 

ที่นี่เป็นทั้งบ้านและที่ทำงานสร้างสรรค์ของ ‘กบ Big Ass’ มือกลองและนักแต่งเพลงที่ผ่านเส้นทางดนตรีมาหลายยุคหลายสมัย ผู้ใช้ความรักเป็นพาหนะในการสื่อสารเรื่องราวที่ตัวเองรู้สึก 

ในฐานะนักแต่งเพลง คุณใส่ตัวตนลงไปในเนื้อเพลงที่ตัวเองแต่งมากน้อยขนาดไหน

ถ้าเป็นของวงตัวเองนั่นคือร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าแต่งให้คนอื่น เราเป็นเหมือนช่างตัดเสื้อ เราก็ต้องออกแบบตามบุคลิก ตามตัวตนของคนร้อง

เพลงของ Big Ass มันมาจากหลายทางมาก แต่เราจำเป็นมากๆ ที่ต้องนึกให้ออกว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง อาจเกิดขึ้นกับเพื่อน เกิดขึ้นกับคนนั้นคนนี้จริงๆ พอมันเกิดขึ้นจริงแล้วเราไม่ต้องไปเดาว่ามันจริงน้อยจริงมาก เพราะถ้ามันเกิดขึ้นยังไงมันก็มีโอกาสที่คนที่เคยอยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างที่เพลงนั้นบอก รับรู้และเข้าใจมันได้เหมือนกัน มันไม่ต้องไปเดาว่ามันใช่หรือเปล่า ถ้ามันเกิดขึ้นจริง อย่างน้อยก็น่าจะมีใครสักคนที่รู้สึกและพบเจอมาเหมือนกับเรา

ในเพลงส่วนใหญ่ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรัก ยังมีสิ่งอื่นนอกเหนือจากความรักซ่อนอยู่ในเพลงหรือไม่

มันมีนะ..แต่ไม่ได้ตั้งใจแฝง ไม่คิดว่าจะต้องเอาคำสอนเข้าไปในเพลง ผมจะสำรวจตัวเองอยู่เสมอ กฎในใจเลยก็คือเราจะไม่เขียนเพลงที่โน้มนำทำให้ใครทำร้ายตัวเอง หรือทำร้ายสังคม 

เรื่องความรัก เราไม่จำเป็นต้องไปยัดเยียดคำสอนว่า เห้ย อกหักเดี๋ยวก็หาย แต่ถ้าเรารู้สึกอย่างนั้นจริง ถ้ามันมากระทบใจเราจริงและเรารู้สึกกับมันมากๆ ว่าเราต้องทำอะไรสักอย่าง ก็ทำมันออกมา เหมือนอย่างที่เล่าบ่อยๆ เรื่องเพลงอกหักของ Bodyslam มันเกิดจากเหลือบไปเห็นแขนของน้องผู้หญิงหั่นลายจนไม่รู้ว่ากี่แผล เลยคิดว่า เออ เอาวะ อย่างน้อยเป็นนักแต่งเพลงต้องทำอะไรได้บ้าง ก็ต้องเขียนเพลงนี่แหละ ก็เลยเขียนเป็นเพลงอกหักขึ้นมา หวังแค่ว่าถ้าน้องคนต่อๆ ไปที่กำลังตัดสินใจทำอะไรแบบนี้ ถ้าเพลงนี้มันไปเบรคเขาได้สัก 2-3 นาที ก็ถือว่าได้ทำหน้าที่แล้ว นั่นก็เป็นความตั้งใจ

หรือเพลงความรักของ Bodyslam มีท่อนหนึ่งเขียนไว้ว่า ‘วันที่คำว่ารัก มันได้ผลักฉันล้มลง’ จริงๆ มันอาจจะเป็นการผลักให้เราเดินต่อไปก็ได้นะ เพราะผมแต่งให้กับน้องคนหนึ่งที่อยู่ในวงการนี่แหละ ฟังเรื่องราวของเขาแล้วเราได้แรงบันดาลใจ เลยคิดว่าถ้าเราได้รับแรงบันดาลใจแบบนี้มาแล้วเราถ่ายทอดออกไป คนฟังได้แรงบันดาลใจเหมือนกับเราที่เคยได้มา ผมว่ามันก็เป็นสิ่งที่เราควรจะทำ แต่ไม่ได้จงใจจะป้อนคำสอนใดๆ ทั้งสิ้น

แล้วมีเพลงที่ไม่ได้ตั้งต้นจากความรักไหม

โห…มากมายนะ มหาศาล แต่ความรักมันเป็นพาหนะใหญ่ที่จะพาไป แต่เพลงที่ไม่ใช่ความรักเผลอๆ จะมากกว่าเพลงที่เป็นความรักอีกนะ

อ้างอิงจากรางวัลสีสันอวอร์ด (Season Awards) ก็ได้ ผมได้รางวัลเพลงยอดเยี่ยมมา 2-3 รางวัลเหมือนกันนะ ซึ่งไม่เกี่ยวกับความรักเลย 

คิดว่าอุตสาหกรรมเพลงมันบังคับให้ต้องทำเพลงรักไหม

ไม่แน่ใจว่าอุตสาหกรรมมันบังคับไหม แต่ผมว่ามันเป็นเรื่องของฮอร์โมนที่มันบังคับมากกว่า คนเรามันใช้พลังไปกับอะไรที่สุด ผมว่าความรักเป็นหนึ่งในคำตอบที่ชัดมากๆ ทำไมเรายอมทำทุกอย่างได้ขนาดนี้เพราะความรัก ทำไมเราถึงเจ็บปวดรวดร้าวได้ขนาดนี้ก็เพราะความรัก ทำไมเราต้องทุ่มชีวิตขนาดนี้ให้กับเขาด้วย มันก็คือความรัก มันเป็นเรื่องฮอร์โมนครับ

แน่นอนบางคนก็จะบอกว่า เห้ย…มันมีเรื่องราวอื่นให้พูดถึงอีกตั้งมากมายให้ถ่ายทอด ก็เหมือนที่บอกว่าอย่างน้อยเราก็ต้องใช้ความรักเป็นพาหนะ แต่ข้างในเนื้อหาถ้ามันพอที่จะจัดวางอะไรใส่ลงไปในนั้นได้บ้าง ถ้ามีโอกาสใส่เราก็ใส่ แต่ถ้าไม่มีโอกาสก็รอเพลงอื่น

แต่ถ้าจะให้ตอบคำถามว่าอุตสาหกรรมบังคับหรือเปล่า ผมว่า ‘ฮอร์โมน’ มากกว่า

ทั้ง Big Ass, Ebola, Bodyslam, Labanoon เพลงของแต่ละวงมีเอกลักษณ์ชัดเจน แต่ในอีกแง่มุมหนึ่งเพลงที่กบ Big Ass เป็นคนแต่งให้แต่ละวงมีจุดร่วมกันตรงไหนบ้างไหม 

จุดร่วมที่ผมตั้งไว้ว่าต้องเหมือนกันคือ ต้องเป็นเรื่องที่เขารู้สึกจริงๆ อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นจริงกับเขา แต่เขาต้องรู้สึกจริงๆ เพราะไม่รู้สึกมันจะกลายเป็นแค่การกระจายเสียง แต่ถ้าเรารู้สึกจริงๆ ไปกับเรื่องราวที่จะเล่า อย่างน้อยเราเชื่อในเรื่องนี้ เวลาร้องออกไปคนฟังก็น่าจะเชื่อไปด้วย แต่ถ้าเราไม่เชื่อใน message ที่เราถ่ายทอด ผมว่าก็ยากที่คนฟังจะเชื่อ

เรียกว่ามันเป็นลายเซ็นในการแต่งเพลงของตัวเองได้ไหม

ผมว่านักแต่งเพลงหลายคนก็ต้องใช้วิธีนี้ เพราะว่าการที่จะไปหาวัตถุดิบจากนักร้องเอามาเขียนร้อยเปอร์เซ็นต์มันไม่ได้หาง่ายๆ แบบนั้น มันเลยจำเป็นต้องหาจุดร่วมกันระหว่างเรากับนักร้อง ก็คือเรื่องอะไรสักเรื่องที่เรารู้สึกกับมันจริงๆ ที่เราคนแต่งรู้สึก และคนร้องก็รู้สึก หาจุดนี้ร่วมกันให้เจอ

