เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2567 ที่บริเวณประตู 4 ทำเนียบรัฐบาล ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) ร่วมกับ Protection International (PI) จัดเวทีเสวนา ‘จากเวทีโลกสู่หัวใจคนจน : ไทยในคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนกับการต่อสู้ของพีมูฟเพื่อสิทธิและความยุติธรรม’ โดยมีวิทยากรประกอบด้วย อังคณา นีละไพจิตร ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิฯ และประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ธีรเนตร ไชยสุวรรณ ประธานพีมูฟ ปรานม สมวงศ์ ตัวแทนจาก Protection International ศิรวีย์ ทิพย์วงศ์ ตัวแทนพีมูฟและผู้หญิงนักปกป้องสิทธิฯ จากเครือข่ายชุมชนเพื่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง (คปสม.) กัญญรัตน์ ตุ้มปามา ตัวแทนพีมูฟ และผู้หญิงนักปกป้องสิทธิฯ จากสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ
ปรานม กล่าวว่า ประเทศไทยเพิ่งได้รับการเลือกให้เป็นหนึ่งคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Human Rights Council: UNHRC) ซึ่งเป็นโครงสร้างระดับสูงสุดของสหประชาชาติที่ดูแลเรื่องการปกป้องสิทธิมนุษยชน ก่อตั้งเมื่อปี 2549 และเป็นปีที่เกิดรัฐประหารในไทย คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ มีเป้าหมายให้ประเทศสมาชิกของ UN ส่งเสริมความรับผิดชอบและปรับปรุงสถานการณ์สิทธิมนุษยชน ผ่านกลไกการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของแต่ละประเทศโดยคณะทำงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชน (UPR)
ส่วนอีกกลไกคือผู้เชี่ยวชาญพิเศษหรือผู้รายงานพิเศษของสหประชาชาติ เช่น 7 คดีที่รัฐบาลมอบให้พีมูฟต้องมีการตรวจสอบ ทั้งนี้การที่ประเทศไทยได้รับการคัดเลือกให้เป็นคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ หมายถึง เราได้รับการยอมรับบทบาทด้านสิทธิมนุษยชนในระดับประเทศ ซึ่งนั่นไม่ได้หมายความว่าเป็นเครดิตของรัฐบาลไทย แต่เป็นบทบาทการเรียกร้องจากภาคประชาชน ถ้าไม่มีพีมูฟหรือเพื่อนๆ หลายขบวนการภาคประชาชนที่ลุกขึ้นมาบอกว่าปัญหาของสิทธิมนุษยชนคืออะไร รัฐบาลไม่มีทางทราบ ดังนั้นเครดิตต้องกลับไปที่นักปกป้องสิทธิฯ ประชาชน และขบวนเคลื่อนไหวทางสังคมทุกขบวนที่ปกป้องสิทธิมนุษยชนจนทำไทยได้รับการยอมรับในทางสากล
จี้ ‘นายกฯ แพทองธาร’ ฟังข้อเรียกร้องแก้ปัญหาพีมูฟ
ปรานม กล่าวต่อว่า การชุมนุมครั้งนี้ไม่ได้มาขับไล่รัฐบาล จึงอยากให้นายกฯ อ่านหนังสือข้อเรียกร้องของภาคประชาชนที่ส่งไปให้ก่อนหน้านี้ และขอเชิญนายกฯ มานั่งเป็นประธานแก้ปัญหาของสมาชิกพีมูฟ ทั้งนี้ภาพลักษณ์ที่ไทยไปสร้างในเวทีระหว่างประเทศสำคัญก็จริง แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือหัวใจของพี่น้องประชาชนที่ไม่ยอมให้ถูกย่ำยีจากความละเลยของรัฐ การยอมรับบทบาทของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศไม่ใช่ผลงานของรัฐบาล เพราะรัฐบาลเพิ่งเข้ามาไม่ถึง 100 วัน อีกทั้งรัฐบาลเก่าที่รับปากพีมูฟไว้ก็ไม่ได้ทำต่อเนื่อง ขอให้สำนึกว่าความเชิดหน้าชูตาในเวทีระหว่างประเทศของรัฐบาลเป็นปฏิบัติการของนักปกป้องสิทธิฯ และประชาชนทุกคนในประเทศนี้
