“มันคือความเห็นอกเห็นใจค่ะ ซึ่งความเห็นอกเห็นใจ ถือเป็นความฉลาดอย่างหนึ่ง การมีความสามารถ ทำงานเก่ง แต่เห็นใจใครไม่เป็น ไม่ใช่เรื่องน่าอวดหรอกค่ะ”
ประโยคเด็ดจาก กุกยอนซู (รับบทโดย คิมดามี) ที่เมื่อได้ชมแล้วอาจโดนใจชาวออฟฟิศเข้าอย่างจัง
ช่วงเวลาของการส่งท้ายสิ้นปีมีซีรีส์ใหม่ออกมามากมาย ซีรีส์หนึ่งที่น่าสนใจใน Netflix เป็นซีรีส์เกาหลีที่เผยถึงมุมมองในชีวิตที่รู้สึกว่ามัน ‘เรียล’ ซะจนทำให้ใครหลายคนหวนนึกถึงชีวิตมัธยม ในวัยที่เหมือนดอกไม้บาน มีความฝัน มี passion ได้ดีเหลือเกิน
Our Beloved Summer ร้อนนั้นเรารักกัน เป็นซีรีส์ที่ดำเนินเรื่องราวผ่านชีวิตตัวละครที่แสนจะธรรมดาของสองชายหญิงที่แตกต่างกันสุดขั้วอย่าง กุกยอนซู นักเรียนดีเด่นอันดับ 1 ของโรงเรียน กับ ชเวอุง (รับบทโดย ชเวอูชิก) นักเรียนชายซึ่งเป็นที่โหล่ของโรงเรียน
แล้วการที่ทั้งสองต่างกันแบบสุดขั้ว ไม่ว่าจะเป็นลักษณะนิสัย ค่านิยม หรือเป้าหมายในชีวิต แต่ในท้ายที่สุดแล้วพวกเขากลับมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน – ทั้งคู่ต่างตกหลุมรักกันและกัน
ในวัยมัธยมของทั้งสอง มีเหตุจำเป็นให้ต้องมาถ่ายรายการสารคดีคู่กัน เพื่อเล่าชีวิตผ่านมุมมองของ ‘ที่หนึ่ง’ และ ‘ที่โหล่’ และสารคดีนี้ก็ได้รับการเผยแพร่สู่ผู้ชมทั่วประเทศ การต้องเข้าฉากร่วมกันในสารคดีนั้นทำให้ทั้งสองคนได้รู้จักกันมากขึ้นและตกหลุมรักกัน ทว่านั่นก็เป็นเพียงปั๊ปปี้เลิฟ (puppy love) ของวัยรุ่น เพราะ กุกยอนซู มีเหตุผลจำเป็นบางอย่างที่ทำให้ต้องเลิกรากับชเวอุง สุดท้ายต้องแยกย้ายจากกันไป พร้อมความทรงจำที่ทั้งรักทั้งเกลียด เวลาผ่านไป 5 ปี พวกเขาก็ได้กลับมาพบกันอีกครั้งในตอนที่เติบโตและมีหน้าที่การงานของตัวเองแล้ว
ในส่วนของความเรียลที่ว่า มีประเด็นที่น่าสนใจหลากหลายมุมมอง แต่เพียงจะขอหยิบยกบางประเด็นคือเรื่อง ‘Empathy Skill’ หรือความเห็นอกเห็นใจในที่ทำงาน ซึ่งเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเราเสียเหลือเกิน
กว่าที่ช่วงชีวิตหนึ่งของคนเราจะประสบความสำเร็จ มีหน้าที่การทำงานที่เหมาะสมกับตนเองนั้น ในวัยเด็กเรามักจะมีภาพฝันว่า หากตั้งใจเรียนและทุ่มเทอย่างหนักแล้ว โตไปจบปริญญาจะมีหน้าที่การงานดีๆ เป็นอาชีพที่มั่นคง ซึ่งความตั้งใจนั้นก็ฉายภาพออกมาได้คล้ายคลึงกับเรื่องราวของตัวละคร กุกยอนซู ที่เป็นนักเรียนอันดับ 1 ของห้อง ที่มีความตั้งใจแน่วแน่กับการเรียน ด้วยหวังว่าจะมีอนาคตที่ดี
แต่เมื่อเธอเติบโตและเข้าสู่ชีวิตวัยทำงานจริงๆ ก็ได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเองอยู่บ่อยครั้งว่า “นี่มันไม่เหมือนที่คิดไว้เลย” ราวกับว่านี่เป็นคำตอบของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่
