photo: Thai News Pix
- 5 กรกฎาคม 2564 เกิดเหตุการณ์เพลิงไหม้ ‘โรงงานหมิงตี้’ ผู้ผลิตโฟมและพลาสติกสำหรับขึ้นรูปเป็นวัสดุหรือผลิตภัณฑ์ นอกจากมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตในครั้งนั้น ผลพวงของเพลิงยังก่อให้เกิดการปลดปล่อยมลพิษออกสู่สิ่งแวดล้อมเป็นวงกว้าง ผู้รอดชีวิตและชุมชนโดยรอบโรงงานที่สูดดมสารพิษเข้าไปนั้น เป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพในระยะยาว
- 18 มกราคม 2564 กรมควบคุมมลพิษเข้าตรวจสอบโรงงานในจังหวัดฉะเชิงเทรา กรณีลักลอบทิ้งของเสียภาคอุตสาหกรรมในอ่างเก็บน้ำลุ่มน้ำโจนแห่งที่ 16
- มลพิษทางอากาศที่มีอันตรายต่อสุขภาพมากที่สุด คือ ฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ PM2.5 ซึ่งเป็นภัยต่อสุขภาพที่คนไทยเผชิญมาหลายปี มีแหล่งกำเนิดทั้งจากการคมนาคมขนส่ง การผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล การเผาในที่โล่ง และอุตสาหกรรมการผลิต ฯลฯ
เหตุการณ์ที่ยกมานี้ เทียบจำนวนไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในทุกๆ วัน จากเหตุการณ์สารเคมีรั่วไหล โรงงานปล่อยสารพิษลงสู่แหล่งน้ำชุมชน น้ำมันรั่ว ท่อก๊าซระเบิด การปล่อยสารมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมทั้งในรูปของมลพิษทางอากาศ น้ำเสีย มลพิษในดิน และของเสียอันตรายอื่นๆ ที่นอกจากส่งผลกระทบทำลายสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ หลายๆ ความสูญเสียที่ตามมาคือชีวิตของผู้คนนับไม่ถ้วน
หรือกระทั่งว่า เราแทบไม่มีทางรู้ถึงสารพิษที่ปนเปื้อนอยู่ในอากาศที่เราสูด น้ำที่เราดื่ม พืชผักอาหารที่เรากิน…เราไม่มีทางรู้ หรือมารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อเจ็บป่วยร่อแร่
“ทำไมเราถึงไม่รู้” คำถามนี้จึงสำคัญ
ประเทศไทยไม่มีการตรากฎหมายเพื่อพัฒนาระบบการรายงานและเปิดเผยข้อมูลการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม หรือที่เรียกว่า Pollutant Release and Transfer Registers (PRTR)
กฎหมายควบคุมการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษ หรือ PRTR คือกฎหมายที่บังคับให้โรงงานอุตสาหกรรม ‘เปิดข้อมูล’ การปล่อยและเคลื่อนย้ายสารมลพิษ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเปิดเผยต่อสาธารณชนเกี่ยวกับชนิดและปริมาณของสารเคมีหรือมลพิษที่มีการปลดปล่อยจากแหล่งกำเนิด มลพิษสู่สิ่งแวดล้อม รวมถึงข้อมูลการนำน้ำเสีย หรือของเสียที่มีสารเคมีหรือมลพิษออกจากแหล่งกำเนิดไปบำบัดหรือกำจัด
กฎหมาย PRTR จะสามารถบังคับให้โรงงานอุตสาหกรรมเปิดเผยข้อมูลการปล่อยมลพิษที่เกิดจากการผลิตภายในโรงงาน เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลและตรวจสอบที่มาของมลพิษใกล้ตัวที่อาจส่งผลต่อสภาพแวดล้อม ที่อยู่อาศัย โดยมีหลักเกณฑ์ในการตรวจวัดมลพิษชัดเจน ที่ภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ต้องรายงานต่อกรมควบคุมมลพิษ ขณะเดียวกัน กฎหมายดังกล่าวจะเป็นตัวช่วยให้ประชาชนมีข้อมูลเบื้องต้นในการป้องกันและรับมือจากผลกระทบของปัญหามลพิษเหล่านี้
กว่า 50 ประเทศทั่วโลกมีการออกกฎหมาย PRTR และนำไปประยุกต์ใช้ ซึ่งประโยชน์ของ PRTR เป็นที่ยอมรับทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม และภาคประชาชน ดังนี้
- เป็นข้อมูลพื้นฐานเพื่อกำหนดนโยบายสิ่งแวดล้อม
- กำหนดแนวทางวางแผนป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษ
- ติดตามตรวจสอบการบังคับใช้กฎหมาย การวางแผนรองรับเหตุฉุกเฉิน
- ลดการใช้สารเคมีเป็นพิษในกระบวนการผลิตและลดการปล่อยมลพิษจากโรงงาน