วันนี้ (15 ตุลาคม 2567) นายกฯ ต้องมารับข้อเสนอแก้ไขปัญหาของประชาชน ถ้ารัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ยังละเลยต่อข้อเสนอของพีมูฟ ไม่ยอมมานั่งเป็นประธานในการแก้ปัญหาที่เรียกร้อง จะเป็นสัญญาณทางลบที่ย้อนแย้งกับสิ่งที่รัฐบาลให้คำมั่นสัญญาไว้ ภาพลักษณ์ของไทยจะสมศักดิ์ศรีได้ก็ต่อเมื่อประชาชนได้รับความยุติธรรม อยู่ดีกินดี แต่ต้องมีสิทธิพลเมือง มีสิทธิทางการเมือง มีสิทธิเสรีภาพ รวมถึงเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การแสดงออกในการรวมตัวชุมนุม และต้องมีเสรีภาพในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เปลี่ยนโครงสร้างของประเทศนี้ด้วย
ประธานพีมูฟระบุรัฐบาลเพิกเฉย 10 ข้อเสนอเร่งด่วน ย้ำต้องแก้รัฐธรรมนูญ
ส่วนธีรเนตร กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือการระงับยับยั้งไม่ให้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชนไปมากกว่านี้ เรามาชุมนุมแล้ว 8 วัน แต่รัฐบาลไม่สนใจใยดีหรือมารับข้อเสนอของประชาชนเลย โดยเรามีข้อเสนอ 10 ด้านใหญ่ๆ ผลักดันตั้งแต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ การกระจายอำนาจ การปฏิรูปกระบวนการยุติรรม เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จำเป็นเร่งด่วนทั้งนั้น โดยเฉพาะการแก้รัฐธรรมนูญที่ต้องมีการเลือกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) 100 เปอร์เซ็นต์ เราจากบ้านมาแต่ได้รับการเพิกเฉยจากรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลที่แล้วนำโดยนายเศรษฐา ทวีสิน มีกลไกแก้ปัญหาร่วมกัน นำเข้าเป็นมติ ครม. วันที่ 10 และ 16 ตุลาคม 2565 ตอกย้ำว่าพีมูฟผลักดันเรื่องลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำและตัดวงจรการละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่กลับถูกเพิกเฉยจากรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เรากังวลอย่างยิ่ง
เปิดพื้นที่หาข้อยุติปัญหาประชาชน ทำตามคำมั่นไม่หลอกลวงเวทีโลก
ประธานพีมูฟ กล่าวต่อว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาไทยได้รับเลือกเป็นหนึ่งในคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ จึงเสนอให้เปิดพื้นที่เพื่อหาข้อยุติหรือพื้นที่สร้างสรรค์ในการแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนและสิทธิชุมชน แต่วันนี้ยังไม่ได้การตอบรับจากรัฐบาลเลย จึงเป็นคำถามในใจว่าการที่รัฐบาลไปให้คำมั่นกับเวทีสากลว่าจะส่งเสริมและหารืออย่างสร้างสรรค์กับผู้มีส่วนได้เสีย ภาคประชาชน ประชาสังคม ชุมชน ในเรื่องการผลักดันสิทธิมนุษยชนในประเทศไว้เป็นตัวอักษรนั้นดีมาก แต่ในทางปฏิบัติเรากลับถูกเพิกเฉย เพราะหลังให้คำมั่นในเวทีสากลของผู้นำประเทศกลับไม่ได้ปฏิบัติตาม และสถานการณ์การละเมิดสิทธิต่างๆ ตลอดจนการออกกฎหมายที่ละเมิดสิทธิของประชาชนจะรุนแรงขึ้นหรือไม่ เป็นสิ่งที่เราอดกังวลใจไม่ได้
“เรายินดีกับประเทศไทย เราคาดหวังว่าเป็นเวทีหนึ่งที่นายกฯ จะทำความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนสากล และหันกลับมามองที่พีมูฟ รัฐบาลไทยไปให้คำมั่นกับเวทีระดับโลกไว้ พีมูฟพยายามผลักดัน ยื่นหนังสือก็แล้ว ผลักดันมาแล้ว 8 วัน มีประชุม ครม. หวังว่านายกฯ จะมารับฟังประชาชน เพื่อตอกย้ำว่าสิ่งที่ไปให้คำมั่นในเวทีสากล ไม่ได้หลอกลวงเวทีโลก คำที่บอกว่าไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เป็นคำพูดที่เหมือนกับรัฐบาลที่ผ่านๆ มา แต่สุดท้ายคำนี้จะกลับมาทำลายรัฐบาลเอง เราต้องการการสนับสนุนที่จริงใจไม่ใช่การสร้างภาพ” ธีรเนตร กล่าว