การทำงานในชีวิตจริงนั้น หลายคนอาจต้องเจอกับอุปสรรคต่างๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาระหน้าที่ งานที่ชอบ เพื่อนร่วมงาน แม้กระทั่งหัวหน้างาน ทว่าในระดับพนักงานประจำคงจะคุ้นชินกับภาพจำที่ว่า หัวหน้างานมักจะต้องโหด เจ้าระเบียบ และเนี้ยบที่สุดอย่างแน่นอน
แน่นอนว่าในซีรีส์ Our Beloved Summer ก็มีตัวละครหัวหน้างานอย่าง อีจุนฮยอก รับบทเป็น หัวหน้าทีมจางโดยุล หัวหน้าทีมสุดเนี้ยบ ผู้รักและทุ่มเทให้กับการทำงานเป็นชีวิตจิตใจ และหมายมั่นว่าทุกอย่างจะต้องเพอร์เฟ็คต์ หัวหน้าจางเป็นคนพูดตรงแบบขวานผ่าซาก แต่ก็ยังมีมุมอ่อนโยนให้พอได้เห็นบ้าง ซึ่งก็มีน้อยคนนักจะได้สัมผัสมุมนี้ของหัวหน้าจาง นั่นก็คือ กุกยอนซู
กุกยอนซู เป็นหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ เธอได้นำเสนอโปรเจ็คต์พิเศษที่ต้องร่วมงานกับนักวาดภาพประกอบชื่อดังที่ไม่มีใครเคยเห็นหน้า กุกยอนซูเสนองานให้แก่หัวหน้าทีมจางโดยุล แต่กว่าที่เขาจะยอมรับฟังเธอจนจบการนำเสนอนั้น บรรยากาศในห้องประชุมล้วนเต็มไปด้วยความดุเดือด ด้วยความที่เป็นหญิงเก่งใจสู้ของกุกยอนซู การนำเสนองานจึงผ่านไปได้ด้วยดี แต่เธอเองกลับรู้สึกไม่ดีอย่างมากที่หัวหน้างานไม่รับฟังงานของเธอทั้งหมดด้วยความตั้งใจ แถมยังพูดจาท้าทายถากถางเสียอีก
จนกระทั่งเหตุการณ์สุดพีคได้เกิดขึ้น เมื่อหัวหน้าทีมจางโดยุลได้กระทำการฝ่าฝืนสัญญาและไม่เคารพต่อศิลปินที่เป็นนักวาดภาพประกอบชื่อดัง กุกยอนซูจึงแนะนำหัวหน้าทีมว่าการทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ทว่าสิ่งที่ได้รับตอบสนองกลับมาคือ “น่าผิดหวังนะ นึกว่าเธอจะรู้จักแยกแยะเรื่องงานกับอารมณ์ส่วนตัวเสียอีก” ด้วยความที่กุกยอนซูยังเห็นว่า หัวหน้าทีมจางโดยุลนั้นยังมีมุมที่อ่อนโยนอยู่บ้าง เธอจึงให้เหตุผลกลับไปเพื่อตักเตือนเขาอีกสักครั้งว่า
“มันคือความเห็นอกเห็นใจค่ะ ซึ่งความเห็นอกเห็นใจ ถือเป็นความฉลาดอย่างหนึ่ง การมีความสามารถ ทำงานเก่ง แต่เห็นใจใครไม่เป็น ไม่ใช่เรื่องน่าอวดหรอกค่ะ”
สิ่งที่กุกยอนซูอยากจะสื่อสารกับหัวหน้าทีมจางโดยุลของเธอมากที่สุด คงจะเป็นการที่อยากให้หัวหน้าได้เรียนรู้ที่จะมี ความเห็นอกเห็นใจในที่ทำงาน หรือ Empathy Skill บ้างเท่านั้น
Empathy คืออะไร ก็คือความสามารถในการเข้าใจคนอื่นในมุมมองของพวกเขาที่มีต่อเหตุการณ์นั้นๆ การมีความเห็นอกเห็นใจจะช่วยให้เราเข้าใจมุมมอง ความคิดเห็น หรือความรู้สึกของคนอื่นที่มีต่อเหตุการณ์ต่างๆ ได้
แล้วอะไรคือความสำคัญของ Empathy ในที่ทำงาน
- Empathy เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยทำให้แต่ละคนเข้าใจกันในมุมมองที่หลากหลาย ซึ่งจำเป็นในการสร้างบรรยากาศของความเป็นกลุ่ม และสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในที่ทำงาน
