หลายคืนแล้วที่วายุตระหนกตื่นราวตีสาม ฝันร้ายคุกคามซ้ำซากจนหัวใจแทบหยุดเต้น ถึงจะเว้นจังหวะการนอนเขายังดูเครียดเคร่ง ลุกมานั่งตัวเกร็งพร้อมกับปาดเหงื่อรินไหล เมื่อใดหนออาการฝันร้ายจะหายไป เขายังภาวนา ในฐานะตำรวจบ้านย่านตลาด เขาไม่เคยเขลาขลาดการใช้ชีวิตอันเกี่ยวแก่เนื้องาน เว้นเพียงฝันร้ายภายหลังรับหน้าที่เข้าไปทำลายสถูปแห่งหนึ่งกลางหมู่บ้าน อีกทั้งคำสั่งก็มาจากวัดที่ตั้งตระหง่านอยู่เคียงกันนั่นเอง
จำได้ว่าระหว่างบรรเลงกิจกรรม วายุสังเกตความเก่าเก็บของสถูปแห่งนี้ เขารู้มาบ้างว่ามันถูกสร้างมานับร้อยปีเห็นจะได้ ภายในสถูปมีเถ้ากระดูกบรรจุอยู่ 15 ชีวิต พวกเขาคือผู้ลิขิตให้วัดและหมู่บ้านรุ่งเรืองขึ้นพร้อมกัน บุคคลเหล่านั้นขอแบ่งพื้นที่ธรณีสงฆ์มาใช้ในทางการค้า จุดหมายเพื่อให้ชุมชนขยับขยายมากกว่าจะฝากความหวังไว้กับท้องนาท้องไร่ เขาเคยได้ยินมาว่าเจ้าอาวาสในยุคสมัยนั้นไม่พอใจ แต่สุดท้ายที่ดินวัดกับตลาดชุมชนก็ประสานเป็นสังคมคู่ขนาน หากเพียงไม่นานผู้กล้าทั้ง 15 ก็ลาโลกอย่างเป็นปริศนา บรรดาญาติมิตรจึงนำพาอัฐิมาบรรจุไว้ ส่วนเจ้าอาวาสองค์ใหม่เขาไม่รู้รายละเอียดสักเท่าไหร่ ทราบแต่ท่านชอบนำสีกามาเล่นสนุกในวัดอย่างไม่อาจแยกขาดจากชีวิตได้
ยามเย็นในวันปฏิบัติภารกิจวายุยังจดจำ ตอนนั้นเขาร้องขอให้ทุกฝ่ายเดินทางมารวมพลก่อนหัวค่ำ จวบย่ำเท้าถึงสถูปจึงพบพระพราหมณ์บริกรรมแล้วสัญจรจากไป หลังเงื้อมเงานักบวชคืองานรื้อย้ายของเขากับนายช่าง ภายใต้ค่ำคืนอันปราศจากแสงจันทร์พวกเขาก็ลุภารกิจท่ามกลางสปอตไลท์ รถยกรถเครนต่างหยิบแยกวัตถุตามกำหนดหมาย ทว่าเมื่อใกล้จะยกขึ้นรถบรรทุกเอาไปกลางท้องนาเพื่อย่อยสลาย สถูปใหญ่ก็ปริร้าวร่อนรั่ว ทุกสายตาจับมองด้วยความกลัวเมื่อเห็นวัตถุเสียหาย ฉับพลันเขาพบกองกระดูกป่นจากสถูปหล่นร่วงอย่างไม่ควรเป็นไป การแก้ไขความผิดพลาดมีเพียงเรียกพระพราหมณ์ให้กลับมาทำพิธีใหม่ บางคนเสนอให้ยกเลิกการทำลายเพราะกลัวจะเกิดเรื่องใหญ่ ตรงข้ามกับเขาที่ยืนหยัดทำลายสถูปต่อไป ส่วนเถ้ากระดูกก็เพียงปล่อยไว้ให้เป็นฝุ่นสลาย ด้วยเพียงไม่ถึงชั่วยามขี้เถ้าขุ่นขาวก็คงปลิวหายไร้หลักฐาน