กบ Big Ass ในวันนี้ กับกบ Big Ass ในวันที่เริ่มเข้าสู่วงการเพลงแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน

(นิ่งคิด) เป็นคำถามที่ผมไม่เคยเจอนะ กบ Big Ass ในวันนี้ต่างจากกบ Big Ass ในวันแรกยังไงเหรอ แน่นอนแหละเวลาเปลี่ยน คนเราก็ไม่เหมือนเดิม…แน่นอน ไม่มีอะไรเหมือนเดิม…แน่นอน วิธีคิดไม่เหมือนเดิม…แน่นอน 

ตอนนี้กำลังคิดว่ามีอะไรบ้างที่ยังเหมือนเดิมอยู่นะ น่าจะเป็นเรื่องที่ผมเชื่อในสัญชาตญาณ เวลาตัดสินใจอะไรสักอย่าง แม้จะมีข้อมูลมาบอกเราแค่ไหน แต่ทุกครั้งที่ตัดสินใจ ผมตัดสินใจจากความเชื่อล้วนๆ

“เชื่อว่ามันได้ว่ะ” ก็จะทำ

“เชื่อว่ามันใช่ว่ะ” ก็จะตัดสินใจ

เวลาตัดสินใจอะไร ถ้ากบ Big Ass วันนั้น กับกบ Big Ass วันนี้ มันยังเป็นคนที่ใช้สัญชาตญาณในการตัดสินใจเสมอ มันไม่ได้ดูว่าข้อมูลอันนี้ดี อันนี้ไม่ดี ไม่รู้อ่ะ กูจะไปทางนี้ ไอ้กบวันนั้นก็ยังอยู่ในตัวไอ้กบวันนี้อยู่

แต่ว่าเป็นกบที่โตขึ้นมากๆ หรือเปล่า

เวลามันหลอมให้เราช้าลง พอช้าลงเราก็จะไม่บู๊เหมือนแต่ก่อนแล้ว ทั้งวิธีคิดและวิธีทำ แต่ก็ยังถือว่าเร็วกว่าคนอื่นในการบู๊อยู่นะ เพียงแค่ตอนนี้มันใช้เวลาประมวลผลมากขึ้น

นอกจาก ‘เวลา’ คิดว่าอะไรเป็นเบ้าหลอมที่ทำให้เป็นกบ Big Ass ในวันนี้

หนังสือ หนัง หรืออะไรก็ได้ที่ผ่านการเล่า แต่หนังสือให้อันดับหนึ่งเลย จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังนึกไม่ออกว่าถ้าไม่มีหนังสือจะไปอยู่ไหน จริงๆ มันก็เหมือนกับดนตรี แต่กว่าจะมาเจอดนตรี ผมเจอหนังสือก่อน 

หนังสือเล่มแรกที่อ่านเป็นของพี่สาวคือ ทวิภพ พี่สาวชอบอ่านหนังสือมาก ผมก็สงสัยว่าหนังสือมันมีอะไรดี อ่านจนไม่ยอมเปิดไฟ ด้วยความสงสัยก็เลยไปคว้าได้ทวิภพมา อ่านตั้งแต่ 4 โมงเย็น รู้ตัวอีกที 2 ทุ่ม รอบข้างมืดหมดแล้ว มันดูดผมเข้าไปเลย หลังจากวันนั้นเจออะไรก็อ่านหมด

ไม่ได้อ่านเพราะความอยากฉลาด อยากเก่ง อยากเรียนรู้ ไม่เลย มันมีแม่เหล็กเสมอสำหรับผม รู้สึกว่าเราถูกโฉลกกับหนังสือ และเชื่อว่ามันหล่อหลอมให้ผมเป็นแบบนี้

หนังสือส่งผลไปถึงการแต่งเพลงด้วยหรือเปล่า

คนอื่นไม่รู้ยังไงนะ แต่มีหลายคนมาถามว่า อยากเป็นนักแต่งเพลงต้องทำยังไง นี่คือคำตอบเดียวกันก็คือ เราจะใช้อะไรเราก็ต้องกินสิ่งนั้นเข้าไปในตัว เราใช้ตัวหนังสือทำมาหากิน เราก็ต้องกินตัวหนังสือเข้าไปในตัว เพราะเป็นนักแต่งเพลง เราใช้คำ เราก็ต้องกินคำเข้าไป 

