พ่อมีอาชีพการงานก้าวหน้ามากคนหนึ่ง เวลาว่างถ้าไม่เล่นดนตรีก็จะเล่นหมากรุก แต่หลายครั้งพ่อเลือกเล่นงิ้วกับเพื่อนกลุ่มชาวจีนที่เกิดและเติบโตในไทย ไม่ใช่เล่นเพื่อทำมาหากินแต่เล่นเพื่อความบันเทิงและสังคม
ทว่าพ่อเป็นคนเข้มงวด เจ้าระเบียบ มีคำสั่งให้ผมได้ปฏิบัติตามมากมาย ผมไม่เคยรู้สึกชอบแต่ก็ต้องทำ เพราะกลัวพ่อโกรธ เวลาพ่อโกรธน่ากลัวมาก ผมจึงทำตามทุกอย่าง
เช่นเดียวกับการตามไปโรงงิ้ว ซึ่งเป็นโรงงิ้วที่กลุ่มเพื่อนของพ่อสร้างขึ้นชั่วคราวเพื่อนำรายได้จากการชมการแสดงเหล่านั้นไปบริจาคให้การกุศล แต่ผมไม่เคยชอบใจเลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่มีใครใส่ใจเลย แม้แต่พ่อก็ไม่เคยถามว่าทำไมถึงไม่ชอบ ว่าไปแล้วงิ้วคือความกลัวสำหรับผมเสียด้วยซ้ำ
ครั้งแรกที่ผมรู้จักกับ ‘งิ้ว’ นั้น พ่อชี้ให้ดูรูปถ่ายตอนพ่อเล่นงิ้วตั้งแต่ก่อนผมจะเกิด ใบหน้าสีดำบ้าง ขาวบ้างหรือน้ำเงินบ้าง วาดสีสลับกันก็หลายหน้า พ่อมีหลายรูปมาก ภาพเหล่านี้อยู่ในอัลบั้มที่พ่อเก็บไว้ ในบ้านยังมีภาพอีกมากมาย แต่พ่อรักภาพที่ถ่ายตอนเล่นงิ้วมากที่สุด
“งิ้วเป็นศิลปะชั้นสูง” พ่อบอก “เป็นการผสมผสานของศิลปะการร้อง รำ พูดและรบ”
วันที่ไปดูงิ้วครั้งแรกกับพ่อนั้นฝนตกตลอดการเดินทางไปถึงโรงงิ้ว ตอนนั้นผมอายุเจ็ดขวบ เรียนชั้นปอหนึ่ง พ่อสั่งให้นำเสื้อกันฝนไปด้วย วันนั้นผมแต่งตัวหล่อด้วยเสื้อเชิร์ตที่พ่อเพิ่งซื้อให้และกางเกงยีนส์ตัวแรกในชีวิต เมื่อไปถึงบริเวณโรงงิ้ว ฝนก็ยังตกปรอยๆ บรรยากาศรอบตัวเย็นชื้น หายใจไม่ค่อยออก พ่อจอดรถทางหลังโรง แล้วเดินลิ่วขึ้นบันไดหลังโรง ก่อนจะหันมาเร่งให้ผมตามมา ตอนกำลังก้าวขึ้นตรงบันไดขั้นแรก แมวสีดำตัวหนึ่งวิ่งตัดหน้า ผมตกใจสะดุ้งโหยง แล้วทันใดนั้นเองผมก็หันไปเห็นคนกำลังแต่งหน้าอย่างงิ้วอยู่ ทั้งสีเขียว สีดำ สีแดง สีเหลือง สีขาวปะปนบนใบหน้าหลากหลายราวกับหน้ากาก เต็มไปด้วยความฉูดฉาด บาดตา รวมอยู่ในเส้นและลวดลายโค้งงอ บิดไปมาทั้งเย็นชาและกราดเกรี้ยว เขาเหล่านั้นหันมามองผมเป็นตาเดียว มันเป็นวินาทีที่ความกลัวจับเต็มหัวใจ ผมรู้สึกกลัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ใบหน้าพวกนั้นจ้องเขม็งมาที่ผมอย่างไม่ละวาง ผมกลัวจนตัวสั่น
แล้วต่อจากนั้นทุกอย่างภายในห้องแต่งตัวและรอบๆ โรงงิ้วก็เต็มไปด้วยความกลัว พ่อบอกให้ไปนั่งรออยู่หน้าโรงงิ้ว “มีขนมขาย นี่ตังค์” แล้วพ่อก็ยื่นเงินให้ห้าสิบสตางค์ ผมรับมาอย่างใจลอย รีบถอยหลังออกจากหลังโรงงิ้วอย่างเร็วที่สุด
ทว่าฝนก็ยังปรอยลงมา แสงไฟจากเสาไฟข้างถนนส่องให้เห็นเม็ดฝนที่เหมือนจะปลิวตกจากฟ้ามากกว่าจะหล่นลงมา มันเป็นฝอยๆ ฟุ้งไปทั่วบริเวณ แลดูสวยงาม หากไม่คิดถึงใบหน้าแต่งงิ้วเหล่านั้น ระดับน้ำบนพื้นถนนสูงท่วมระดับข้อเท้า ผมยืนอยู่ตรงนั้นหลายนาทีและทันใดที่ผมก้าวไปข้างหน้าไม่กี่ก้าวก็เหมือนตัวเองจะหล่นวูบลงสู่ที่ว่างเต็มสองเท้า