คปสม. ขอให้ UNCHR ปกป้องสิทธิสตรี ส่งเสริมการมีส่วนร่วม
ขณะที่ศิรวีย์ กล่าวว่า ในฐานะนักปกป้องสิทธิฯ เรื่องแรกที่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดในการต่อสู้เพื่อรักษาสิทธิคือโครงสร้างอำนาจรัฐที่ไม่เป็นธรรม รัฐพยายามกดดัน กดขี่ด้วยการออกกฎหมาย หรือนโยบายต่างๆ ที่ทับซ้อนปัญหาในพื้นที่ของพี่น้องประชาชน เพราะขาดการมีส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมายการพัฒนา ดังนั้นจึงต้องปฏิรูปอำนาจรัฐ และกระจายอำนาจสู่ประชาชนโดยตรง ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามาร่วม
เรื่องที่สอง อุปสรรคที่จะนำปัญหาของเราเข้าสู่เวทีสากล คือนายกฯ ที่เป็นตัวแทนในคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ แต่พีมูฟมานั่งหน้าทำเนียบ 7-8 วันแล้ว ยังไม่มีตัวแทนมาเจรจาหรือรับข้อเสนอ วันนี้ประเทศไทยยังมีปัญหาทับซ้อนอีกมากมาย แต่ผู้นำประเทศไม่เคยหันมามอง จึงเป็นไปได้ยากที่จะนำปัญหายกระดับไปสู่สากลได้ ดังนั้นการเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ จะส่งเสริมนักปกป้องสิทธิได้หรือไม่นั้น จึงเป็นเรื่องยาก เพราะทั้งในระดับประเทศและในระดับสากลรัฐยังไม่เคยหันมามองปัญหาของประชาชน ยกตัวอย่าง สิทธิในการชุมนุมที่รัฐต้องบริการประชาชน แต่วันนี้รัฐบริการด้วยการปิดถนนทั้งหัวและท้าย
“วันนี้เราหมดหวังกับรัฐบาล แต่เรายังต้องหวัง เพราะเราแบกความหวังมาจากบ้าน ถ้าเรากลับไปโดยที่ลงทุนไว้สูง เราคนจนไม่มีทุน ก็เท่ากับติดลบ มันก็เป็นปัญหากับพี่น้องที่รออยู่ที่บ้าน ผู้ชายต้องอยู่บ้านทำนา ทำสวน ส่วนผู้หญิงลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิให้กับครอบครัว หวังว่าการเป็นคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ จะนำไปสู่การปกป้องสิทธิของผู้หญิง และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน เยาวชน กลุ่มเปราะบาง รัฐสวัสดิการต่างๆ ที่เราไม่อยากได้ในเชิงการสงเคราะห์ แต่ต้องเป็นหน้าที่ซึ่งรัฐต้องดูแล และต้องดำเนินตาม 10 ข้อเสนอของพีมูฟ” ศิรวีย์ กล่าว
‘สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ’ ขอรัฐบาลแก้ปัญหาที่ดิน-สร้างรัฐสวัสดิการ
กัญญารัตน์ กล่าวว่า ส่วนใหญ่พีมูฟต่อสู้เรื่องสิทธิในที่ดินทำกิน และสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เราเป็นคนจน กว่าจะได้ที่ดินมาเข้าถึงยากมาก เราไม่สามารถเข้าถึงสิทธิได้ แม้เราอยู่บนที่ดินที่เป็นถิ่นฐานเดิม อาจเป็นบนดอย หรือทะเล มันเป็นวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของแต่ละชุมชน ซึ่งต้องให้ชุมชนจัดการตัวเอง แต่นโยบายของรัฐที่มาครอบ ทำให้การจัดสรรที่ดินให้พี่น้องคนจนไม่สอดคล้องกับความต้องการของชุมชน เพราะประชาชนไม่ได้ร่วมแสดงความคิดเห็น ที่ดินยังเป็นที่ดินของรัฐอยู่ดี มีกฎเกณฑ์ให้ทำกินแค่ 20 ปี ไม่รู้ว่าภายภาคหน้าจะถูกเรียกคืนหรือไม่ และจะกลายเป็นของกลุ่มทุนหรือใครคนใดคนหนึ่งหรือไม่