- ความปลอดภัยด้านสารเคมีของผู้ประกอบการและคนงาน
- การมีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ปัญหามลพิษร่วมกับหน่วยงานรัฐ
- การเข้าถึงข้อมูลการจัดการสารเคมีเพื่อเป็นเครื่องมือในการป้องกันตนเองจากมลพิษ
- เป็นแหล่งข้อมูลสำหรับพนักงานดับเพลิง โรงพยาบาล ตำรวจ หน่วยกู้ภัย หน่วยปฏิบัติการฉุกเฉินเมื่อเกิดอุบัติภัยสารเคมี
อย่างไรก็ตาม ในจำนวนกว่า 50 ประเทศที่ว่านั้น ไม่มี ‘ประเทศไทย’ รวมอยู่ด้วย นี่จึงเป็นจุดเริ่นต้นของการรวบรวม 10,000 รายชื่อ โดยมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) มูลนิธิบูรณะนิเวศ กรีนพีซประเทศไทย และภาคีเครือข่ายภาคประชาชน เพื่อเสนอร่างกฎหมายภาคประชาชนเข้าสู่กระบวนการนิติบัญญัติของรัฐสภา เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา
‘ร่างกฎหมาย PRTR ภาคประชาชน’ ฉบับนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อใครบ้าง WAY สรุปสาระสำคัญไว้ดังนี้
- ประโยชน์ต่อประชาชน
- กฎหมาย PRTR เป็นเครื่องมือที่ทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดการปัญหามลพิษ และมีส่วนร่วมตัดสินใจในการดำเนินการโครงการต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยและสิ่งแวดล้อมของชุมชน
- ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้อย่างสะดวกรวดเร็ว เพื่อประโยชน์ในการป้องกันตนเอง และป้องกันชุมชนจากสารมลพิษเมื่อเกิดอุบัติภัยสารเคมี
- ประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรม
- กฎหมาย PRTR จะเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเป็นตัวอย่างที่ดีด้านความโปร่งใส มีความรับผิดชอบต่อสาธารณะ นำไปสู่การลงทุนที่ยั่งยืน
- ป้องกันการสูญเสียและกระตุ้นให้ภาคอุตสาหกรรมใช้สารเคมีอย่างมีประสิทธิภาพ
- เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินกิจการในระยะยาว ลดการปล่อยสารพิษสู่สิ่งแวดล้อม
- สามารถตรวจสอบระบบและกระบวนการผลิตของตนให้รัดกุมยิ่งขึ้น เพื่อความปลอดภัยในการทำงานและป้องกันความสูญเสียจากอุบัติภัยสารเคมี
- ประโยชน์ต่อรัฐบาล
- กฎหมาย PRTR จะช่วยให้หน่วยงานภาครัฐทราบสถานการณ์และแนวโน้มในการปล่อยสารมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมที่อาจส่งผลกระทบต่อประชาชนและชุมชน
- เป็นฐานกำหนดนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม
- เป็นฐานกำหนดแนวทางวางแผนป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษ
- เป็นเครื่องมือติดตามตรวจสอบการบังคับใช้กฎหมายและการดำเนินการตามนโยบายและแผนงาน รวมถึงการวางแผนรองรับเหตุฉุกเฉิน
- มีข้อมูลในการปรับปรุงระบบการติดตามโรงงานและแหล่งกำเนิดมลพิษทุกประเภทให้มีมาตรฐาน
- สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ไขปัญหามลพิษร่วมกับหน่วยงานรัฐ
- ลดความเสี่ยงภัยจากสารเคมีและสารมลพิษตกค้างในสิ่งแวดล้อม ตามอนุสัญญาสตอกโฮล์ม (Stockholm Convention) ว่าด้วยสารมลพิษตกค้างยาวนานในสิ่งแวดล้อม ซึ่งประเทศไทยได้ให้สัตยาบัน และเป็นไปตามหลักการของปฏิญญาริโอว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา และแผนปฏิบัติการ 21 (Agenda 21) เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
อ้างอิง
- สรุปสาระสำคัญร่างพระราชบัญญัติการรายงานและเปิดเผยข้อมูลการปล่อยและเคลื่อนย้ายสารมลพิษ พ.ศ. ….
- รู้จัก (ร่าง) กฎหมาย PRTR
- ทำเนียบการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษ (PRTR)
- เสียงครวญคร่ำหลังโศกนาฏกรรม “หมิงตี้” ไฟไหม้โรงงาน สารเคมีระเบิด