- 80 เปอร์เซ็นต์ของพนักงานในกลุ่ม Millennials ลาออกจากงานเพราะที่ทำงานขาด Empathy และมากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของบุคลากรในกลุ่ม Babyboomers ลาออกจากงานเพราะที่ทำงานขาด Empathy
ทักษะ Empathy เริ่มต้นที่ตนเอง
การฝึกการเห็นอกเห็นใจด้วยการนึกถึงผู้อื่น สามารถทำได้ด้วยวิธีการสมมุติตัวเองในบทบาทของคนอื่น ในจุดที่คนอื่นเป็น สวมบทบาทเป็นใครสักคน อย่างเช่นเพื่อนร่วมงาน ลูกค้า หรือคนที่รู้จัก แล้วลองนึกถึงสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับเขาดูว่า ในเหตุการณ์หนึ่ง หากเขาได้รับการปฏิบัติในลักษณะนี้ จะมีท่าทีหรือการตอบโต้อย่างไร
ทักษะการรับฟังอย่างลึกซึ้ง
การฟังคนอื่น ไม่ใช่เป็นเพียงการทำความเข้าใจคนอื่นเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยให้คนที่มีความทุกข์ใจได้รับการเยียวยาและระบายออกมาได้ด้วย เมื่อหัวหน้าหรือผู้จัดการมีทักษะการรับฟังอย่างลึกซึ้ง และสามารถใช้กับลูกน้องหรือสมาชิกในทีมแล้ว จะทำให้ความไว้วางใจระหว่างทีมสามารถเกิดได้ง่ายขึ้น ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานกับทีม อีกทั้งยังทำให้พนักงานมีความสุข
ทักษะระหว่างบุคคล
การมีทักษะระหว่างบุคคล คือการเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการปฏิสัมพันธ์กันของมนุษย์ การเข้าใจมุมมองที่แตกต่างกันในแต่ละคน เช่น ในบางภาษาที่ใช้ในการสื่อสารเพื่อแสดงออกถึงความต้องการของตนเอง อาจมีความแตกต่างกับเพื่อนร่วมงาน ความแตกต่างจากประสบการณ์ การใช้ชีวิต วัฒนธรรมที่ต่างกัน จนเขาอาจจะไม่เข้าใจความความหวังดีที่เราสื่อสารออกไปได้ ซึ่งนั่นคือมุมมองที่แตกต่างกันของผู้คน เราจึงต้องเรียนรู้ความหลากหลายของคนอื่นๆ เช่นกัน
การเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ถือเป็นทักษะสำคัญที่จำเป็นอย่างมาก ไม่ใช่แค่เพียงในที่ทำงานเท่านั้น แต่อาจเป็นสถานที่ใดก็ได้บนโลกใบนี้ หากที่แห่งนั้นมีผู้คน มีความหลากหลายในการอยู่ร่วมกัน
การทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน และเห็นอกเห็นใจกันนั้นเป็นเรื่องที่ดี Empathy ก็เป็นอีกหนึ่งในวิธีการสื่อสาร ซึ่งเราทุกคนควรที่จะได้รับการปฏิบัติต่อกันอย่างเท่าเทียม เพราะไม่ว่าจะเป็นใคร หรือหัวใจจะแข็งแกร่งอย่าง กุกยอนซู ขนาดไหน ทุกคนล้วนต้องการความเห็นอกเห็นใจอย่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกันทั้งสิ้น
นั่นเป็นเพราะว่าเราไม่จำเป็นต้องเป็น ‘คนเก่ง’ ที่ต้องหยิ่งยโส เย็นชาใส่ผู้อื่น เพียงเพราะเอางานเป็นที่ตั้งอย่างเดียว ลองอ่อนโยนกับผู้อื่นและตัวเองดูเสียบ้างก็ได้