กัญญารัตน์ กล่าวต่อว่า อีกนโยบายที่รัฐต้องแก้ไขคือรัฐสวัสดิการ ตั้งแต่เงินอุดหนุนแรกเกิด 600 บาท ที่ไม่พอแม้ค่านม 1 กระป๋อง หรือเบี้ยผู้สูงอายุ 600 หรือ 800 บาท เฉลี่ยวันละ 20 บาท ซึ่งไม่พอในยุคข้าวยากหมากแพงเช่นนี้ รัฐต้องดูแลคุ้มครองนักสิทธิมนุษยชน ให้พื้นที่ปลอดภัย ไม่ใช่มาเรียกร้องสิทธิแล้วมีคดีความติดตัวกลับบ้าน ทั้งนี้ภาคประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายของรัฐต้องกล้าออกมาเรียกร้องสิทธิ ไม่ต้องกลัว และอยากให้รู้ว่าพีมูฟปักหลักที่ประตู 4 ทำเนียบและจะอยู่ต่อไป ประชาชนอยากมาร่วมก็มาได้ ทั้งนี้เมื่อไทยเป็นคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ อยากให้ปกป้องดูแลนักสิทธิมนุษยชนให้ดีขึ้น นายกฯ ควรออกมารับปัญหาของพี่น้องพีมูฟเพื่อนำไปแก้ไข
“หวังว่านายกฯ จะนำตำแหน่งนี้มาส่งเสริมนักสิทธิมนุษยชนคนไทย หวังว่าเราจะได้รับความคุ้มครองอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย และไม่โดนคดีความหลังการเรียกร้องสิทธิครั้งนี้ หวังว่านายกฯ จะทบทวนกฎหมายนโยบายต่างๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน ส่งเสริมรัฐสวัสดิการ ทั้งเด็ก คนชรา ให้อยู่ดีกินดีในยุคข้าวยากหมากแพง” กัญญารัตน์ กล่าว
สว.อังคณา จับตารัฐบาลให้คำมั่นแล้วทำจริงหรือไม่
ด้านอังคณา กล่าวว่า ต้องย้อนกลับไปดูนโยบายของรัฐบาลที่เน้นเรื่อง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม แต่ไม่ได้เน้นเรื่องสิทธิมนุษยชน หวังว่านายกฯ จะมารับทราบปัญหาและนำไปแก้ไข ทั้งนี้ข้อท้าทายที่ประเทศไทยเข้าไปนั่งในเก้าอี้คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ มีกลไกระดับนานาชาติที่มี 190 ประเทศทั่วโลกเป็นสมาชิก เพื่อดูว่ารัฐบาลให้คำมั่นแล้วทำจริงหรือไม่ หวังว่าพรุ่งนี้นายกฯ จะเดินเข้ามาหาถามความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชน เพราะพวกเราไม่ได้อยากอยู่นาน ไม่อยากมานอนที่ตรงนี้
อังคณา ยังกล่าวต่อว่า ตั้งแต่มีนายกฯ เศรษฐา มาถึงแพทองธาร ซึ่งมาจากคนที่มีฐานะดี เป็นคนรวย ในขณะเดียวกันชาวบ้านยังยากจนอยู่ เข้าไม่ถึงรัฐสวัสดิการต่างๆ การที่ชาวบ้านมาในวันนี้ ถ้ารัฐบาลจะถือโอกาสนี้ในการโน้มตัวมาคุยกับพวกเราก็จะถือเป็นภาพที่ดี
ตำรวจปิดทางเข้าออกพื้นที่ กระทบเสรีภาพการชุมนุม
หลังเสร็จสิ้นเวทีเสวนาเมื่อวานนี้ มีสถานการณ์ตึงเครียดเกิดขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำกำลังพร้อมแผงเหล็กมาปิดกั้นทางเข้าออกการชุมนุมของพีมูฟ ทำให้ประชาชนที่เข้าร่วมการชุมนุมไม่สามารถอาบน้ำใช้ห้องน้ำได้ เพราะเมื่อเดินออกไปแล้วเจ้าหน้าที่ก็จะไม่ให้กลับเข้าไปอีก
อีกทั้งรถเสบียงที่ขนอุปกรณ์หุงหาอาหารของสมาชิกที่เป็นพี่น้องมุสลิมก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าในพื้นที่ รวมทั้งมีเด็กอายุ 4 เดือนที่แม่ต้องมาร่วมชุมนุมเพราะต้องการให้รัฐบาลแก้ไขความเดือดร้อนด่วน
ทั้งนี้ในการเจรจา ตัวแทนพีมูฟพยายามขอเอกสารคำสั่งของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นลายลักษณ์อักษร เพราะพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 เจ้าพนักงานผู้รับผิดชอบต้องสั่งการเป็นลายลักษณ์อักษรให้ผู้จัดการชุมนุม แต่ตำรวจไม่สามารถนำมาแสดงได้
กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ข้อ 21 ระบุชัดเจนว่าประชาชนมีสิทธิในการชุมนุมอย่างสันติ และการจำกัดสิทธิต้องเป็นไปอย่างสมเหตุสมผล รัฐมีหน้าที่ไม่เพียงแต่จะต้องไม่ขัดขวาง แต่ยังต้อง อำนวยความสะดวก ให้การชุมนุมอย่างปลอดภัยและเสรี