วันนี้ผมกลับไปอ่านหนังสือเก่า การอ่านแต่ละครั้งมันไม่เหมือนกันสักครั้ง อ่านจนเปื่อย ผมใช้หนังสือเหมือนเป็นพี่เลี้ยง เหมือนเป็นพระเครื่องสำหรับผมเลย 

ถ้าย้อนกลับไปมองการตัดสินใจของตัวเองที่ทิ้งงานประจำและหันเหสู่วงการเพลงเต็มตัว ถ้าจะบอกว่า ‘รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง’ ได้ไหม

แหม่…(หัวเราะ) คือวัยรุ่นเนาะ ก็กลับมาเรื่องเดิมมันคือ ‘ฮอร์โมน’ มันอยากลองไปหมด โลกมันกว้างสำหรับเราไปหมด มันมีแต่สิ่งที่ต้องลองไปหมด ทั้งผิดและถูก ทุกคนจะเข้าใจว่า ‘อย่ามาเล่นกับไฟ’ มันไม่มีใครเตือนได้หรอก มันคือฮอร์โมนจริงๆ และมันคือสัญชาตญาณ

แล้วทุกวันนี้คิดว่าตัวเองยังมีอยู่ไหม ‘ฮอร์โมน’ ที่อยากจะทำ อยากจะลอง

เออว่ะ…คำถามนี้ดี มันไม่เคยหายไปเลยว่ะ มันไม่เคยหายไปเลย

เวลาที่อะไรเข้ามาในชีวิตแล้วต้องตัดสินใจว่าจะรับทำหรือเปล่า ถ้าหัวใจผมเต้นแรงๆ นั่นแหละผมจะเลือกแบบนั้น ไม่รู้มันคืออะไร แต่จะเรียกมันว่าเป็นสัญชาตญาณหรืออะไรก็ได้

มันมีงานหลายอย่างเข้ามาในชีวิต แต่ทั้งหมดทั้งมวลเท่าที่ผมประมวล ที่ผ่านมางานไหนที่มันสำเร็จ ที่มันโอเค ส่วนใหญ่มันจะเป็นเพราะหัวใจเต้นแรงกับมันตั้งแต่ตอนที่มันเข้ามาในชีวิต

ที่จำได้ดีมากที่สุดคือตอนทำคอนเสิร์ต G19 (Genie fest 19 ปี กว่าจะร็อกเท่าวันนี้) ที่ราชมังฯ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ทำคอนเสิร์ต แล้วคอนเสิร์ตคืออะไร เป็นคำถามที่เด้งขึ้นมาในหัวตอนนั้นคือ ค่ายเขามาชวนเราทำ เราก็บอกทันทีเลยว่าทำไม่เป็น มันต้องเขียนสคริปต์ เลือกวง เลือกเพลง คิดโชว์ทั้งหมด แล้วศิลปินของ Genie ระดับเทพเจ้าทั้งหมด เล่นที่สนามที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย แล้วเอามาให้เราทำ 

ความรู้สึกตอนนั้นคือ “พวกมึงจะบ้าเหรอ” แต่ตอนพูดนี่คือใจสั่น ปฏิเสธทั้งที่ใจสั่น พอกลับมาบ้าน “ไม่ทำๆๆ ไม่เอา” พอขึ้นไปบนห้อง นั่งเขียนเรียงลำดับวงที่จะขึ้นโชว์บนคอนเสิร์ต เอาวงไหนขึ้นก่อนดีวะ สคริปต์และวิธีโชว์ทั้งหมดทำเสร็จภายใน 20 นาที เรานั่งมองแล้วก็รู้สึกว่า “เจ๋งเหมือนกันนะเนี่ย” ทั้งที่เราไม่เคยทำมาก่อน