เท้าสัมผัสได้ถึงความหนืดเหนียวและยวบยาบ เมื่อรู้สึกตัว ผมเห็นว่าตัวเองอยู่ในน้ำ ระดับน้ำถึงหน้าอก กลิ่นเหม็นเหมือนน้ำจากท่อระบายน้ำที่เคยได้กลิ่น และก็ใช่ เมื่อเท้าสัมผัสกับความยืดๆ หยุ่นๆ ผมจับขอบแข็งๆ รอบบ่อได้ก็รีบดันตัวเองด้วยมือทั้งสองข้างขึ้นจากน้ำ จึงเห็นว่าตัวเองตกลงท่อระบายน้ำเมื่อยืนขึ้นและมองลงพื้น ทั้งตัวเต็มไปด้วยคราบและกากของเสียสกปรก ชุดหล่อที่แต่งมาไร้ความหมาย มันเต็มไปด้วยของสกปรก ผมแทบอาเจียน พยายามพาตัวเองให้พ้นจากที่นั่นอย่างไม่รอช้า และไม่ทันได้คิดเมื่อผมเห็นใครบางคนกำลังอาบน้ำหรือล้างตัวจากท่อใหญ่ๆ เหมือนยืนอาบน้ำจากท่อน้ำทิ้งจากหลังคาอย่างไรอย่างนั้น ผมเดินเข้าไปหวังจะได้ล้างตัวบ้าง ชายคนนั้นหันมามองทำเอาผมตกใจกลัวสุดขีด มันเป็นใบหน้าของคนเล่นงิ้วที่แต่งหน้าเต็มยศเสร็จแล้ว ราวกับเขาจะก้าวเข้าขย้ำ ผมหันหลังวิ่งหนี พยายามมองหาโรงงิ้วทว่าโรงงิ้วกลับไม่อยู่ที่นั่นแล้ว!
ผมตะโกนเรียกพ่อด้วยความกลัว ทว่าไม่มีเสียงพ่อตอบกลับมา รอบตัวเป็นแต่เงาตะคุ่มๆ ผมเร่งฝีเท้าไปข้างหน้า ไม่ใช่ความกลัวอย่างเดียว ผมอยากเจอพ่อมาก ทว่ายิ่งก้าวยิ่งหนาวและยิ่งมืด ผมเห็นรอบตัวมีแต่ใบหน้าของงิ้วผุดขึ้นทางนั้นทีทางนี้ที ทุกใบหน้าต่างแสยะยิ้มและอ้าปากอย่างน่ากลัว เสียงโหยหวนดังไกลใกล้จากที่นั่นที่นี่ไม่มีหยุด ผมออกวิ่ง วิ่งและวิ่ง วิ่งไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด แทบหมดแรง แทบหมดลมหายใจ ครั้งสุดท้ายที่ผมเห็นใบหน้างิ้วใหญ่โตกำลังพุ่งเข้าใส่ ผมตกใจร้องลั่นจนช็อกหมดสติ
รู้สึกตัวอีกครั้ง มีคนเขย่าตัว ผมลืมตาด้วยเสียงพ่อเรียก เมื่อเห็นพ่อผมร้องไห้ด้วยความดีใจ พ่อบอกไม่เป็นไรแล้วๆ พ่อถามเกิดอะไรขึ้น ผมเอาแต่ร้องไห้ไม่กล้าพูด พ่อจึงพากลับบ้าน
ผมไม่เคยชอบและอยากดูงิ้วเลยนับตั้งแต่วันนั้น แม้จะได้ตามพ่อไปอีกหลายครั้ง ทว่าไม่มีความสุขเลยมาตลอดเจ็ดสิบปีที่ผ่านมา จนวันที่พ่อเสียชีวิต ลูกหลานและคนรุ่นหลังต่างรู้ดีว่าพ่อชอบการแสดงงิ้วและมหรสพชนิดนี้มากแค่ไหน ในงานสวดศพคืนสุดท้ายจึงจัดให้มีการแสดงงิ้วขึ้น ตอนนั้นผมเห็นพ่อนั่งดูอยู่บนเวที ผมเดินไปและเรียกพ่อ “ป่าป๊า”
พ่อที่ตายตอนอายุหนึ่งร้อยเจ็ดปีหันมองลงมาพลางยิ้มให้ ก่อนจะกล่าวว่า “ลื้อเลิกกลัวงิ้วรึยัง”
ผมไม่ตอบ แต่ร้องไห้โฮ
จารี จันทราภา คือนามปากกาของ ติณ นิติกวินกุล เกิดวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2513 ริมทางรถไฟแถวบางขุนเทียน กรุงเทพฯ ในสมัยที่ยังเป็นจังหวัดธนบุรี ทำงานบริษัทฯ เอกชนหลายแห่ง ก่อนลาออกมาเขียนหนังสือตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 ปัจจุบันอยู่กับภรรยา นทธี ศศิวิมล และลูก 2 คน แถวดอนเมือง กรุงเทพฯ |