แต่หลังจากค่ำคืนนั้นวายุก็ต้องผจญกับภาพหลอน หนุนหมอนเมื่อไหร่ก็มักพบฝันร้าย ใช่เพียงเท่านี้ เขายังจับสังเกตได้ว่าอาจมีใครบางคนกำลังจับจ้องในทุกกิริยา เขารู้สึกได้ว่าใครผู้นั้นมิได้มาอย่างมิตรแน่ๆ ถึงจะเผชิญความย่ำแย่แต่เพื่อนร่วมงานกลับมองว่าไร้สาระ เนื่องจากประเด็นร้อนที่ควรจะให้ความสำคัญคือพ่อค้าแม่ขายที่เริ่มดื้อรั้นกับการขึ้นค่าเช่าแผงครั้งที่ผ่านมา จากเพียงโต้ตอบด้วยวาจาก็กลายเป็นการประท้วงขัดขวาง แผนการไล่รุกของพวกเขาคือต้องสั่งสอนพ่อขายแม่ค้าเสียบ้าง ต่อให้ต้องบุกพังแผงค้าทายท้ากฎหมายก็ตาม
จวบเช้าวันนี้เขาร่อนล้อรถคันงามจากบ้านพักถึงย่านตลาด พลันเปิดประตูเข้าห้องทำงานก็พบกรรณผู้เป็นลูกน้องกำลังมีพฤติกรรมประหลาด วายุพบว่าห้องทำงานยังไม่ได้เช็ดถูปัดกวาด เมื่อกราดมองเครื่องหนังก็พบว่ายังไม่ได้เคลือบเงา เขาพยายามเก็บอารมณ์ขุ่นข้องหลังพบข้อบกพร่องเพราะยังมีเรื่องคาใจ หนุ่มใหญ่ยังเคร่งขรึมกับสถานการณ์กลางหมู่บ้าน เนื่องเพราะการขึ้นค่าเช่าแผงครั้งใหม่ดูจะไม่ใช่เรื่องง่าย
ในช่วงจังหวะเดียวกัน พลันเห็นเจ้าหนุ่มส่งสายตาอย่างมุ่งหมายราวกับจะค้นเค้นบางอย่าง วายุพลันหวั่นวิตกอยู่นิดๆ ราวกับเคยพบเห็นสายตานั้นอยู่บ้าง มันเป็นสายตาจากฝันร้ายที่กำลังเผชิญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แล้วเจ้ากรรณก็เอ่ยความอย่างไม่คาดว่าจะได้ยิน
“สิ่งที่พวกคุณกำลังคิดจะทำน่ะ อย่าทำอีกเลย มันไม่ได้ผลหรอก”
ความเครียดทุ่มโถมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อได้ยินถ้อยคำเจื้อยแจ้วยิ่งโมโหใหญ่ ใครหนอสอนสั่งให้ลูกน้องในบัญชาขบถกร้าว วายุคิดด้วยซ้ำว่าเขาคือผู้เมตตา ด้วยเห็นว่ากรรณเป็นลูกหลานของพ่อขายแม่ค้าจึงจ้างมารับใช้ ยิ่งสายตาเจ้าหนุ่มเพ่งจ้องเมื่อใดเขาก็อยากจะตะเพิดมันไปไกลๆ ก่อนที่อะไรๆ จะเลยเถิดมากไปกว่านี้
“ผมรู้นะว่าคุณคิดจะรีดไถคนในตลาดอีกครั้ง ขอเตือนไว้ก่อนเลยว่าอย่าทำแบบนั้นเป็นอันขาด”
น้ำเสียงของกรรณชวนผวา วายุเริ่มฉงนปนหวาดกลัวว่าเหตุใดเจ้าหนุ่มจึงรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร แต่ในเมื่อทุกอย่างพรั่งพรูจากความรู้สึก จิตไร้สำนึกจึงผลักเขาให้ต้องสอนสั่งในฐานะตำรวจบ้าน ประเด็นหลักคือโต้ตอบว่ามันเป็นภารกิจการงาน สืบเนื่องจากชุมชนเรานั้นอาจล่มสลายเพราะความไร้ระเบียบไม่สวยงาม
