1
หญิงสาวในชุดห่มสไบนุ่งโจงกระเบนตกลงมาจากบันได 51 ขั้น ซึ่งทอดยาวไปยังแม่น้ำลพบุรี เสียงร้องด้วยความตระหนกแหวกม่านแดดในยามบ่าย ผมยืนมองจากตีนบันไดขึ้นไป เห็นเพียงเงาพร่าเลือน พอแดดสาดแสงก็เห็นชุดไทยเดี๋ยววูบเดี๋ยววับ ลมแม่น้ำพัดมาเป็นระลอก หอบเอากลิ่นหอมดอกลั่นทมลอยละลิ่วมาห่มคลุมบันได เงาแดดถอยร่นจากตีนบันไดขึ้นไปสู่ขั้นบันไดสูงขึ้นไปถึงประตูยาตรากษัตริย์ซึ่งเป็นซุ้มประตูพระนารายณ์ราชนิเวศน์ ซึ่งรวมศิลปะของหลายชาติไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน มีแบบขอม ฝรั่งเศส ไทย และจีน สำหรับแบบขอมนั้นได้แก่ลักษณะของหลังคาที่มีจั่วรูปสามเหลี่ยม ใช้ปูนโบกเป็นแนวยาวลงมาจากอกไก่ถึงชายคา และทำเป็นจั่วสี่ด้านอย่างที่เรียกว่าจัตุรมุข ส่วนแบบไทยได้แก่บัวใต้จั่วของทุกด้านและบัวที่ฐาน แบบฝรั่งเศสได้แก่ช่องประตูใหญ่ ทำเป็นแบบโค้งแหลมแบบโกธิค และแบบจีนที่เป็นฐานของซุ้มประตูใหญ่และเล็กเรียวขึ้นไปคล้ายป้อมซุ้มประตู เสียงร้องนั้นดังใกล้เข้ามา ฉับพลันขณะแสงแดดสาดแสงลงคลุมขั้นบันได ผมเห็นหญิงสาวในชุดไทยกลิ้งตกลงมา และหายวับไปในอากาศธาตุ เมื่อร่างหล่นมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย ผมจำใบหน้าของนางได้ กลิ่นหอมลอยอบอวลในอากาศ เป็นกลิ่นหอมดอกลั่นทม บนพื้นขั้นบันไดมีดอกลั่นทมสีขาวหล่นอยู่ ผมเก็บขึ้นมาแล้วเหลียวมองหาร่างของนาง ภาพทุกภาพหายวับไป เหลือเพียงกลิ่นหอมล่องละลิ่วในสายลม ริมตลิ่งแม่น้ำต้นตะเคียนใหญ่หลายคนโอบแผ่กิ่งก้านครึ้มคลุมฟ้า ไม่ไกลกันนักต้นยางนาขาวโพลนเหยียดลำต้นสูงแผ่กิ่งก้านร่มครึ้ม เสียงหวูดเรือดังก้องคุ้งน้ำ เหล่าผู้คนต่างพากันขึ้นฝั่งเมื่อเรือเทียบท่าขุนนาง แล้วเดินขึ้นบันได 51 ขั้นเพื่อขึ้นสู่ถนนพระรามหากเดินเลี้ยวซ้ายเลาะหลังวังนารายณ์จนสุดกำแพงเลี้ยวขวาออกถนนราชดำเนิน และหากเดินเลี้ยวขวาเลาะหลังวังนารายณ์จนสุดกำแพง แล้วเลี้ยวซ้ายออกถนนเพทราชา ถนนทั้งสองสายนั้นจะไปบรรจบถนนสุรสงครามด้านหน้าวังนารายณ์ ผมนึกย้อนถึงใบหน้านางอีกครั้ง บนใบหน้ามีน้ำตาอาบแก้ม เมื่อสูดหายใจผมได้กลิ่นหอมดอกลั่นทม ผมทำได้แค่ยืนมองดูร่างนางจางหายไปกลางม่านแดดจมหายไปในความทรงจำ พอลมพัดมาได้หอบกลิ่นหอมมาด้วย หอมดอกลั่นทมมันทำให้ผมอดคิดถึงเรื่องของนางไม่ได้ ขณะนางตกจากบันไดผมเหลือบมองใบหน้าของนางอยู่หลายครั้ง ผมจ้องมองอย่างหวาดๆ ตัวสั่นด้วยความกลัว แม้ว่าจะเคยเดินผ่านริมตลิ่งแม่น้ำลพบุรี ตะเคียนใหญ่ดูดำทะมึน ยางนาใหญ่ดูขาวโพลน กิ่งก้านใบรกครึ้มบดบังแสงแดด อากาศหนาวเย็นไหลผ่านไปมา ท่าขุนนางเหมือนถูกห่มคลุมด้วยม่านของความกลัว เสียงไม้ลั่น เสียงคล้ายเสียงกรีดร้องผมจำหน้านางได้ ใบหน้าซีดเผือด ริมฝีปากสั่นระริกด้วยความกลัว แสงแดดที่ส่องลงไปตามขั้นบันไดดูมัวหม่นผมเพ่งมองภาพนั้น ไม่มีร่างของนางอยู่บนขั้นบันได เงียบลงฉับพลัน แล้วผมก็ได้กลิ่นหอมดอกลั่นทมเข้ามาปกคลุมทันที พอม่านแดดขยับชุดไทยสีชมพูลอยละล่องในสายลม ร่างของนางคล้ายละลายรวมไปกับม่านแดดแสงระเรื่อที่ตกกระทบเป็นเงาพร่าพราย ร่างของนางร่วงหล่นลงมาอย่างช้าๆ แล้วมาปรากฏกายบนขั้นบันได นางยื่นมือออกมาสัมผัสที่มือของผม แล้วก็หายไปต่อหน้าต่อตา มือนั้นมีความอบอุ่น จำได้ว่า นางพลัดตกจากขั้นบันได แล้วร่างนางหายวับในพริบตา จังหวะหนึ่งนางเงยหน้าขึ้นมองพร้อมรอยยิ้ม ผมตกใจและหวาดกลัว ร่างนางถูกดูดหายเข้าไปในเงาต้นไม้ใหญ่ เหนือขึ้นไปมีกิ่งก้านใบร่มครึ้ม ตอนนั้นผมได้ยินเสียงนางร้องไห้ ต้นไม้ใหญ่ยืนต้นเงียบเชียบ ก่อนที่ร่างนางจะหายไป ค้างคาวพากันบินขึ้นฟ้า กิ่งไม้ที่โน้มลงมาดีดตัวขึ้น หลังจากนั้นมันก็หายสาบสูญ เหมือนกับว่าไม่เคยมีหญิงสาวพลัดตกบันได เหมือนกับว่าความอบอุ่นจากมือนางมีอยู่จริง หูผมได้ยินเสียงนางร้องด้วยความตื่นตระหนก กลิ่นหอมดอกลั่นทมฟุ้งไปในอากาศ ฉับพลัน ผมตะโกนขึ้น มีผู้หญิงตกบันได แสงแดดสาดจับขั้นบันได ไม่มีร่างของนางอยู่ที่ตรงนั้น มีเสียงแว่วกลับเข้ามาอีกครั้ง ช่วยฉันด้วย ผมมองบันไดลาดชันสูงขึ้นไป ซุ้มประตูดูงดงามขณะเงาทาบทับ บานประตูไม้ปิดเหมือนจมในความเงียบงัน ผมเดินขึ้นบันไดที่ว่างเปล่า ดวงตาพร่าพราย ผมมองพื้นบันไดได้ไม่ชัดนัก ใจสั่นเต้นรัวรู้สึกเจ็บที่หน้าอก ไม่มีแม้แต่ลมพัด เหล่าผู้คนซึ่งเดินขวักไขว่ต่างพากันหายไป ผมเริ่มเจ็บหน้าอก มีความอึดอัดกระหนาบเข้าใส่ระลอกแล้วระลอกเล่า บันไดกลับลาดชันสูงขึ้นด้วยดวงตาที่พร่ามัว ผมล้มบนขั้นบันได ตรงหน้ามีรอยเปื้อนสีขาว กลิ่นหอมดอกลั่นทมอวลในอากาศ ภาพรางเลือนลอยไปมา เมื่อผมลุกขึ้นยืนอีกครั้ง มีแค่เสียงสะท้อนจากเท้าของผม ความกลัวคืบคลานเข้ามาในใจ เมืองนั้นเงียบเชียบ แดดสาดเงาบนถนน ผ้าสีชมพูเหมือนล่องลอยอยู่ จากนั้นนางก็ปรากฏตัว และนางคว้าแขนผมเอาไว้ พลันนั้นเรื่องราวพรั่งพรู เรากำลังยืนอยู่ริมแม่น้ำลพบุรี ภายใต้ร่มเงาครึ้มตะเคียนดำทะมึน ภายใต้ร่มเงาครึ้มยางนาขาวโพลน เสียงนกกระพือปีกอยู่เหนือศีรษะ เสียงหวูดเรือกระหึ่มก้อง กลิ่นหอมดอกลั่นทมฟุ้งอบอวล มันทำให้บรรยากาศทึบอึดอัด ความกลัวไต่เลื้อยไปบนร่างของผม ลมแรงพัดกระหน่ำ ต้นไม้กวัดแกว่งโอนเอน แล้วเสียงแตรรถยนต์จากถนนพระรามดังขึ้น ผมมองมือผอมที่จับแขน นางปล่อยมือแล้วถอนหายใจยาว บนบันไดมีเหล่าผู้คนหยุดยืนกันอยู่ตามขั้น พากันเหม่อมองสายน้ำ ประตูไม้หนาหนักถูกหุ้มเอาไว้ในแสงแดดจ้า ความสว่างจับลงในมุมมืดของกำแพงเมือง ร่างของนางอาบอยู่ในแสงตะวัน เงาต้นไม้เลื่อนลงไปตามขั้นบันได ถนนโบราณซุกตัวเหนือระดับสายตา เหล่าผู้คนเดินลงมาจากบันไดลงมาชั้นล่าง ความมโหฬารของกำแพงทำให้ดูน่าประหวั่น ทั้งหนาและสูงมีใบเสมาข้างบนกำแพงและเว้นระยะไว้อย่างสวยงาม นางบอกว่า กำแพงนี้มีช่องเกือบเป็นรูปสามเหลี่ยมติดต่อกันยาวยืดทั้งบนกำแพงและตอนใต้ใบเสมาลงมา และตามขอบซุ้มประตูเป็นร่องตะเกียงสำหรับจุดไฟให้สว่างในเวลากลางคืน เหล่าผู้คนยืนอยู่ในความเงียบเชียบในแดดสีเหลืองหม่นมัว เสียงหวูดเรือดังลั่นแม่น้ำ ลมแรงพัดคลุมท่าขุนนาง เหล่าผู้คนยืนขนัดแน่นกำลังรอเรือเทียบท่า รูปเงาทั้งหลายพากันหล่นหายไปในสายน้ำ ชุดสีชมพูแขวนค้างอยู่กลางอากาศ หลืบเงาบดบังร่างนาง ฝูงนกกระพือปีกบินขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับถูกปลุกให้ตื่น นางกำลังยืนอยู่ แล้วเอื้อมคว้ามือของผม โดยไม่รู้สึกตัวผมเดินตามนางเข้าไปอยู่ในวังนารายณ์โดยผ่านประตูนารีลีลา ประวัติศาสตร์ในทรงจำของนาง ตามกำแพงอิฐกาฝากงอกเติบโตมันคลุมปิดทุกสิ่งทุกอย่าง ซอกหลืบมืดมัวโชยกลิ่นอับ นางเดินก้าวเป็นจังหวะช้าๆ มือผอมบางดึงมือผมให้ก้าวตาม ถนนอิฐทอดยาวหายไปในกำแพงชั้นใน นางบอก มองเห็นเหมือนโบสถ์น่ะ พระที่นั่งจันทรพิศาล ผมมองความสวยงามท่ามกลางแดดจ้า นางเหม่อมองพระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาทที่ไม่มีหลังคา มีเพียงผนังสร้างด้วยอิฐถือปูนหนา นางฉุดมือผมให้เดินตามทางลาดต่ำลงไป นางบอก พระที่นั่งสุทธาสวรรย์รอบๆ เป็นถนนปูด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลือง เมื่อกระทบแสงแดดจะมีประกายแวววับ ผมจมอยู่ในภาพฝัน เหมือนนางพาเดินเข้าไปในประวัติศาสตร์ นางพาผมเดินผ่านประตูและกำแพง ตึกพระเจ้าเหา ตึกเลี้ยงรับแขกเมือง สีชมพูในม่านแดดกลายเป็นสว่างไสว ดอกลั่นทมกำจายกลิ่นหอมในอากาศ ผมหลับตาในความเงียบที่ปกคลุมถนนประดับแต่งไว้ด้วยไม้ดอก ไม้ประดับ ธงทิวสะบัดพลิ้ว เหล่าผู้คนแต่งกายชุดไทย เสียงโห่กึกก้องขบวนแถวยาวเหยียดปรากฏขึ้นในถนนว่างเปล่า บนกำแพงธงทิวโบกสะบัด ผมตกอยู่ในภวังค์หลงใหล ลืมตาขึ้นมา แสงเงาแขวนค้างอยู่ในอากาศ เหล่าผู้คนพากันเดินชมวัง เสียงรถยนต์คำราม กลิ่นจากร้านอาหารลอยมา กลิ่นหอมดอกไม้ลอยมา มีเรื่องราวมากมายเบียดเสียดเป็นฉากหลังห่อคลุมในกาลเวลา ราวกับว่าเพิ่งผ่านไปไม่นาน ตำนานเก่าแก่งอกขึ้นมาในเรื่องเล่าอีกครั้ง ตะเกียงบนช่องกำแพงดับลง ท้องฟ้าสะพรั่งแสงดาว นางพาผมผ่านไปในยามค่ำคืนซึ่งโชยหอมมาด้วยดอกลั่นทม พอแสงจันทร์สาดส่อง เงาตะคุ่มต้นไม้โอนเอน ไม่นานดวงจันทร์คล้อยลอยหายแล้วมืดลงในฉับพลัน มีรอยยิ้มจากชุดสีชมพู การแตะสัมผัสของมือนาง บอกเล่าเรื่องราวมากมายทบซ้อนที่จะโผล่ออกมา ความเร้นลับเคลื่อนไหวข้ามศตวรรษ ใบหน้านางเต็มอยู่ด้วยความเศร้า ภาพลวงตาสะท้อนเงาของอากาศที่กำลังเต้น กำแพงสูงที่ล้อมรอบได้กักขังนางเอาไว้ ราวกับสิ่งต่างๆ ต้องคงอยู่เอาไว้อย่างที่เป็น ประตูวังที่เปิดกว้างค้างทิ้งไว้ เหล่าผู้คนมากมายพากันย่ำเดินบนถนนอิฐ ต่างพากันมองซากจากอดีต แสงแดดแผ่กว้างออกคลุมพื้นที่ มีเรื่องราวมากมายซ้อนทับกันอยู่ในอากาศ ป้อมกำแพงที่หลับใหลถูกปลุกให้ตื่น มีเสียงมากมายดังรอบตัว มือกุมมือด้วยดวงตาที่ว่างเปล่า เหล่าผู้คนตกในวงล้อมของเมืองหม่นมัว พากันเดินเรื่อยๆ กันไป เรื่องเล่าจากปากนางมีมากมายเหลือเกิน ทุกถ้อยคำที่เอ่ยออกมาเกี่ยวข้องกันกับเมือง ผมประจันหน้าอยู่กับภาพลวงตา ได้ถูกความกลัวเกาะกุมเอาไว้ ผมรู้สึกเจ็บหน้าอก หัวใจเต้นแรง แล้วผมก็ล้มลงหน้าประตูวิเศษไชยศรีที่เปิดกว้างค้างทิ้งไว้ ก่อนจะถึงพื้นดินมีมือมาฉุดเอาไว้ นางหัวเราะออกมา เบื้องหน้าถนนสรศักดิ์ รถยนต์คำรามในอากาศอับทึบ ตึกแถวเปิดเป็นร้านรวงตลอดแนว ผมได้ยินเสียงฝีเท้ามากมายของเหล่าผู้คน นางจ้องมองไปข้างหน้า นางพูดว่า ต้นฉำฉาหายไป มันหยัดยืนข้างประตูฝั่งละต้น ต้นไม้หายไปไหน นางเดินวนกลับไปกลับมา พูดด้วยเสียงอันดังสะท้อนไปมาแล้วนางก็ร่ำไห้ เสียงนั้นเศร้าเย็น ลอยละลิ่วในความหม่นมัวของเมือง เหล่าผู้คนต่างพากันเหลียวมองไปรอบตัว เมื่อเสียงร้องไห้ดังขึ้น ห่มคลุมไปทั้งเมือง แทงทะลุเข้ามาจากความกลัว ลมโหมกระหน่ำ หอบเอาดอกลั่นทมมาตกเกลื่อนกลาดบนถนนเป็นสีขาว กลิ่นหอมเย็นล่องละลิ่ว นางหายวับไปต่อหน้าต่อตา ทันใดนั้นเสียงพูดตะคอกคำรามดังขึ้นมา มีลิงมากมายโผนร่างขึ้นในอากาศ บ้างกระโดดโลดเต้นบนถนนซึ่งอาบไปด้วยสีขาวของดอกลั่นทม ฝูงลิงพากันแผดเสียงร้องออกมาดังลั่น เหล่าผู้คนต่างพากันมองดูว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น ผมรู้สึกหม่นหมองและเกิดความกลัวจะถูกลิงกัด จึงเดินเลาะกำแพงเมืองไปที่แม่น้ำ พอถึงบันได 51 ขั้น เดินลงไปอีกครั้งอย่างช้าๆ ผมจดจำถ้อยคำของนาง ต้นไม้มันหายไปไหน จึงรู้สึกอดสูใจ เมื่อนึกย้อนกลับไป ต้นฉำฉาถูกตัดโค่นเพราะยืนต้นตาย สาเหตุเกิดจากการลิดรานกิ่งไม้มากเกินไป เวลาผ่านไป อีกต้นที่ยืนต้นคู่กันก็ค่อยๆ ยืนต้นตาย ช่างน่าเศร้ายิ่งนัก ต้นไม้ยืนต้นขนาบข้างประตูโบราณ มีชีวิตมายาวนาน พอถึงเวลาก็พากันตาย ช่างน่าพรั่นพรึงยิ่งนัก ต้นไม้ใหญ่ล้มหายไปนั้นเป็นเรื่องใหญ่ พลันนั้นเอง ดอกหางนกยูงสีแดงแสด ผมจำได้ว่า ต้นหางนกยูงสูงใหญ่ยืนต้นอยู่หน้าสวนราชานุสรณ์ ได้ถูกตัดโค่นเพราะหวาดกลัวว่าจะล้มใส่บ้านเรือน มันจากไปแล้วเหมือนไม่รู้เนื้อรู้ตัวว่าจะถูกเลื่อยยนต์ตัด เสียงหวูดเรือกังวานขึ้น ต่อมาเสียงฝีเท้ามากมายเหยียบบันได เหล่าผู้คนพากันเดินขึ้นลงบันไดหันมามองเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น มองผ่านผมไปเหมือนไม่มีเรื่องราวอันใดเกิดขึ้น ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เพียงเมล็ดหล่นลงพื้นดิน แล้วแทงรากแทงใบอ่อนโผล่พรวดออกมา พอนานวันกลายเป็นต้นไม้สูงใหญ่ ไม่แปลกอะไรเมื่อเหล่าผู้คนจะต้องหยิบจับทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นเงินเป็นทอง หรือว่าชะตากรรมได้เลือกเพื่อให้ต้นไม้หมายเมืองได้ล้มหายไป ราวกับถูกหลงลืม เหล่าผู้คนไม่มีความอ่อนแอที่จะละอายใจ ความร้อนกระจายอยู่ในเมืองซึ่งเต็มไปด้วยความเงียบเหงา ผมอยากจะร้องไห้ใจจะขาด ไม่อยากให้เหล่าผู้คนตัดต้นไม้ ผมยืนนิ่ง ตาจ้องมองที่พื้น เงาแดดพาดผ่านสีชมพูปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตา แล้วเริ่มโอบรัดตัวผม แล้วนางก็หัวเราะออกมา ทันใดนั้น หมาสีดำโผล่พรวดบนบันได วิ่งไล่แมวสีดำ เสียงหมาเห่า เสียงแมวร้อง เงาจากแสงแดดก่อเกิดเป็นรูปหมากับแมวเคลื่อนไหวบนบันได สูงขึ้นไปเป็นถนนสีดำ เงาเหยียดยาวถูกตัดขาดออกจากภาพด้วยเสาไฟฟ้า เหล่าผู้คนถูกตามไปด้วยเสียงเห่า เสียงร้องของพวกมัน พอนางพูด กาโน่ หมาสีดำหันกลับอย่างฉับพลัน นางเรียกชื่ออีกตัว กาโตะ แมวสีดำวิ่งพรวดมาซุกตัวใต้โจงกระเบน