วันรุ่งขึ้นที่ Genie โทรมา “พี่ว่างไหม บ่าย 2 มาประชุมคอนเสิร์ต G19 หน่อย” เราตอบเลย “ไม่ไป ไม่ว่าง” แต่ใจเต้นแรงมาก “โอเค ไปๆ ไปได้” บอกตัวเองนะว่าถ้าไม่อยากทำก็ไม่ต้องเอากระดาษชิ้นนั้นที่เขียนสคริปต์ทั้งหมดไป แต่สุดท้ายผมพกใส่กระเป๋าไปเลย เก๊กแหละ ไม่รู้นะ แต่ใจมันสั่นมาก 

ระหว่างทางผมร้องไห้ไป 3-4 รอบ ต้องไปสู้รบปรบมือกับอะไรก็ไม่รู้ที่มันหนักและใหญ่เกินไปสำหรับผม แต่ถ้าผมไม่ได้ทำด้วยหัวใจที่สั่นและเต้นแรงแบบนั้น ผมว่าล้มกลางทาง ลาออกแล้ว แต่เพราะหัวใจมันเต้นแรงมากๆ มันคือแรงที่ขับตัวเราให้สู้กับอุปสรรคทั้งหมด 

มันทำให้กลับมาคิดว่า เออว่ะ ถ้าเราไม่ได้ทำด้วยหัวใจที่มีสัญชาตญาณรุนแรงแบบนั้น มันไม่มีทางรอดมาถึงจุดนี้ และทุกครั้งมันก็จะผ่านไปได้ด้วยดี เพราะใจมันเต้นแรงมาก

ถ้าวันหนึ่งงานที่ทำให้ใจเต้นแรงมันไม่มีแล้ว จะทำอย่างไร

ถ้าผมอยากจะทำอะไร ผมมักจะเอาตัวเองไปนั่งอังๆ อิงๆ ข้างๆ กับสิ่งที่อยากจะทำเสมอ ผมจะอยากรู้อยากเห็นมัน แค่ไปอยู่ข้างๆ หัวใจก็สั่นแล้ว ถ้ามันจะตอบคำถามนี้ได้ ผมว่าเมื่อไม่มีอะไรเข้ามา สิ่งที่ดีที่สุดคือเราต้องเดินเข้าไป แล้วก็ออกจากเซฟโซน

อยู่ๆ มีน้องในทีมเดินมาบอกว่า “พี่ มาทำช่องยูทูบกัน รายการคนเขียนเพลง”

“เห้ย…ทำไม่เป็นหรอก” แต่เอาอีกแล้ว ใจสั่นอีกแล้ว

เพราะฉะนั้นเลยคิดว่าเราต้องออกจากเซฟโซน ถ้าสำรวจตัวเองมันอาจจะเจอว่า เพราะเราไม่กล้าก้าวเข้าไปหามันหรือเปล่า หรือเราอาจจะปิดประตูไม่ให้มันเข้ามาแต่แรก ถ้ามันเริ่มต้นด้วยอะไรแถวๆ นี้ ผมว่าถึงแม้มันจะพังกลางทาง แต่เชื่อว่าผมก็จะสนุกกับความพังนั้น

เคยมองหาจุดสูงสุดของการเป็นนักแต่งเพลงไหม แล้วคิดว่าตัวเองเลยจุดนั้นมาหรือยัง

นักแต่งเพลงไม่มีจุดสูงสุดสำหรับผม มันเป็นช่วงๆ มันเป็นยุคสมัย 

แต่ก็คิดว่าผ่านจุดสูงสุดของการเป็นนักแต่งเพลงมาตั้งแต่เพลงที่ผมเขียนให้ Labanoon ชื่อเพลงหนักใจ เพราะการที่ได้เห็นคนเป็นพันเป็นหมื่นร้องเพลงที่เราแต่งต่อหน้าเรา นั่นคือจุดสูงสุด สุดๆ แล้ว นักแต่งเพลงหลายคนก็น่าจะเป็นแบบนี้ จุดสูงสุดคือมีคนรู้สึกไปกับสิ่งที่เราเขียน

ณ เวลาที่เขียนเพลง คิดไว้เลยไหมว่าต้องทำให้คนรู้สึกกับมันให้ได้

ไม่เลย คิดแค่ว่าตัวเรารู้สึกหรือยัง ถ้าเรารู้สึก มันก็หมดหน้าที่แล้ว เราจะรู้สึกว่าทำได้ดีที่สุดแล้ว