“เอ็งก็น่าจะรู้ว่าทำไมต้องทำแบบนี้ ถ้าขึ้นค่าเช่าแผงทุกอย่างมันก็น่าจะดีขึ้น ถ้าไม่ทำแบบนี้แล้วจะให้ทำยังไง” วายุชี้แจงเจ้าหนุ่มชุดใหญ่ กระนั้นสิ่งที่เขาได้รับคือรอยยิ้มสะพรึงใจ หนุ่มกรรณตอบโต้ด้วยใบหน้าบูดบึ้งชนิดที่ไม่เคยพบเห็น บุคลิกที่เคยง้อหงอครั้งปัดกวาดเช็ดถูนับแต่เช้าจวบเย็นกลับเป็นบางอย่างที่สุดจะหาเหตุผลรองรับได้
“นั่นมันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาเลย แล้วขอบอกไว้ก่อนว่าลูกบ้านย่านตลาดไม่ใช่ศัตรูหรอก แต่ผมนี่แหละคือศัตรูของคุณ” เจ้าหนุ่มท้าทายเขาโดยตรง “นี่คุณจำผมไม่ได้จริงๆ เหรอ ผมนี่แหละที่เข้าไปในความฝันของคุณ เข้าไปเล่นงานคุณ เข้าไปไล่กระทืบคุณ ที่จริงผมอยากจะบีบคอคุณให้ตายด้วยซ้ำเพียงแต่ผมต้องการจะคุยกับคุณสักหน่อย” ถ้อยความของกรรณพลันเดือดดาล “ผมพยายามเตือนมาหลายครั้งแต่คุณก็ไม่เข้าใจ ไม่เคยรับฟัง ไม่เคยยั้งคิดว่าสิ่งที่กำลังจะทำมันผิดมหันต์ เพราะมันคือการเรียกค่าคุ้มครอง มันคือการกรรโชกทรัพย์ชาวบ้านชัดๆ คุณบอกว่าต้องการให้ย่านตลาดมีระเบียบใช่ไหม ผมว่ามันไม่เกี่ยวกับการขึ้นค่าเช่าแผงเลยนะ คุณก็รู้ดีว่ามันเป็นธรรมชาติของตลาดที่ต้องเลอะเทอะ มีเสียงดัง อาจจะน่ารำคาญอยู่บ้าง แต่ถ้าคุณกดดันจนพวกเขาเลิกขายของล่ะก็ ชุมชนเราล้าหลังแน่ๆ”
หนุ่มใหญ่นิ่งงันกับบทสนทนา แม้ในอีกมิติเขาอยากจะเรียกลูกน้องอีกพวกให้พาเจ้ากรรณออกไป แต่สุดท้ายวายุนั่นแหละที่เป็นฝ่ายจนมุมหลังจากเจ้าหนุ่มยังไม่หยุดปราศรัย
“อีกเรื่องที่ผมอยากถามคุณก็คือ เมื่อหลายปีก่อนคุณทำลายสถูปของผมใช่ไหม”
ไม่มีอะไรต้องสงสัยอีกแล้ว ลูกน้องชั้นปลายแถวกำลังถูกวิญญาณต่างภพมาสิงสู่ ภาพลักษณ์ตรงหน้าดูเหมือนมนุษย์ แต่ภายในอาจถูกดวงมารทำลาย วายุพยายามเคลื่อนไหวตัวเองด้วยสติ เริ่มริท่องบ่นบาลี น่าเศร้าที่คนตรงหน้ายังฉายความกร้าวพร้อมเล่นงาน อิทธิฤทธิ์ของผีกลางวันช่างหาญเฮี้ยนไม่ต่างจากภาพฝัน
พบผ่านเพียงเสี้ยวเวลาวายุก็เพิ่งนึกขึ้นได้ ลอดผ่านประตูไม่ไกลเป็นห้องพระซึ่งจัดวางองค์พุทธรูปนี่นา วายุจึงยั้งวาจาแล้วเร้นหลีกเข้าไปในห้องอย่างเร็วไว ด้วยความลนลานจึงพลาดปิดประตูแต่เขาก็คาดคิดว่าพุทธานุภาพน่าจะยับยั้งผีร้าย ทว่าสุดท้ายหนุ่มกรรณกลับเดินฝ่าประตูเข้ามายืนประชิดตัวเขาที่ทรุดนั่งด้านหน้า ผลักดันให้วายุจำต้องสะเปะสะปะหาที่หลบภัย หลังพระพุทธรูปซึ่งเป็นซอกอับจึงเป็นเป้าหมาย แต่ในพลันเจ้าหนุ่มก็เดินตามมาติดๆ กัน กลายเป็นว่าเขาดิ้นรนไปหาทางตันจนไม่อาจเขยื้อนไปไหน