มันเอาหางลดต่ำซุกอยู่ระหว่างขา เพื่อบอกนางว่ายอมแพ้แล้วนะ หมาสีดำหางลู่ลงและยืนอยู่นิ่ง แล้วมันก็หันหน้ามาหาผมพร้อมเสียงคำราม นางตวาดอีกครั้ง มันไม่ทำอะไรหรอกนะ แค่อยากจะชวนเล่นด้วย ผมเรียกชื่อมัน กาโน่ หมาเห่ารับ กาโตะ แมวร้องรับด้วยถ้อยคำจากปากของนาง มันพากันเดินตามลงไปยังตีนท่าน้ำ เรือหลายลำล่องขึ้น-ลงในแม่น้ำ เสียงหวูดเรือกระหึ่มก้อง ทางเดินแคบของท่าเรือมีเสาไฟฟ้าให้แสงสว่างสลัว แล้วพวกมันกระโจนผ่านทะลุทางแคบไปหยุดรอนางที่ตีนท่าน้ำ เหล่าผู้คนยกข้าวของสัมภาระขนใส่เรือที่จอดลำ เสียงพูดดังลั่นในความอบอ้าว ลมพัดแผ่วเบา เสียงเห่าเสียงร้องของพวกมันปลุกเหล่าผู้คนให้ตื่นขึ้นจากความง่วงเหงาหาวนอน พากันมองไปรอบตัว นางตวาดอีกครั้ง พวกมันถลาลงไปตามทางลาด วิ่งไล่กวดกันไปตามตลิ่งสูง นางยืนกอดอกไม่เคลื่อนไหวอยู่ตรงนั้น ผมมองขึ้นไปตามบันได เห็นซุ้มประตูวังนารายณ์ตั้งตระหง่านเหนือถนน มีความเงียบคืบคลานเข้ามาปกคลุม แล้วความอึกทึกก็ตามมา มีเสียงโห่ร้อง เสียงฝีเท้ามากมายเดินมาหยุดหน้าประตูที่เปิดค้างเอาไว้ เสียงโครมดังขึ้น ประตูปิดลง มีแค่ใบไม้สั่นไหวเพราะแรงลม หมาสีดำกระโดดบนบันได ส่วนแมวสีดำโจนทะยานในอากาศ เหมือนจะจับอะไรสักอย่าง กลิ่นดอกลั่นทมลอยมาตามลม ตีนท่าน้ำคล้ายมีสิ่งลี้ลับครอบงำอยู่ มีเสียงสะท้อนจากฝีเท้ามากมาย ผมรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนบนบันได นางเดินขึ้นไปข้างบนถนน พวกมันเดินตามนางไปทุกที่ บางครั้งพวกมันก็กลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นดิน แล้วนางก็เดินหายไปที่มุมถนน ความกลัวลอยอยู่ในอากาศ ผมได้ยินเสียงหมาเห่า เสียงแมวร้อง จู่ๆ เสียงมันแทรกขึ้นมาในหูของผม รถยนต์แล่นมาแต่ไกลแล้วบีบแตร เหล่าฝูงนกพากันบินพรึบขึ้นสู่ท้องฟ้า กิ่งไม้ริมตลิ่งไหวเอน แต่เสียงฝีเท้ายังก้องกังวานอยู่ในหูของผม นางหายไปอยู่ที่ไหนสักแห่งภายในกำแพงเมือง ผมเดินออกมาจากท่าขุนนาง ขึ้นบันได 51 ขั้นเดินไปตามถนนพระราม เลี้ยวหัวมุมถนนราชดำเนิน ผ่านหน้าวังนารายณ์บนถนนสรศักดิ์แล้วเลี้ยวหัวมุมถนนเพทราชา ผ่านร้านเสื้อผ้า ผมแวะซื้อชุดเดรสยาวสีดำ หยิบกล่องห่อกระดาษสีชมพู อากาศภายนอกร้อนอบอ้าว แต่ใจผมร้อนรุ่มด้วยอยากพบนางอีกสักครั้ง ผมเดินรอบกำแพงเมืองก่อนจะหยุดจ้องประตูพยัคฆาซึ่งเปิดอ้าค้างไว้ ผมยืนประจันหน้ากับประตูไม้บานใหญ่สูงท่วมหัว หูแว่วเสียงกระซิบลอยมาตามลม เมื่อเงี่ยหูฟังเป็นเสียงประตูไม้ลั่น ตอนนั้นเองได้ยินเสียงหัวเราะของนาง เดินผ่านประตูเข้าไป ผมเห็นหมากับแมวนอนขดตัวบนพื้นดิน ลมพัดกลิ่นหอมดอกลั่นทมอบอวลในอากาศ ผมร้องเรียกนางอยู่ไหน ผมมองไม่เห็น แดดสาดแสงมีเงาวูบวาบก่อรูปร่างคล้ายผู้หญิง เสียงฝีเท้าสะท้อนก้องกับกำแพงเมือง เสียงลมหวีดหวิว ผมร้องเรียกนางอีกครั้ง มีเพียงเสียงดนตรีไทยลอยละล่อง เดี๋ยวดังทางโน้นทางนี้ ทันใดนั้น เหล่าผู้คนมากมายแต่งกายชุดไทย เดินไปเดินมา แสงตะเกียงตามช่องบนกำแพง ซุ้มประตูวูบวาบไปตามแรงลม ผมจ้องมองหานาง เดินวนอยู่บนถนนปูอิฐ ผมจมอยู่ในความมืด ออกไล่ตามแสงตะเกียงซึ่งลอยห่างออกไกล แสงไฟซ้อนกันสูงขึ้นไปบนกำแพง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นเหมือนภาพวาด การปรากฏตัวของทหารล้อมวัง เดี๋ยวเดินอยู่ข้างหน้า ประเดี๋ยวเดินอยู่ข้างหลัง บางครั้งมาเดินขนาบตัวผม ความกลัวล่องลอยรอบตัว ผมหลับตาลง มีกลิ่นหอมลอยมา จำได้ว่า กลิ่นหอมดอกลั่นทม ไม่นานแขนนางมาเกี่ยวแขนผม นางสัมผัสมือของผม มือนางเย็น กล่องห่อกระดาษสีชมพูลอยอยู่ในความมืด ผมลืมตาในความเงียบ ก่อนตะโกนบอกนาง แล้วพบกันที่ร้านกาแฟหน้าวัง แสงไฟวอมแวมส่องตรงหน้าประตู แล้วหมาสีดำกับแมวสีดำก็วับหายเข้าไปในความมืด ผมตระหนักรู้ถึงสิ่งที่ขาดหาย เมืองนั้นดูหม่นหมอง เหล่าผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาดูไม่เริงร่า เสียงหวูดเรือแผ่วเบา ฝูงลิงเงียบเหงาไม่ซุกซน ราวในความฝัน กาลเวลาที่ล่วงผ่านไปได้กักขังทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ภายใต้เปลือกตาของผม เสียงนางลอยมาตามลม แล้วพบกันนะ
2
ต้นตะเคียนสูงใหญ่งามสง่าแผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมตีนท่าน้ำ ถัดออกไปไม่ไกลกันนัก ต้นยางใหญ่ลำต้นเปลางาม เรือนยอดเหยียดยาวห่มคลุมตีนท่าน้ำ ข้าพเจ้าเดินลงมาตามบันได 51 ขั้น บันไดทอดตัวจากด้านบนถนนพระรามสู่เบื้องล่างท่าขุนนาง ราวจับปูนปั้นโค้งตัวอ่อนช้อย ซุ้มประตูยาตรากษัตริย์โค้งสวยงาม ประตูไม้ที่ขนาบทั้งสองด้านล้วนปิดสนิท ข้าพเจ้าได้ยินเสียงน้ำซัดเข้าใส่เรือที่ผูกไว้กับหลักไม้ ทันใดนั้นมีเสียงหวีดร้อง หญิงสาวในชุดไทยสีชมพูตกลงมาตามขั้นบันได สีแดงฉานฉาบทาพื้นขณะเธอหล่นลงไป แดดสาดแสงจ้า เงาดำวูบวาบไปมาเหนือบันได เหล่าฝูงนกที่บินอยู่รอบๆ กำแพงเมือง พากันร่อนลงจับบนบันได เสียงร้องของเธอหายไปในความเงียบ ราวกับข้าพเจ้าจมหล่นอยู่ในภาพหลอน ข้าพเจ้าจึงตะโกนขึ้นเรียกขอความช่วยเหลือ มีคนตกบันได มาช่วยกันเร็วๆ เหล่าผู้คนที่เดินผ่านไปมา แค่มองไปรอบๆ ตัว เหมือนไม่มีเรื่องราวอันใดเกิดขึ้น เลือดสีแดงไหลลงมาตามบันได ไกลลงไปเบื้องล่าง แม่น้ำลพบุรีไหลคดโค้งไปตามตลิ่ง เสียงหวูดเรือกังวานลั่น แล้วสุ้มเสียงอันดังมากมายสั่นสะเทือนในอากาศ ร่างของเธอหล่นลงมาในความสงัดเงียบ หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เมื่อทุกสิ่งล้วนจัดวางไว้ลงตัว ภาพทุกภาพที่ข้าพเจ้ามองเห็น เสียงทุกเสียงที่ข้าพเจ้าได้ยิน ล้วนหายไปในช่องว่างของกาลเวลา กำแพงโบราณทอดตัวเหยียดยาว สูงตระหง่านขึ้นไปในอากาศ ความสิ้นหวังแค่กำลังเริ่มขึ้นเมื่อมีคนตกจากบันได ลมพัดมา มีกลิ่นหอมล่องลอย ไหลอาบคลุมกำแพงอิฐที่จมลงในพื้นดิน ผืนธงโบกสะบัดเหนือใบเสมาที่อยู่บนกำแพง เงาสูงใหญ่ทาบติด วูบเดียวก็หายไปในอากาศว่างเปล่า ความมืดมนได้สร้างภาพลวงตา ข้าพเจ้าถูกห้อมล้อมอยู่ด้วยกลิ่นหอมดอกลั่นทม เหล่าผู้คนขนัดแน่นบนขั้นบันไดกว้างโล่ง มองไปที่รูปเงาบนผนังกำแพง ผ้าสีชมพูแกว่งไกว แล้วประตูใหญ่ถูกผลักเปิดโล่งกว้าง