แต่ถ้าเรายังไม่รู้สึกกับมัน แสดงว่าเรากำลังหลอกตัวเองอยู่ ถ้าเรารู้สึกกับมันไปแล้ว ไม่มากก็น้อยมันก็ต้องมีคนรู้สึกไปกับเราบ้าง

ถ้าให้นิยาม ‘กบ Big Ass’ ตามความเชื่อของตัวเองจะนิยามว่าเขาเป็นใคร

มีคนนิยามให้แล้ว ตอนแรกฟังก็โกรธนะ แต่พอมาสำรวจตัวเองแล้วก็มองมันให้ลึกจริงๆ กลับชอบมัน เขาเรียกผมว่า ‘เด็กงอแง’

“ไอ้กบ เดี๋ยวมันก็งอแงอีก” ครั้งแรกที่ได้ยินคนพูดประโยคนี้ก็คิดนะว่าเราแย่อย่างนั้นเลยเหรอ แต่พอสำรวจจริงๆ ก็พบว่า เพราะเราเป็นคนงอแง ชีวิตเราเลยมาถึงตรงนี้ 

เราจะทำในสิ่งที่เราจะทำ สิ่งที่เราอยากได้เราต้องทำมันให้ได้ เราจะไม่ทำในสิ่งที่เราไม่ชอบ เราจะไม่ทำตามคำสั่งใคร

พอมาสำรวจตัวเองทั้งหมดแล้ว มันไม่ผิดเลยที่คนเขาจะเรียกแบบนั้น และผมจะเรียกตัวเองแบบนั้น เพราะถ้าผมไม่เป็นเด็กงอแงแบบนั้นต่างหากผมจะไม่มีสิทธิ์มาเป็นแบบทุกวันนี้ ผมอาจจะต้องโอนอ่อนผ่อนตาม ทำในสิ่งที่ไม่ชอบ ทำในสิ่งที่คนอื่นบอกให้ทำ แต่ผมงอแงจะทำอันนี้ให้ได้ ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่แลกกลับมาคือ “ไอ้นี่แม่งทำงานด้วยยาก” 

ผมเชื่อว่าแต่ละคนมีจุดยืนเป็นของตัวเอง เราจะยืนหยัดอยู่ในจุดไหน นั่นคือความหมายของคำว่าจุดยืนของผม ก็คือการที่ฉันจะทำในสิ่งที่ฉันอยากจะทำเท่านั้น

ที่พูดแบบนี้เพราะว่าผมเคยทดลองทำสิ่งที่ไม่ชอบมาแล้ว แล้วรู้เลยว่ามันเสียเวลาชีวิตไปมากตอนที่เราทำงานไปรษณีย์ เรามีชีวิตเดียวนะเว้ย เราต้องเลือกมันดิวะ ผมก็เลยกลายเป็นเด็กงอแง เดินไปลาออกจากงานไปรษณีย์ เพราะตัดสินใจแล้วว่าจะทำในสิ่งที่เลือกเท่านั้น

สิ่งสำคัญคือถ้าเราเลือกที่จะงอแง แล้วก็ต้องทำให้มันสุด ไม่งั้นจะกลายเป็นคนไม่เอาไหน ที่หมายถึงไม่เอาทางไหนสักทาง

ขอบคุณที่ให้คำจำกัดความตัวเราได้ ภูมิใจมากเลยว่ะที่เป็นเด็กงอแง

Author

ศศิพร คุ้มเมือง
วัยรุ่นกระดูกกร๊อบแกร๊บ ชอบเขียน ชอบอ่าน ชอบกินหมูกระทะ

Photographer

เจนจิรา สิริพรรณยศ
คุยกับหมารู้เรื่องกว่าคุยกับปลา มีเพื่อนเป็นหมาทั่วจังหวัดเชียงใหม่ หลงใหลในเรื่องนามธรรม แต่บ้าคลั่งการซื้อโคมไฟมือสอง โดยปกติทำงานวิชวล แต่ก็แอบๆ อยากเขียนด้วยบ้าง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า