หนุ่มกรรณย้ำวาจาว่าเมื่อไหร่วายุจะเข้าใจ เมื่อไหร่จะรู้สึกตัวว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความบกพร่องของชีวิต พร้อมเล่าย้อนว่าเมื่อร้อยปีก่อนตอนที่เขาถูกลิขิตให้เป็นหนึ่งในผู้นำหมู่บ้าน ชี้ชวนคนรู้จักให้มาลงหลักปักฐานด้วยความเชื่อว่าพื้นที่แห่งนี้จะเจริญเติบงาม การขอแบ่งพื้นที่วัดซึ่งเป็นดุจจุดศูนย์รวมจึงน่าจะทำให้ชุมชนขยับขยายตามความเป็นจริงได้ แม้สุดท้ายความมุ่งหมายมิได้เป็นไปตามที่คาดคำนวณไว้ หลังจากผู้นำปัจจุบันบังคับให้ต้องเสียค่าเช่าแผงแสนแพงแก่ทางวัด ใครกำแหงก็จะถูกจัดการยิ่งกว่ารีดไถ ฝ่ายวายุยื้อย้ำว่าจะให้ทำอย่างไรในเมื่อตนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ทว่าหนุ่มกรรณกลับย้อนแย้งถึงคำสั่งจากเบื้องบนเหล่านั้น
“แน่ใจเหรอว่าทำแบบนี้แล้วมันจะดีขึ้น แน่ใจหรือว่าพวกชาวบ้านจะเชื่อฟังพวกคุณตลอดไป ผมเองก็เคยเป็นผู้นำหมู่บ้านเหมือนกับคุณ แต่ผมให้อิสระพวกเขาทำมาหากิน แล้วทำไมคนรุ่นลูกหลานอย่างคุณกลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม” หนุ่มกรรณเสียงเข้มจริงจัง “ถามอะไรสักนิดสิ ใครกันแน่ที่สั่งคุณให้ไปทำเรื่องแบบนี้ เป็นคนเดียวกับที่สั่งทำลายสถูปของผมหรือเปล่า”
ห้องพระร้อนอ้าวแต่วายุกลับเหน็บหนาวไม่น่าเชื่อ เจ้าหนุ่มพลังล้นเหลือกำลังจดจ้องราวจะฉีกร่าง วายุผิดหวังที่องค์พระเป็นเพียงเศษหิน แรงแค้นของวิญญาณคงจะเปี่ยมพลังมหาศาล หนุ่มใหญ่ผู้เคยเป็นดุจชายฉกรรจ์กลับไม่เหลือความแกร่งกำยำ เขากลายเป็นเพียงก้อนเนื้อที่กำลังซุกซอกแคบเพียงเพื่อหนีหน้า ขณะเจ้าหนุ่มยังไล่ล่าฝ่ายตรงข้ามด้วยวาจา