ข้าพเจ้าเห็นหญิงสาวในชุดไทยลอยผ่านช่องประตู สีชมพูคลุมมิดศีรษะจรดเท้า พอเธอพ้นธรณีประตูเข้าไป เสียงโครมปิดตามหลัง เหล่าผู้คนตื่นตระหนกด้วยความหวาดหวั่น ชั่วพริบตาก็พากันหนีหายไปจากบันได ข้าพเจ้ามองดูเธอล่องลอยหายวับไปในวังนารายณ์ รู้สึกหนาวยะเยือก มันหายไปแล้ว ข้าพเจ้าก้าวไปบนบันได และก้าวขึ้นสู่ถนนประตูชัยผ่านกำแพงเมืองซึ่งถมดินสูงขึ้นมา ถัดออกไปเป็นคูเมืองมีน้ำล้อมรอบ เหมือนหลงทางวกวนอยู่ในอดีตกาล เพราะซากหักพังของป้อมกำแพง เชิงเทิน รอคอยอยู่เบื้องหน้า ประตูชัยสูงตระหง่านจนต้องแหงนคอมอง ข้าพเจ้าปีนป่ายไปตามทางเดินเล็กที่ลาดชัน สูงขึ้นไปสู่เชิงเทิน แสงแดดสาดกระทบอิฐเก่าคร่ำคร่า ทิวไม้เบียดเสียดยื้อแย่งชูกิ่งก้านสูงขึ้นบนฟ้า สายลมหวีดหวิวพัดผ่านช่องกำแพง เบื้องล่างรถยนต์เคลื่อนผ่านช่องประตูออกไปสู่ถนนทอดยาวหายไปใกล้คูเมือง เสียงแตรแผดเสียงไล่ตามติดเหล่าผู้คนที่เดินบนถนน เงาแดดถอยร่นหายไปในซอกหลืบ แล้วความเงียบคืบคลานเข้ามา ข้าพเจ้าใจคอไม่ดีเลย เมื่อลมหอบเอากลิ่นหอมอบอวลล่องลอยรอบตัว จำได้ว่าเป็นกลิ่นดอกลั่นทม ข้าพเจ้าพยายามเงี่ยหูฟัง ไม่มีเสียงใดเลย ช่างเงียบเชียบและเงียบงัน เหล่าผู้คนก็ล้วนหายไปหมด ความอึดอัดบีบรัดร่างของข้าพเจ้าเอาไว้บนกำแพงเมือง เมื่อหลับตาสีดำโถมทับ เสียงโห่ร้องกระหึ่มก้อง เสียงฝีเท้ามากมายเคลื่อนผ่านช่องประตูชัย ต่อมามีกลุ่มคนมายืนแข็งทื่อบนกำแพง เชิงเทิน เสียงยังก้องกังวานอยู่ในหู ข้าพเจ้าลืมตาขึ้น ฝูงนกบินสู่ท้องฟ้า ฉากพรางตาของเมืองไหลเวียนเข้ามาในหัว ดอกลั่นทมสีขาวเกลื่อนกระจายเต็มพื้นถนน ภาพที่ปรากฏมีบ้านเรือน ปลูกทับบนกำแพงดิน มีสายลวดขึงระโยงระยางเป็นราวตากผ้า กลิ่นน้ำเน่าลอยจากคูเมือง ขยะกองเกลื่อนกลาด ถุงพลาสติกปลิวว่อนบนถนน ข้าพเจ้าเดินผ่านร้านรวงซึ่งเปิดขายบนบาทวิถี ลัดเลาะระหว่างทิวแถวต้นลั่นทม ไม่นานก็ออกสู่ถนนกาญจนาคม เสียงหวูดรถไฟดังมาแต่ไกล หัวรถจักรได้ลากจูงขบวนตู้ยาวเหยียด เหล่าผู้คนเดินกันขวักไขว่หน้าสถานีรถไฟ วัดบันไดหินอยู่ริมทางรถไฟด้านตะวันตก ติดกับสถานีรถไฟลพบุรีด้านใต้ อยู่หน้าวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ยังมีผนังอุโบสถเหลืออยู่ ประตูหน้าต่างโค้งแหลม มีซากเจดีย์เหลืออยู่แต่ก็หักพังไปมากแล้ว ข้าพเจ้ามองเจดีย์เหลี่ยมย่อมุมสิบสอง ปูนปั้นนั้นเหลือเพียงเศษซาก เป็นความทรงจำจากอดีต ข้าพเจ้าเกิดความหวาดหวั่น ตัวแข็งทื่อ ขุมขนลุกกรูเกรียวรู้สึกเหมือนมีใครยืนอยู่ข้างหลัง แข็งใจหันกลับไปเผชิญหน้า เงาจางวูบหายไป มันทำให้ไขว้เขวเตลิดไปกับความคิด ยิ่งข้าพเจ้าเดินใกล้วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เหมือนมีบางอย่างพลุ่งพล่านในตัว แสงแดดส่องทาบยอดปรางค์ ข้าพเจ้าตระหนักถึงกองความศรัทธาสูงขึ้นท่วมมิดศีรษะ แล้วปลิวว่อนไปตามลม ลอยสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า เพราะมีลายปูนปั้นประดับองค์ปรางค์อันงามเลิศ ซุ้มโคปุระงดงามเป็นที่เลื่องชื่อ หน้าบันปรางค์ทางทิศใต้ มีพระพุทธรูปประทับบนดอกบัวล้อมรอบด้วยเรือนแก้ว และมีเทวดานั่งชันเข่าประนมมืออยู่สองข้าง ลายปูนปั้นที่กระดาน แถวบนสุดเป็นลายกระหนกของขอม เหมือนมีมนต์สะกดให้ต้องเงยหน้ามองยอดพระปรางค์ ดวงตานาคราชจ้องมอง ข้าพเจ้าสะดุ้งเหมือนถูกจ้อง พญานาค 5 เศียร นัยน์ตาแดงก่ำจ้องมองลงมา ข้าพเจ้าเห็นรูปยักษ์ถือกระบองในท่าเหาะอยู่ข้างหน้าพญานาค ลายบัวหงายเป็นลายป้อมๆ มีกลีบแทรกอยู่เหนือลายหน้ากระดาน ใต้ลงมาเป็นลายตัดทแยงแบบขนมเปียกปูน เป็นลายประจำยาม ต่ำลงมาเป็นรูปหงส์คาบช่อกระหนกเป็นทิวแถว ลวดลายอ่อนช้อย พลิ้วไหวตัวกระหนกเหมือนจะโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้า ข้าพเจ้าเดินมาชมลายปูนปั้นตรงย่อมุมของปรางค์ทิศ ลายคาบยาวหุ้มย่อมุมแนบสนิท ส่วนปลายแหลมสะบัดพลิ้วเป็นกระหนกเปลวกาบพรหมศร ทันใดมีเงาดำวูบวาบล่องลอยไปทางองค์ปรางค์ใหญ่ ข้าพเจ้าตามไปได้ทันเห็นชุดสีชมพู เธอหันหน้ามายิ้มให้ ชี้ให้ดูลายประจำยามล้อมกรอบด้วยลายเม็ดไข่ปลา เน้นขอบด้วยปูนปั้นกระจังตาอ้อย เหนือขึ้นไปเป็นบัวหงาย ปั้นปูนเป็นรูปหงส์เข้าแถวเรียงราย เธอพูดว่า สวยงามมาก เสียดายที่ใจคนถูกห่อหุ้มด้วยความโลภ มองเห็นทุกอย่างเป็นเงินทอง มีเสียงหมาเห่า เสียงแมวร้อง อีกฟากองค์ปรางค์ เธอพูดถ้อยคำบางอย่าง เหมือนตกอยู่ในความสงัดเงียบ ต่อเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างไหลรวมเป็นความกลัว เพียงชั่วขณะดูยืดยาวเป็นศตวรรษ ปรางค์รายขนาดย่อมทางทิศเหนือ ยอดปรางค์ทรงกลีบมะเฟือง มีรูปเทพนมอยู่ด้านล่าง ก่ออิฐไม่สอปูน แล้วเธอกุมมือข้าพเจ้า ฉุดรั้งให้ออกเดินไปบนสนามหญ้า เบื้องหน้าเลือนรางแสงแดดด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แสงนั้นงดงามน่าหลงใหล อาบไล้แฉกกลีบมะเฟือง ที่มุมกลีบทุกมุมปั้นปูนเทพนมผุดจากดอกบัวในท่าประนมมือหันออกรอบทิศ พระพักตร์สี่เหลี่ยมมีพระขนงต่อกัน สวมชฎาทรงสามเหลี่ยมไม่สูง มีพระรัศมีเป็นสามเหลี่ยมโดยรอบ เธอบอกว่า นี่แหละเป็นใบหน้าผู้คนในสมัยนั้น ข้าพเจ้าเหม่อมองดวงตา หน้าตาเป็นเหลี่ยมอาบอยู่ในลำแสงแดด ร่างสั่นระริกเหมือนจะเหาะออกมาจากกลีบมะเฟือง เมื่อแดดขยับภาพเทวดาจรัสแสงก็หายวับไป ร่างสีชมพูลอยวูบไปที่ซุ้มปรางค์รายทางทิศตะวันตก เธอชี้ชวนให้ดูภาพพระพุทธเจ้าประทับนั่งบนฐานชุกชี เขียนด้วยสีฝุ่นผสมกาว เธอพูดว่า สีขาวจากปูนขาว สีแดงจากดินแดง สีเหลืองจากดินเหลือง สีดำจากเขม่าควันไฟ ข้าพเจ้าแหงนมองปูนปั้นหัวเสารูปดอกบัวและกลีบบัว เป็นเสาแปดเหลี่ยม มีเทวดาในท่าเหาะอยู่หัวเสาปั้นได้งดงามมาก เธอพูดว่า ทรงสูง ระฆังกลม บัลลังก์แปดเหลี่ยม ยึดถือตามธรรมเนียมเดิม กลิ่นหอมลอยตลบทั่วเขตวัด ลำต้นสูงใหญ่แผ่กิ่งก้านปกคลุม ในม่านแดดเงียบเชียบ ข้าพเจ้ายืนอยู่ตรงบันได จึงค่อยๆ ก้าวลงบันได พอลงถึงตีนบันได ร่างเธอก็หายในเงาสลัวซอกมุมปรางค์องค์ใหญ่ เหล่าผู้คนด้วยใบหน้าตื่นตาตื่นใจ น้ำตาปริ่มเมื่อเห็นความงดงามของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เบื้องหน้าพระปรางค์องค์ใหญ่ในเงื้อมเงาจากซากอดีตกาล