“เชื่อหรือเปล่าว่าทำไมผมยังไม่ไปเกิด” หนุ่มกรรณเอ่ยความ “ก็เพราะนอกจากพวกผมจะถูกฆ่าตายแล้ว สิ่งที่พวกผมคาดหวังมันยังไม่เป็นจริงเสียที เกือบร้อยปีมานี้ผมมองเห็นความล้มเหลวของหมู่บ้านเรา มองเห็นคนเอาเปรียบลูกบ้านไม่ต่างจากที่มองเห็นคุณกับพวกทำลายสถูปของผม คุณเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่ดูแลชุมชนแท้ๆ แต่คุณกลับไม่ให้เกียรติผม เหยียดหยามผม ที่สถูปนั่นมีกระดูกผมกับคนที่สร้างชุมชนร่วมกันมา เรื่องนี้คุณก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจดีนี่” แล้วเจ้าหนุ่มก็เค้นความอีกรอบ “มาถึงตอนนี้ คุณจะบอกผมได้หรือยังว่าใครสั่งทำลายสถูปผม คุณอย่าปล่อยให้ผมถามไปเรื่อยๆ แบบนี้สิ”
ชายหนุ่มคาดคั้นวาจา เขาตั้งใจผ่อนจังหวะให้คู่สนทนา ทว่าสุดท้ายกลับมีแต่ความเงียบงัน
“ถ้าคุณไม่ตอบผมก็ไม่รู้จะทำยังไง จะหักคอคุณให้ตายมันก็เสียโอกาสเกินไปสินะ” เพียงเสี้ยวเวลาเจ้ากรรณก็พลิกประเด็นเกี่ยวแก่ปัจจุบัน “เอาเป็นว่าผมขอย้ำในเรื่องที่คุณกับพวกจะลงมือทำอะไรบางอย่างจะดีกว่า ผมอยากจะเตือนว่าคุณกับพวกอย่าทำผิดซ้ำอีก ไม่อย่างนั้นผมไม่ไว้ชีวิตคุณแน่ๆ ถ้าพวกคุณยังขึ้นค่าแผงหรือเรียกค่าคุ้มครองชาวบ้านกันง่ายๆ แบบนี้อีกล่ะก็ ผมจะฆ่าคุณ ผมจะควักลูกตา ควักตับไตไส้พุงออกมากองไว้ตรงหน้าพระพุทธรูปนี่แหละ!”
น้ำเสียงเจ้ากรรณยังทายท้า ย่างเท้าเข้าหาหวังสั่งสอนให้หลาบจำ แต่ในพลันกลับมีเสียงฝีเท้าของใครบางกำลังเดินอยู่ไม่ไกล วายุจึงว่ายวานร้องขอความช่วยเหลือด้วยเสียงก้องตะโกนก้อง ชายหนุ่มจึงตรึกตรองแล้วถอยร่นหนีหายโดยไม่อาจจับได้ว่าเคลื่อนกายไปไหน กว่าเพื่อนร่วมงานจะเข้ามาพบ วายุก็อยู่ในสภาพชักกระตุกตาตั้ง พวกเขาช่วยกันหามไปส่งยังโรงพยาบาลที่อยู่อีกฝั่งของสำนักงาน
ผันผ่านมาหลายวันสภาพจิตของวายุก็ยังไม่ปกติเท่าไหร่ ทีท่าอันน่าเศร้าชักพาให้กลุ่มพ้องสลดใจ พวกเขาสรุปว่าสิ่งที่จะทำให้วายุหาใช่แค่บอกญาติมิตร แต่ต้องกักตัวเขาอย่างมิดชิดในห้องพิเศษของโรงพยาบาล อาจเพราะวายุยังไม่กล้าหลับตานอนเนื่องจากยังหวาดกลัวฝันร้าย วายุกล่าวกับทุกคนว่าช่วงนี้ขอให้ทุกคนผ่อนปรนกับแผงขาย พร้อมกับร้องขอให้แพทย์พยาบาลปิดหน้าต่างในห้องนอนแล้วเปิดไฟทิ้งไว้
จวบเมื่อหลายวันต่อมา วายุพอจะทราบว่าพรรคพวกของเขาไม่ฟังคำแนะนำ แต่กลับย่ำเดินเข้าไปในย่านการค้าตามเป้าหมาย เสาะหาแผงขายพร้อมกล่าวชื่นชมแกมข่มขู่ ประมาณว่าร้านค้าแห่งนี้ก็ดีอยู่แต่มันจะไม่มีอุปสรรคถ้าให้ค่าเช่าราคาใหม่ พ่อค้าแม่ขายบางคนไม่อยากมีเรื่องจึงมอบส่วนแบ่งตามแต่ตกลงกันไว้ แต่เพียงไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงเล่าขานว่าชาวบ้านร้านถิ่นหวนกลับมาต่อต้านรุนแรงขึ้นกว่าเดิม จากกลุ่มเล็กๆ ก็เริ่มขยับขยายและมีท่าทีบานปลาย ชักพาให้เขาไม่แน่ใจว่าสิ่งที่อยู่นอกรั้วคือความสำเร็จหรือล้มเหลวกันแน่
แต่เมื่อวายุพยายามจะรวบรวมสติเพื่อรับรู้เรื่องราว เขาก็พบความเลวร้ายอีกเป็นครั้งที่สอง
ค่ำคืนนั้นกรรณหวนกลับมาลองดีอีกครั้งในคราบพ่อบ้านประจำสถานพยาบาล หยิบยื่นถาดอาหารแล้วล็อกประตูมิให้ใครเดินเข้ามา เจ้าหนุ่มพลันหาญกล้าแสดงตัวเป็นวิญญาณร้าย วายุขนลุกขนพองโดยไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่คลุมโปงภายใต้ผ้านวมหนา บ่นท่องพุทโธพุทธา ไม่กล้าสบมองอะไรทั้งนั้น
เพียงชั่วเวลาแห่งวิกฤติกำลังเล่นงาน เจ้ากรรณเอ่ยบอกจุดหมายการมาเยี่ยมเยือน เขาเล่าย้อนถึงคำเตือนว่าถ้ากลุ่มพ้องหนุ่มใหญ่ยังข่มเหงชาวบ้าน ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องจัดการเขาให้จงได้ วายุใจหายจึงย้อนแย้งกลับไปอย่างไม่เป็นกระบวน
“ผมบอกไปแล้วแต่พวกมันไม่ฟัง ที่จริงผมไม่ใช่คนสั่งการเลยนะ แล้วตอนนี้ผมก็อยู่ในโรงพยาบาล ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรด้วยแล้ว” คำแย้งของวายุไม่อาจหักห้ามชายหนุ่มได้เลยสักนิด เจ้ากรรณโต้ตอบว่าถ้อยคำของวายุเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อขอชีวิตไว้ แต่ในเมื่อฝ่ายของวายุไม่ทำตามคำชี้นำสุดท้าย ถ้าเช่นนั้นจำต้องขอแลกด้วยลมหายใจ ชายร่างใหญ่จึงตัวสั่นงันงกยิ่งกว่าสัมผัสความเหน็บหนาว
“ผมขอถามคุณเป็นครั้งสุดท้ายนะคุณวายุ ใครสั่งทุบทำลายสถูปของผมกันแน่ ผมได้ยินข่าวลือมาว่าเป็นฝีมือเจ้าอาวาสรูปใหม่เพราะยังเจ็บแค้นเรื่องตั้งแต่สมัยที่พวกผมแบ่งเอาที่ดินธรณีสงฆ์ไปทำตลาด ผมหมายถึงเจ้าอาวาสรูปเดียวกับที่มีสีกาอยู่สิบห้าคนนั่นแหละ เรื่องนี้เป็นความจริงหรือเปล่า” กรรณเว้นคำ “อย่าลืมว่าวัดเป็นสมบัติร่วมกัน ไม่ใช่ของเจ้าอาวาส เรื่องนี้คุณก็น่าจะรู้นี่”
ชายในผ้านวมไม่กล้าสบตาผู้ถาม เพียงกอบกุมคำตอบไว้ด้วยความเงียบร้างเพราะหากปริปากอาจเกิดเรื่องเสียหาย หนุ่มกรรณจึงกรายใกล้เข้าหา ยื่นแขนเข้าไปยื้อแย่งผ้าห่มราวกับจะลากคอเพื่อเด็ดหัวคนตรงหน้า เนื้อตัววายุกระตุกฟูมฟายราวกับจะเป็นบ้า ทว่ายังไม่ยอมเฉลยให้ทราบว่าใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหลาย ตำรวจบ้านได้แต่สั่นไหวไหว้ลนลาน เอ่ยคำปฏิญาณว่าเขาจะกรวดน้ำไปให้ แต่ต่อให้ดิ้นตายเขาก็ไม่เผยคำตอบออกมา
“ขอร้องละท่าน ผมบอกเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ ผมหวาดกลัวสายตาของท่าน หวาดกลัวพลังอำนาจของท่านจะแย่อยู่แล้ว ได้โปรดอย่าทำร้ายผมเลย ได้โปรดเถิด”
“ทำร้ายอะไร ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย”
“ก็ท่านมาเล่นงานผมหลายครั้ง มามองดูผมหลายครั้งแล้ว ที่จริงผมก็อยากจะบอก แต่ถ้าผมบอกไปผมก็ตายเหมือนกัน” วายุร้องไห้น้ำหูน้ำลายไหลย้อย
“เอาล่ะ บอกไม่ได้ก็ไม่ต้องบอก ผมเห็นว่าเดี๋ยวคุณจะหัวใจวายตายไปซะก่อน ตอนนี้ผมจะไม่เอาเรื่องคุณก็ได้ แต่อย่าลืมล่ะว่ายุคสมัยนี้คนเราไม่มีใครยอมใครง่ายๆ ทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว คุณดูผลลัพธ์จากที่พวกคุณไปขูดรีดชาวบ้านล่าสุดนี้สิ เมื่อก่อนชาวบ้านเขายอม แต่ตอนนี้ยอมซะที่ไหน” หนุ่มน้อยสบตาอย่างแน่วแน่ “และสำหรับคำถามของผม วันหลังผมจะมาเอาคำตอบ จำไว้เลยนะว่าคุณไม่มีทางรอดพ้นสายตาผมไปได้หรอก”
เจ้าหนุ่มหน้าคมย่างเท้าออกจากห้องคนไข้ ทิ้งไว้เพียงผู้ป่วยจิตเวชระยะสุดท้าย แต่ผ่านไปไม่นานหนุ่มกรรณก็ทนอุบหัวเราะไว้ไม่ไหว เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเพียงสวมรอยเป็นนักแสดงจำเป็น เขาก็ได้เห็นตำรวจบ้านแสดงความปอดแหกแล้วเกือบคายความลับออกมา เคล็ดลับที่หนุนเสริมให้ประสบความสำเร็จมีเพียงเสียงเล่าขานว่าวายุกลัวผีจนประสาทหลอนหลังจากเข้าทุบทำลายสถูปแห่งนั้น ทุกอย่างก็เพื่อโต้ตอบอันเนื่องจากวายุเคยขูดรีดค่าตอบแทนของกรรณ อีกทั้งเจ้าหนุ่มก็หาได้คิดจะกลับไปทำงานที่นั่นอีกแล้ว ที่สำคัญก็คือเขาอยากรู้ว่าเจ้าอาวาสองค์ใหม่อยู่เบื้องหลังการทุบทำลายสถูปตามรูปแนวข่าวลือหรือเปล่า น่าเสียดายว่าถ้อยคำที่เขาต้องการยังไม่ถูกเปิดเผย มิเช่นนั้นคงไม่ละเลยที่จะกระจายข่าวสารไปทั่วทุกหัวระแหงของหมู่บ้าน