ไม่นานนักเหล่าผู้คนต่างพากันหามุมถ่ายภาพ เสียงมากมายทะลักท่วมเข้ามาในบริเวณเขตพัทธสีมา เมื่อแดดหุบแสง บรรยากาศเงียบลงในทันใด เสียงหมาเห่า แมวร้องดังลั่น ไม่นานเสียงเงียบหายไป เดินลัดเลาะอ้อมมาด้านหน้าวิหารเก้าห้อง แสงที่ตกกระทบใบลั่นทมดูงามตายิ่งนัก โคนต้นตะปุ่มตะป่ำแย่งกิ่งก้านปกคลุมรกครึ้ม แว่วเสียงพระสวดมนต์ล่องลอยมาตามลม ข้าพเจ้าคอยเงี่ยหูฟังเสียง มีแต่ความสงัดเงียบ เธอไม่ได้ปรากฏตัวให้เห็นแต่ได้ยินเสียงหัวเราะของเธอดังมาจากวิหาร เดินผ่านกำแพงแก้วล้อมรอบ เงยหน้ามองผ่านหน้าต่างรูปกลีบบัวเห็นเงาดำลอยละลิ่วหายไป เธอหายไปไหน เพียงชั่วขณะทุกสิ่งทุกอย่างได้รวมเป็นความกลัวที่ไหลทะลักออกมา ได้ยินเสียงสวดมนต์แว่วมาอีก เสียงหมาเห่ากระโชก เสียงแมวร้องหง่าว หง่าว ข้าพเจ้ายืนนิ่งในความเงียบงัน ใจเต้นระรัว จ้องมององค์ปรางค์ ไต่บันไดศิลาแลงสูงขึ้นไป ลวดลายปูนปั้นจมอยู่ในหลืบเงา หญิงในชุดไทยสีชมพูเคยยืนตรงนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนนานมาแล้ว กลิ่นขี้นกพิราบฉุนติดจมูก ลอยปะปนในฝุ่นค้างปี กลิ่นธูปควันเทียนคละคลุ้ง ลำแสงลอดผ่านช่องหน้าต่างตกกระทบพื้น ลมพรั่งพรูเป็นสาย เงี่ยหูคอยฟังเสียง จมในความเงียบ กลิ่นหอมดอกลั่นทม ข้าพเจ้าจำกลิ่นไม่ผิดแน่ ได้ยินเสียงดังเหมือนคนคุยกัน พอตั้งใจฟังก็หายไป อึดใจเสียงเข้ามากระทบหู ชะโงกหน้าเข้าไปมองในโถงกว้าง ได้ยินเต็มสองหู ช่างหน้าเศร้ายิ่งนักข้าพเจ้ามองไม่เห็นสิ่งใดเลย เดินลงมาจนสุดตีนบันได หันกลับไปมองอีกครั้ง ลวดลายปูนปั้นดูแจ่มชัด วงกลมและเส้นโค้งถูกตบแต่งด้วยความวิจิตรบรรจง ความสวยงามของภาพเป็นลายดอกไม้ ใบไม้ รูปร่างใบเสมา ทรวดทรงของลวดลายก้านขดกับตัวกระหนกเริ่มผสมผสานกัน ข้าพเจ้าตระหนักว่าจิตรกรและช่างปั้นจ้องดวงตาแห่งจินตนาการมองข้าพเจ้าซึ่งเป็นผู้บุกรุกเข้ามาในวิหาร ซุ่มดูอย่างเงียบเชียบอยู่ในเงาสลัว เมื่อลำแสงส่องลอดรอยโหว่ของหลังคา ลายเส้นแจ่มชัดถูกบีบรัดให้หล่นลงมาแต้มพื้น พลิกไหวระยิบระยับ เป็นฉากในอดีตกาลที่แขวนอยู่บนผนัง กรอบประตู หน้าต่าง ประกอบเป็นเรื่องราวในตัวมันเอง ข้าพเจ้าเดินออกจากที่นั่น เพื่อปล่อยให้ภาพจิตรกรรม ลวดลายปูนปั้น บอกเล่าเรื่องราวที่ซุกซ่อนเอาไว้ ลัดเลาะผ่านกำแพงแก้วมุ่งหน้าไปทางฝั่งที่ต้นไม้ครึ้ม ต้นจันทน์ใหญ่ยืนต้นสูงทึบทะมึน พุ่มใบกิ่งก้านหนาทึบ แสงแดดส่องไม่ถึงพื้นดิน ข้าพเจ้าตรงเข้าไปโอบกอดเพื่อซึมซับสัมผัสจับต้องทุกอย่างที่เห็นลงในความทรงจำ นานมาแล้ว มีความฝันมากมายถือกำเนิดจากแรงศรัทธา หลอมรวมกับความเชื่อหยั่งรากลึกลงบนพื้นดิน ประจักษ์พยานการบูชาได้ผ่านกาลเวลามานานหลายร้อยปี เสียงหวูดรถไฟปลุกให้ข้าพเจ้าตื่นจากภวังค์ เสียงล้อเหล็กบดราง เสียงหวูดรถไฟดังยาวนาน เหล่าฝูงนกกระพือปีกจากกิ่งไม้ โผขึ้นสู่ท้องฟ้า ใบไม้อาบใบในแสงแดดที่สาดกระทบ ใจลอยหายอย่างเงียบเชียบเมื่อก้าวขาออกจากประตูวัด อากาศข้างนอกมัวหม่น แดดสาดหน้าจนร้อนผ่าว เสียงรถยนต์คำราม เสียงเอ็ดตะโรเอะอะจากเหล่าผู้คนบนถนนรอบวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ มีร้านรวง บ้านช่องห้องหับล้วนสีสันตระการตา ข้าพเจ้าเห็นต้นโพธิ์ถูกบีบรัดอัดแน่นไปด้วยสิ่งของมากมายกองสุมที่โคนต้น ทุกสีสันในแสงจ้าสว่างไสว วูบนั้นเองข้าพเจ้าอยากจะร้องไห้ด้วยความละอายใจ มองลอดกำแพงรั้วเข้าไป กลีบมะเฟืองบนยอดปรางค์ราย มีเทวดาผุดจากดอกบัวประนมมือหันออกรอบทิศ ข้าพเจ้าเผลอหลุดปากหัวเราะด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจ ปูนปั้นสัญลักษณ์ของเทพยดาแห่งสวรรค์สุขาวดีช่างงดงามมหัศจรรย์ เทวดาตัวขาวโพลนยืนอาบแดดตากแดดตากฝนมาหลายร้อยปี ร้านขายเหล้าซุกตัวแนบชิดกำแพงพัทธสีมา ฝรั่งผมแดงทั้งชายและหญิงยกแก้วชูว่อน เสียงเพลงคาราโอเกะแผดสนั่น ยิ่งไปกว่านั้น หญิงหลายคนออกมายืนเร่ขายความสวยงาม ความสุขท่วมท้นระลอกแล้วระลอกเล่า ข้าพเจ้าตระหนักว่าทุกสิ่งรังแต่จะเสื่อมลง อดีตยาวนานถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เมื่อความสุขผลิบานเต็มเมือง เหมือนติดอยู่ในภาพวาด เขียนด้วยสีฝุ่นผสมกาว ได้กลิ่นดอกลั่นทมโชยมาจากวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ใจหายใจคว่ำนึกได้ว่าข้าพเจ้าเดินจากที่นั่นมาไกลมาก ใจเต้นรัว หนาวเยือกไปทั้งร่าง เผลอใจนึกถึงหญิงสาวในชุดสีชมพู เธอหายไปไหน ข้าพเจ้าเดินไปตามทางเล็กดูคับแคบแออัดไปด้วยบ้านช่องห้องหับ ทุกหลังล้วนปลูกคร่อมทับกำแพงดิน คูเมืองถูกถม บางช่วงแฉะโคลน น้ำเน่าส่งกลิ่นลอยอบอวล ลัดเลาะซอกซอนเดินมาโผล่อีกฟากของกำแพงเมือง ท่ามกลางแมกไม้เขียวขจี ต้นไม้เบียดเสียดกันแน่นขนัด มีทางเดินแอบแนบชิดกำแพง ทางคดเคี้ยวเลี้ยวลด ผ่านบริเวณซากปรักหักพังของเจดีย์ วัดร้าง ป้อมประตูหอรบสูงต้องแหงนคอมอง ลมกระโชกแรง บรรยากาศดูช่างเงียบเหงาวังเวง หูแว่วได้ยินเสียงเครื่องดนตรีไทย ประเดี๋ยวดังข้างหน้า บางครั้งดังข้างหลัง พลอยนึกไปว่ามีงานอะไรสักอย่างละแวกนี้ คอยเงี่ยหูฟังเสียง หายไปแล้ว มีความเงียบอึดอัดปกคลุมในอากาศ กว่าจะรู้ตัวข้าพเจ้าก็โผล่ตรงทางเข้าป้อมชัยชนะสงคราม มองเห็นใบเสมาขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนตัวป้อม ป่ายปีนขึ้นไปตามด้านข้างกำแพง ยืนข้างใบเสมามองลงมาเห็นคูเมืองมีน้ำขัง บางช่วงบ้านช่องห้องหับถมดินรุกล้ำ เมื่อมองลงมาเห็นป้อมสี่เหลี่ยมสูงใหญ่ ก่อด้วยอิฐถือปูนเป็นกรอบนอก 3 ด้าน ด้านในถมดินต่อยาวเป็นแนวเดียวกับกำแพง มีใบเสมาเรียงรายบนสันกำแพง แดดส่องสว่างบนอิฐโบราณ เงาถอยร่นขณะแสงแดดรุกไล่จนประชิดกำแพงเมือง รูปเงาเคลื่อนไหว เสียงหัวเราะดังขึ้น ข้าพเจ้าตัวสั่นด้วยความกลัว ก้าวขาไม่ออก สองมือกอดใบเสมาเอาไว้แน่น ตัวสั่นสะท้าน ร่างเธอยืนภายใต้เงามืดของป้อม มองเห็นหมาสีดำกับแมวสีดำวิ่งเล่นบนพื้นดิน ไม่นานนักข้าพเจ้าก็ข่มใจให้หายกลัว สีชมพูเคลื่อนไหววูบวาบในม่านแดด กลิ่นหอมดอกลั่นทมลอยอบอวล ข้าพเจ้าค่อยไต่ลงมายืนบนพื้นดิน ผ้าสีชมพูเหมือนแขวนอยู่บนกำแพง บางครั้งลอยในอากาศ ขนลุกเยือก ความหนาวเหน็บไต่เลื้อยบนร่างข้าพเจ้า หมาวิ่งเข้ามาดมกลิ่นทักทาย แมวเข้ามาเล่นหยอกเย้า เธอเรียกชื่อ กาโตะ แมววิ่งกลับมาหา กาโน่ หมากระดิกหางแล้ววิ่งเข้ามาหา เธอชี้นิ้วไปที่ซอกกำแพง หมากับแมวไปนั่งคุดคู้บนเนินดิน เลือนรางก่อนหายวับ เธอยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ภาพวาดสีชมพูบนกำแพงป้อม อิฐโบราณเย็นเฉียบ เห็นแล้วเศร้าใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ภาพเธอกลายเป็นฉากในตำนาน สายตาเธอจับจ้องบนพื้นดิน เพื่อลงหลักปักฐานบนผนังกำแพงเก่า ภาพวาดของเธอได้ผ่านกาลเวลามายาวนาน มีถ้อยคำมากมายอวดโอ่ชมภาพความงดงาม ข้าพเจ้าเดินเข้าไปดึงแขนเธอให้หลุดจากการจองจำ มือเล็กผอมซีด มีความอบอุ่นเกิดขึ้น เธอมีชีวิตอีกครั้งหลังผ่านไปหลายร้อยปี แม้ว่าจะถูกจองจำท่ามกลางความมืดของรัตติกาล ผีสางเทวดานั่งจับเจ่ารอคอยบนถนนอึมทึม ลมพัดแผ่วเบา ใบไม้โยกไกวอย่างเกียจคร้าน ชุดสีชมพูระยิบระยับในแสงแดด เหล่าผู้คนตาร้อนผ่าว พากันอิจฉา สีที่วาดเธอบนก้อนอิฐเก่าคร่ำได้ฝังเธอเอาไว้บนกำแพง อุดอู้อยู่ใต้กำแพงหนาทึบ เธอซ่อนตัวอยู่ภายในป้อม ในอากาศหอมกลิ่นดอกลั่นทม ในความอึดอัดคับแคบของก้อนอิฐ ใบหน้ามากมายถูกใส่กรอบแล้วนำมาแขวนไว้ แต่ละใบหน้าแต่ละภาพไม่เหมือนกันเลย เรื่องราวซึ่งถูกเขียนจึงเปลี่ยนไปขณะปล่อยมือเธอ ตอนนั้นเองข้าพเจ้าได้ยินเสียงหัวเราะ ร่างเธอลอยเหนือยอดหญ้า ไปจากตรงนี้กันเถอะ เธอบอกก่อนพาข้าพเจ้าเดินออกไปสู่ถนนประตูชัย เดินลัดเลาะคันดินโบราณ คูเมืองมีน้ำขังอยู่เต็ม บางช่วงกำแพงเมืองถูกต้นไม้รกครึ้มปกคลุม ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเดินมาถึงแม่น้ำลพบุรี เสียงหวูดเรือดังลั่น เหล่าผู้คนมากมายพากันขนถ่ายสัมภาระจากตีนท่าน้ำขึ้นไปสู่ถนนพระราม บ้านช่องห้องหับที่ปลูกคร่อมบนคันดินกำแพงเมืองเก่า เปิดประตูหน้าต่างจัดเตรียมสินค้าออกมาวางขาย ฉากพื้นหลังที่ข้าพเจ้ามองเห็น ซุ้มโค้งประตูไม้ของวังนารายณ์ดูโดดเด่นสะดุดตาสวยงามใช่ไหม ข้างในวังนั่น สวยกว่านี้เยอะ เธอบอกก่อนจะเดินไปโคนต้นตะเคียน ชุดสีชมพูลอยขึ้นไปแขวนไว้บนกิ่ง อีกหน่อยมันจะถูกโค่นทิ้ง น้ำเสียงเธอแผ่วเบา มีความเศร้าถมทับในอากาศรอบตัว ข้าพเจ้ารู้ว่าเธอเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวเมืองเก่าแห่งนี้ ความเป็นห่วงเป็นใยปลิดปลิวเหมือนใบไม้ร่วง เธอลงมาจากกิ่งไม้มายืนบนพื้นดิน เดินกลับไปกลับมาเบื้องหน้าประตูวังที่ถูกปิด รอยยิ้มเศร้าปรากฏบนใบหน้า เพียงชั่วครู่ร่างลอยวูบไหวไปตามกำแพงเมือง เหล่าผู้คนได้หายไปจากถนน เมืองดูเงียบเหงามัวหม่นในม่านแดด ข้าพเจ้าเดินอยู่บนคันดินมีคูน้ำล้อมรอบ ผ่านเข้าไปในความสงัดเงียบ กลางซากอิฐปูนที่รกร้าง ต้นไม้ร่มครึ้มปกคลุม สายหมอกลอยเรี่ยต่ำกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง ท่วมมิดกำแพงเมือง ข้าพเจ้าจมในความเศร้า มองเห็นเจดีย์ทรงลังกา ระฆังเพรียวสูง ปลียอดหักโค่น ซุ้มประตูกำแพงผุกร่อน ป้อมปราการใหญ่โต แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรเหลืออยู่ ได้กลายเป็นบ้านช่องห้องหับ มีเพียงซากกองอิฐปูนหลงเหลืออยู่ ข้าพเจ้าเดินผ่านเสียงอึกทึก รถยนต์คำราม กลิ่นน้ำเน่าลอยตลบ ได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกบนถนน มีความวุ่นวายตามร้านรวงในตลาด เสียงฝีเท้าเหล่าผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา น้ำขังเฉอะแฉะตามตรอกซอกซอย หญิงสาวในชุดสีชมพูเหมือนล่องลอยออกมาจากรอยแตกของกำแพงเก่าคร่ำคร่า เธอตะเบ็งเสียงหัวเราะแล้วก็ร้องไห้ เสียงร่ำไห้ห่มคลุมเมือง ความอ้างว้างคลุ้งตลบ ได้ยินเสียงแมวร้อง ได้ยินเสียงหมาเห่า ข้าพเจ้ายืนตัวแข็งทื่อ ขาสั่น ใจหายวาบ เหมือนถูกผีหลอกกลางวันแสกๆ ในเมืองเก่าลพบุรี ความชำรุดทรุดโทรมปรากฏแก่สายตา ปูนปั้นออกมาเป็นภาพ ตัวกนกเหมือนโผบินสู่ท้องฟ้า ก้านขนด ลายหน้ากระดาน บัวคว่ำบัวหงายกลีบซ้อน ผุดใบให้ลอยโดดเด่น ภาพลายเส้นแจ่มชัดแต่สีซีดจาง พระพุทธรูปปูนปั้นในซุ้มจระนำของปรางค์ยอดกลีบมะเฟือง ความสวยโค้งกลมขององค์ระฆัง เห็นเจดีย์เหลี่ยมย่อมุมสิบสองสูงเด่นแต่ไกล ข้าพเจ้าเห็นกองอิฐเกลื่อนกลาด ซากเจดีย์ยอดหัก วัดถูกปราบพื้นราบเรียบเป็นบ้านช่องห้องหับไปเสียแล้ว น้ำในคูเมืองตื้นเขินมาก พ้นเนินดินออกไปต้นไม้ใหญ่สูงสะพรั่ง ขึ้นอยู่เรียงรายไปตามคลองคูเมือง บางช่วงเนินคันดินมีบ้านเรือนรุกรานเข้ามาแทนที่ ไม่มีแม้แต่ซาก สูญสลายไปอย่างเกลี้ยงเกลา เป็นเรื่องน่าเศร้าสลดยิ่งนัก เมื่อข้าพเจ้าหลับตา ภาพจากอดีตกาลล่องลอยมา เมืองแต่ก่อนนั้นมีป่าปกคลุมอยู่หนาทึบ พระปรางค์ เจดีย์ยังมีต้นไม้ขึ้นคลุมรกรุงรัง บางด้านพรุนไปหมดทั้งแถบ ไม่นานคงจะพังทลายลงมา ลืมตาขึ้นมาภาพวังนารายณ์กำแพงหนาทึบ มีใบเสมาปักเรียงราย ซุ้มโค้งประตูดูเด่นงามสง่า มีกลิ่นหอมลอยมา จำได้ว่าเป็นกลิ่นดอกลั่นทม เสียงหัวเราะล่องมาพร้อมลมเย็นเฉียบ ชุดสีชมพูห้อยแขวนไว้กลางอากาศ ตรงด้านหน้าประตูพยัคฆา แล้วลมพัดแรง กระหน่ำระลอกแล้วระลอกเล่า อากาศหนาวเยือก เธอกรีดร้องเสียงดัง ต่อมามีเสียงร้องไห้คร่ำครวญ เหล่าผู้คนที่ต้องเตร็ดเตร่อยู่บนถนนสรศักดิ์ต่างพากันหวาดกลัว ข้าพเจ้าได้ยินเสียงหมาเห่ากระโชก แมวร้องขู่คำราม เหมือนกับข้าพเจ้าตกอยู่ในความฝันกลางเมืองเก่าลพบุรี
3