แต่ระหว่างเดินเลยออกไปจากโรงพยาบาล หนุ่มกรรณไม่รู้ตัวเลยว่าตรงนั้นมีวิญญาณทั้ง 15 ดวงล่องลอยอยู่ใกล้ๆ เหล่าภูตผีนี้แหละที่ผลักดันให้วายุรู้สึกถึงพลังแห่งความอาฆาตมาดร้าย พวกเขากำลังเฝ้ามองฉากสำคัญโดยไม่ยอมไปไหน เพียงถามไถ่กันเองว่าหลังจากเจ้าหนุ่มคาดคั้นไม่สำเร็จแล้วจะทำอย่างไร สุดท้ายเหล่าผีจึงได้ข้อสรุปว่าพวกตนจะหาหนทางให้ได้มาซึ่งคำตอบด้วยตัวเอง
“เจ้าหนุ่มนี่เล่นละครเก่งนะ แต่มันก็ยังไม่ได้คำตอบอยู่ดี น่าเสียดายที่เราไม่เข้าสิงเจ้าหนุ่มนี่ตั้งแต่แรก ไม่งั้นอะไรๆ ก็น่าจะควบคุมได้มากกว่านี้” เจ้าผีตนหนึ่งสนทนา “มีแต่เค้าลางอย่างเดียวว่าคนทำลายสถูปอาจจะเป็นเจ้าอาวาสองค์ใหม่ งั้นลองไปหาคำตอบกันตอนนี้เลยดีไหม เพราะอย่างน้อยเราก็พอจะรู้ว่าเจ้าอาวาสองค์ใหม่แอบซุกสีกาไว้ในวัดสิบห้าคนพอดี น่าจะลองเข้าไปสิงร่างผู้หญิงพวกนี้แล้วบีบให้เจ้าอาวาสคายคำตอบออกมา”
“เอาสิ น่าสนุกดี คราวนี้ต้องบีบให้มั่นคั้นให้ตาย” ผีอีกตนกล่าวเสริม “เราอย่าไปคิดว่าคนแบบนั้นเป็นพระเลย พระอะไรก็ไม่รู้มีตำรวจบ้านเป็นลูกน้อง ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพล เกะกะระรานชาวบ้านไปทั่ว พระที่ไม่ประพฤติตนเป็นพระแบบนี้น่ะ ไม่น่ากลัวหรอก”
แล้วเหล่าวิญญาณก็ค่อยๆ เคลื่อนย้ายตัวตนออกจากโรงพยาบาล ล่องลอยอย่างเหิมหาญมายังหน้าประตูวัด แม้อาจเกรงว่าความศักดิ์สิทธิ์ของศาสนสถานอาจปิดกั้นเส้นทางมิให้พวกเขาเข้าถึงเจ้าอาวาสองค์ใหม่ แต่สุดท้ายเมื่อความขุ่นแค้นเนื่องเพราะถูกเหยียดหยามมีมากมาย ทั้งเชื่อว่าความศักดิ์สิทธิ์ย่อมไม่คุ้มครองพระร้าย พวกเขาจึงหาญกล้าย่างกรายเข้าสู่เขตพัทธสีมา
และไม่น่าเชื่อว่าสุดท้ายก็สามารถทะลุผ่านเข้ามา ก่อนจะเคลื่อนขบวนเข้าไปในโบสถ์อารามได้อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
โมน สวัสดิ์ศรี
คลุกคลีอยู่กับกองหนังสือในบ้านมาตั้งแต่เกิด ทำงานอยู่ในแวดวงสำนักพิมพ์ ผ่านการเขียนคอลัมน์ตามสื่อสิ่งพิมพ์มาบ้าง ก่อนจะมีผลงานรวมบทความ รวมเรื่องสั้นและนวนิยายตามสมควร ในเวลานี้กำลังต่อสู้กับโรคหัวใจที่รุกคืบเข้ามาเรื่อยๆ แต่ก็ยังพอมีเรี่ยวแรงเขียนเรื่องสั้นทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ หมายใจว่าถ้าสุขภาพไม่เลวร้ายมากไปกว่านี้ก็ยังอยากจะเขียนหนังสืออย่างต่อเนื่อง และตีพิมพ์รวมเรื่องสั้นของตนเองอีกสักเล่ม |