เมื่อฉันเดินลงมาจากบันได 51 ขั้น ยืนบนตีนท่าน้ำแล้วหันกลับไปมอง เงาทึบทึมทอดทับลงเหนือบันได ลวดลายปูนปั้นปลายหัวเสาครอบโค้งม้วนพัน กระหวัดก่อนทอดตัวลงบนพื้น สายลมโชยแผ่วพัดพากลิ่นหอมของดอกลั่นทม ตรงตีนท่าน้ำตะเคียนสูงใหญ่ดำทะมึนอวดพุ่มไม้ดกหนา ถัดไปไม่ไกลนักยางสูงชะลูดขาวโพลนเรือนยอดรกครึ้มไปด้วยกิ่งก้านใบ เสียงหวูดเรือจากแม่น้ำลพบุรีกังวาน เหล่าฝูงนกที่พากันจับเกาะบนกิ่งไม้ พากันแตกตื่นโผบินพุ่งสู่ท้องฟ้า เมื่อเสียงหวูดเรือสะท้อนก้องท่าเรือ ฉันมองตามขั้นบันไดสูงขึ้นไปถึงถนนพระราม อีกฟากถนนซุ้มโค้งสูงตระหง่าน บานประตูไม้หนาปิดแน่น สองฟากมีกำแพงอิฐโบราณโอบกอดเอาไว้ตลอดแนวถนน ประตูนารีลีลาทึมเทาจมมืดอยู่ในเงาแดด เหล่าผู้คนเดินบนถนนท่าขุนนางเสียงดังโหวกเหวก ต่างพากันขนข้าวของขึ้นจากเรือมาพักค้างไว้ตามริมตลิ่ง ใบเสมาปักเรียงรายบนกำแพงวังนารายณ์ ป้อมหอรบสูงบดบังการมองเห็น เหล่าฝูงนกโบกกระพือปีก บินวนในอากาศก่อนจะพากันร่อนลงจับลงบนใบเสมา ฉันเห็นหล่อนในชุดไทยสีชมพูยืนบนบันได จ้องมองไปที่ตีนท่าน้ำ แล้วหล่อนก้าวขาลงมา ฉันเห็นหล่อนเหยียบชายผ้าที่นุ่ง ร่างโถมทับลงบนขั้นบันได ลอยละลิ่วลงมา มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น เมืองราวกับถูกปลุกให้ตื่น เหล่าผู้คนหยุดชะงัก หันมองไปทางบันได 51 ขั้น ผ้าสีชมพูพลิ้วไหวในอากาศ ด้วยหลืบเงาฉากซุ้มโค้งกำแพงโบราณ หล่อนหล่นลงมาภายใต้เงามืดในความซีดเซียวของเมืองเก่าแก่ ฝูงนกเงียบเสียง บรรยากาศน่าอึดอัดและเงียบเชียบ ไม่มีความเคลื่อนไหวจากเหล่าผู้คน กลิ่นอายของความเศร้าสุมทับในอากาศรอบตัว ฉันมองผ้าสีชมพูที่กำลังปลิวโบกไหว หล่อนร่วงลงมาร่างกระแทกบันได ร่างนั้นพลิกหันกลับหัวกลับหาง ฉันตระหนกอกสั่น ใจหายวาบ เมื่อร่างหล่อนลอยข้ามหัวฉันไป การแตกตื่นจากฝูงนกกระพือปีกโผบินพุ่งสู่ท้องฟ้า เหล่าผู้คนพากันจ้องมองผ้าสีชมพูลอยในอากาศก่อนจะหายวับไป พลันนั้น เสียงหวีดร้องระงมตีนท่าน้ำ ฉันตะโกนขึ้นว่า มีผู้หญิงตกบันได ช่วยด้วย คนตกบันได ทั้งหลายของเรื่องราวหายไปในความซับซ้อน ลึกลับของอิฐเก่าคร่ำคร่า กำแพงโบราณ หลังคายอดแหลมของวังนารายณ์ แสงแดดโชนฉาย ฝูงนกพากันร้องอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหล่าผู้คนพากันหลงลืมเรื่องผ้าสีชมพูที่ลอยหายในแสงแดด ต่อเมื่อเสียงหวูดเรือดังขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างดูอลหม่าน มีเสียงมากมายกลบทับทบซ้อนเสียงร้องของหล่อน แล้วแดดถอยร่นจากบันได ฉันเดินขึ้นไปตามบันได จุดที่หล่อนหล่นลงมามีเพียงเศษผ้าสีชมพูคลุกฝุ่นบนพื้น ฉันเห็นซุ้มโค้งประตูตั้งเด่นอยู่ตรงนั้น กลิ่นหอมจางลอยในสายลม ฉันจำได้ว่า กลิ่นหอมเย็นเหมือนดอกลั่นทม ฉันเห็นแสงลอดมาจากรอยแตกในบานประตู ฉันมองลอดเข้าไป เห็นผ้าสีชมพูลอยเหนือยอดหญ้า หล่อนเดินบนถนนปูอิฐ หล่อนหันมองบานประตู ฉันสะดุ้งเฮือก ทิวไม้ในสวนบดบังหล่อนเอาไว้ ฉันรู้สึกเหมือนเคยไปที่นั่นมาแล้ว พ้นประตูใหญ่ออกไป ฉันเดินบนถนนพระรามลัดเลาะหลังกำแพงวัดเสาธงทอง ฉันเดินผ่านประตูเข้าไปไหว้องค์เจดีย์ใหญ่หลังวิหาร เป็นเจดีย์ทรงสูง มีซุ้มจระนำ 8 ทิศ ประดิษฐานพระพุทธรูปยืนทุกทิศ วิหารมีหน้าต่างแบบซุ้มโค้ง รูปทรงเป็นโรงสวดคริสเตียน ฉันชอบดูอุโบสถ พบใบเสมาหินทรายขาว ชั่วขณะหนึ่ง มีหญิงสาวร่างผอมบางเดินเข้ามากราบพระ สวมชุดไทยสีชมพู ในห้องทึบทึมเหมือนสว่างขึ้น มันสว่างไสวด้วยแสงจ้าจากสีชมพู เป็นช่วงเวลาของความสงบและเยือกเย็น มีกลิ่นหอมดอกลั่นทมถูกปิดขังเอาไว้ภายในอุโบสถ หล่อนหันมายิ้มให้ฉัน ท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของฉัน หล่อนผ่านช่องประตูหายไปในเหล่าผู้คนที่เดินขวักไขว่ ไกลออกไปเป็นฉากหลังท่าเรือ เสียงหวูดเรือปลุกให้ฉันตื่นขึ้นจากภวังค์ ความงามซุ้มโค้งประตู กำแพงมหึมาเรียงราย คันดินคูเมืองจมหายไปใต้ถนน ฉันยืนบนถนนเหยียบบนกำแพงเมืองโบราณ บ้านช่องห้องหับปลูกคร่อมทับซากอดีตกาล เสียงหนวกหูจากรถยนต์ มีเสียงมากมายถูกหอบขึ้นไปแขวนในอากาศ ห่มคลุมเหนือเมืองขึ้นไป ฉันเห็นฝูงลิงกระโดดโลดเต้นบนถนน บนตึก ร้านรวงที่เปิดประตูอ้าค้างไว้ถูกลิงบุกรุกเข้าไปแย่งชิงข้าวของกระจุยกระจาย ตกเกลื่อนกลาด ลิงกระโดดเกาะกำแพง ลอยสูงเหนือหลังคาตึก เหล่าผู้คนปากอ้าตะโกนไล่ตามหลัง ฉันเหมือนถูกกักขังเอาไว้ในอดีต กำแพงสูงทอดตัวรออยู่ข้างหน้า คูเมืองปิดขังน้ำเอาไว้ ฉันออกเดินตามหาร่องรอยหญิงสาวชุดไทย สีชมพูที่หายไป ในท่ามกลางกลิ่นจางๆ ของดอกลั่นทมหอมเย็นลอยมาจากป้อมท่าโพธิ์ ฉันแหงนมองต้นจันทน์เก่าแก่สูงใหญ่ซึ่งประชิดอยู่ใกล้กำแพงป้อม ในความเงียบที่ปกคลุมไปทั่ว ฉันตกอยู่ในภวังค์หลงใหล ภายใต้เงาทึบทึมจากกำแพงอิฐเก่าแก่ ความมหึมาของป้อม ประตูหอรบมีความเย็นยะเยียบห่มคลุม ทางเดินอันเหยียดยาวลัดเลาะไปตามซอกกำแพง ฉันเดินไปตามทางเล็กผ่านต้นมะขามใหญ่สูงตระหง่าน พุ่มใบพุ่งขึ้นสู่อากาศกิ่งก้านแนบประชิดใบเสมา ซึ่งปักอยู่บนกำแพงป้อม บ้านช่องห้องหับปลูกเรี่ยผืนน้ำ ทุ่งพรหมมาศอันกว้างใหญ่เต็มไปด้วยทุ่งบัวแดง ฉันแหงนมองกำแพงอิฐเก่าแก่อันใหญ่โต บอกเล่าเรื่องราวตั้งแต่ครั้งอดีตกาล ฉากภาพเคลื่อนห่างออกไป ด้วยความเงียบเชียบ ฉันอ้าปากค้าง กำแพงสูงลิบบนนั้นมีใบเสมาปักเรียงราย เดินผ่านช่องคับแคบเหมือนถูกอัดด้วยความมหึมา เมื่อไต่ขึ้นมาบนเนินท่าโพธิ์ ป้อมสี่เหลี่ยมสูงใหญ่ ก่อด้วยอิฐถือปูนเป็นกรอบนอก 3 ด้าน ข้างในถมดินต่อยาวเป็นแนวเดียวกับกำแพงเมือง ต้นมะขามเก่าแก่ยืนต้นอยู่กลางป้อม ฉันปีนป่ายสูงขึ้นไป ลัดเลาะไปตามใบเสมาเรียงรายบนสันกำแพง ยืนมองลงมายังทุ่งพรหมมาศ เหมือนหูแว่วเสียงระงึมระงมของกบเขียด ฟากฟ้ากว้างขวางยิ่งนัก สายลมโชยมารินกลิ่นหอมลอยมา เป็นกลิ่นหอมดอกลั่นทม ล่องไหลในอากาศ เสียงหัวเราะดังขึ้น ประชิดเข้ามารอบๆ ตัว แล้วเปลี่ยนเป็นสะอื้นไห้ ความกลัวคืบเข้ามาช้าๆ ในเวลานั้นแสงแดดหุบแสง เงาทึบทึมพาดแถบบนกำแพงอิฐ ฉันเงี่ยหูฟัง ได้ยินเสียงร้องไห้ลอยมาจากกำแพงเก่าคร่ำคร่า ตะไคร่น้ำ มอสคลุมหนาเหมือนผืนกำมะหยี่ ซอกกำแพงยื่นลึกไปในอากาศ ฉันเห็นผ้าสีชมพูแขวนบนใบเสมานั้น แกว่งไกวอยู่ในแรงลม เสียงร้องเงียบเสียงลงไป เหมือนจมหายลงไปในความว่างเปล่า ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวฉันถูกห่มไว้ในกาลเวลา กำแพงอิฐเหมือนล้อมปิดขังฉันเอาไว้ในกล่อง ฉับพลัน มีเสียงกึกก้องจากฝีเท้ามากมาย หูยังอื้ออึงไปด้วยเสียงกู่ตะโกน ต่อมาแสงจ้าสว่างไสว หลังความอึกทึกได้ผ่านไป สีชมพูบาดตา หล่อนยืนอยู่กลางป้อมโบราณ มีหมาดำกับแมวดำขนาบข้าง ฉันเอ่ยปากถาม ตกบันไดเจ็บหรือเปล่า หล่อนบอกว่า ไม่เจ็บหรอก ไปกันเถอะ ข้างในป้อมมันน่าอึดอัดนัก หล่อนเดินไปตามทางเดินที่พูนดินสูง ข้างบนปูอิฐ หมาดำวิ่งนำหน้า แมวดำไล่กวดตามหลังมันพากันหายไปในความคดโค้งเบื้องหน้า ฉันได้ยินเสียงหวูดรถไฟ เสียงโคล้งเคล้งเมื่อวิ่งผ่านสะพานเหล็กสีดำ ล้อบดรางชึ่กชั่ก ชึ่กชั่ก เสียงหวูดดังกังวานเมื่อเข้าใกล้สถานี ไกลออกไปในฉากหลัง บ้านช่องห้องหับเปิดร้างรวง คดเคี้ยวไปตามแม่น้ำลพบุรีเป็นอาคารเรือนแถวไม้และคอนกรีตสูง 2 ชั้น มีลวดลายปูนปั้นและช่องระบายอากาศ มีช่องทางตัดสู่แม่น้ำเป็นระยะๆ มีร้านขายเครื่องจักสาน ร้านขายยาสมุนไพร ของแห้ง หล่อนหยุดรอฉันที่หน้าร้านคาเฟ่ดั๊ชให้ดี แสงแดดส่องเกิดรูปเงาบนพื้นถนน ฉันมองหาเงาของหล่อน ฉันไม่เห็นเงานั้นเลย หล่อนเดินวนเป็นวงอยู่หน้าเรือนไม้ 2 ชั้น ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปนั่งที่โต๊ะ ฉันตามเข้าไปในความสลัวของห้อง ห่างออกไปเล็กน้อย กาแฟกำลังถูกต้ม โชยกลิ่นหอมละมุน ควันจากไม้ฟืนลอยคลุ้ง เหมือนหมอกทึมเทา เปลวไปเต้นสะบัดอยู่ในเตา ค่อยไหลละล่องไปทางช่องหน้าต่างบานเล็ก ฉันจมลงในความเงียบที่ไหลย้อนจากอดีตกาล แสงซีดผ่านทะลุเข้ามาส่องตัวหล่อน แล้วแดดก็ร่นถอยออกมา ต่อมามีเสียงตกกระทบพื้นดังสนั่น ถ้วยกระเบื้องเคลือบแตกกระจาย กาแฟไหลนอง หล่อนมองบนพื้นอย่างไม่สบายใจ เมื่อออกจากร้านนั้นมา หล่อนพาฉันเดินไปบนถนนปรางค์สามยอด ไกลออกไปข้างหน้า รถยนต์ส่งเสียงกระหึ่ม เมื่อฝูงลิงมากมายรอคอยยกพลข้ามถนน แยกเขี้ยวขาวขู่คำราม บางตัวกระโดดโลดเต้นเกาะบนหลังคา ท้ายรถยนต์ จ่าฝูงตัวใหญ่ยกมือทุบลงบนฝากระโปรงรถแล้วร้องออกมา เจี๊ยก เจี๊ยก เจี๊ยก หางแกว่งไกว แล้วเดินนำข้ามถนน ฝูงลิงติดตามมาเป็นพรวน ลื่นไหลเลี้ยวหลบไปตามซอกคดเคี้ยว ไม่นานก็หายไป ทิ้งไว้เพียงกลิ่นขี้เยี่ยว มันพากันไปหกคะเมนตีลังกาเล่นบนยอดตึก กระโดดข้ามไปมาระหว่างตึก หล่อนเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว ฉันรีบวิ่งตามหลังมา หล่อนเลี้ยวไปตรงหัวมุมโรงหนังมาลัยรามา ทางเดินนั้นเงียบเชียบ ในแสงสลัวภายใต้ชายคาโรงหนังร้าง มีกลิ่นเหม็นอับตลบอบอวล ช่องหน้าต่างเป็นกระจก แตกกระจายบนพื้น ราวระเบียงบนขั้นสองหักพังลงมากองบนกันสาด เพดานยุบตัวพังทลาย มีซากปรักหักพัง มันร้างไปนานแล้ว ช่วงเวลายาวนานของความรุ่งเรืองได้ผ่านไปแล้ว ลมกระโชกแรง เสียงออดแอดจากเศษซากที่ห้อยระโยงระยางกระทบกัน ฉันมองหาหล่อน มองไม่เห็นอะไร สิ่งของกระจัดกระจายเป็นสีดำทึบ แสงสลัวส่องทะลุรอยแตกหลังคาลงมาแต้มรูปดาวบนพื้น เต้นวิบวับวูบไหวไปมา ความเงียบโอบล้อมอยู่โดยรอบ วูบนั้นเอง ความกลัวไหลบ่าท่วมฉันจนมิดชิด ฉันพยายามแหวกมันให้แตกหลุดออกไป เหมือนถูกกักขังเอาไว้ภายในกำแพงป้อมโบราณ ในวงแดดหล่อนยืนเงียบเชียบ เอื้อมมือมาฉุดกระชากแขนฉันให้หลุดออกมาจากความกลัว ฉันรู้สึกตัว แล้วภาพสูงตระหง่านของพระปรางค์สามยอดเข้ามาบดบังทัศนียภาพของเมืองบางส่วน ทางเดินนั้นตกอยู่ในความสลัว เมืองหม่นมัวตกอยู่ในลำแสงทึมเทา ปรางค์สามยอดเรียงกันอยู่บนเนินสูงขึ้นไป องค์กลางสูง องค์หน้าองค์หลังย่อมลงมาหน่อยหนึ่ง มีหลังคาคลุมถึงกันก่อด้วยศิลาแลง มีรูปปูนปั้นประดับภายนอก ปั้นลวดบัว กลีบบัว และรูปยอดชฎาของเศียรอสูร หล่อนปล่อยมือฉันเมื่อพากันมายืนหน้าพระวิหารหลวง ฉันเห็นพระประธานข้างในเป็นพระพุทธรูปจำหลักศิลาทราย ลักษณะพระพักตร์มนรูปไข่ แบบพระหน้านาง ศิรประภาสูง ประทับนั่งขัดสมาธิแบบพระขอม สังฆาฏิเป็นแผ่นใหญ่ลงมาปรกพระอุระ ส่วนแข้งคม ฉับพลันความจ้าสว่างตกบนพื้น ฉันมองไม่เห็นอะไร ดวงตาพร่าพราย แสงแดดโอบล้อมไว้ทุกด้าน แล้วความเงียบก็ทอดตัวลงมา ฉันเห็นหล่อนยืนมองลวดลายปูนปั้น ปั้นได้สวยงามเหลือเกิน งามจับใจเหลือเกิน หล่อนพูด ลมละล่องก็แผ่วพัดขึ้น กลิ่นหอมดอกลั่นทมลอยอวล บนเนินถูกห่อหุ้มด้วยความเงียบสงัด ผ้าสีชมพูลอยค้างอยู่ในอากาศ หล่อนห่มผ้าสไบเฉียง นุ่งโจงกระเบน ผมข้างบนเป็นปีก ข้างหลังปล่อยยาวสยายลงมาประบ่า ต่อมาร่างหล่อนก็ซีดจางในความสว่างไสวของแสงแดด เงาดำเคลื่อนที่ไปรอบตัว ฝูงลิงมากมายวิ่งเล่นกันในแสงแดด กระโดดโลดเต้น ขู่ตะคอกแยกเขี้ยวขาววับ ลิงปีนป่ายสูงขึ้นไปถึงยอดพระปรางค์ เสียงลิงร้องได้ห่มคลุมเมือง ฝูงนกตกอกตกใจพากันบินสู่ท้องฟ้า บนหลังคาตามตึก บ้านช่องห้องหับมีแต่ฝูงลิง หลังความอึกทึกครึกโครมผ่านไป เมืองตกอยู่ในความเงียบเชียบ ความง่วงเหงาหาวนอนถูกกระจายเข้าใส่ลิง มันพากันโงกหลับล่องไหล จากนั้นเสียงกรนดังขึ้น ฉันหลุดปากหัวเราะกับภาพลิงหลับ ก่อนหน้านั้น มันยังห้อยโหนต่องแต่งและทำให้ฉันอกสั่นขวัญผวา มันจมหายไปในความหลับที่คลุมปิดมิดชิด ฉันออกจะกลัวๆ มันเสียด้วยซ้ำไป ถนนนารายณ์จมอยู่ในความเงียบเหงา ตึกทึมเทาบดบังแสงสว่างจนดูหม่นมัว สีถลอกหลุดล่อนจากการปีนป่ายของฝูงลิง กลิ่นอับเหม็นคละคลุ้ง เหล่าผู้คนเดินเป็นแถวเหยียดยาว มุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออก ศาลสูงอาบคลุมด้วยแรงศรัทธาตั้งเด่นสง่างามในท่ามกลางวงเวียน รถยนต์แผดเสียงคำราม วิ่งวนไปรอบวงกลม เสียงแตรดังแหวกม่านความเงียบระลอกแล้วระลอกเล่า รางเหล็กทอดขวางกั้นถนน จนกระทั่งเสียงหวูดรถไฟแผดลั่น ไม้กั้นรางค่อยๆ วางทาบลงมาขวางกั้นถนน รถยนต์หยุดอยู่หลังไม้กั้นรางทั้งสองฟาก ฝูงลิงได้ถือโอกาสพุ่งตัวออกมาจากศาลสูง พากันไต่ปีน กระโดดโลดเต้นบนรถยนต์ที่จอดเรียงราย เมื่อเสียงหวูดรถไฟกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง ล้อเหล็กบดรางเอี๊ยดอ๊าด แล้วรถไฟก็จอดเทียบชานชาลา ไม้กั้นรางถูกยกขึ้น รถยนต์เคลื่อนตัว ฝูงลิงได้กระโดดลงบนถนน ฉันยืนประจันหน้าอย่างตึงเครียดอยู่กลางฝูงลิง ทันใดนั้นมีเสียงหมาเห่า เสียงแมวร้องขู่คำราม หล่อนปรากฏตัวขึ้นราวกับหายตัวมา ไม่เป็นไรจ้ะ ไม่มีอะไรนะ หล่อนบอกฉันแล้วหันไปยกมือเป็นท่าปรามไม่ให้หมาสีดำกับแมวสีดำส่งเสียงร้อง ฉันยังคงตกอยู่ในความสับสนของช่วงเหลื่อมแห่งกาลเวลา หล่อนมักโผล่ร่างมาขณะแดดหุบแสง ผ้าสีชมพูนั้นเจิดจรัสแม้ในความหม่นมัว หมาขยับตัวเข้ามาเลียใบหน้าหล่อน ส่วนแมวมาคลอเคลียเอาตัวมาถูกับขาหล่อน แสงแดดสะท้อนแสงวิบวับในกระจกของบานหน้าต่างตึกสีซีด เมืองหม่นมัวกับเสียงกึกก้องของรถยนต์ ฝูงลิงถูกกวาดต้อนด้วยความหวาดกลัวเมื่อหล่อนเดินเหนือยอดหญ้า ลอยไปลอยมาเหนือกำแพงอิฐคร่ำคร่าที่มีคราบตะไคร่ จากแสงสลัวช่องประตูทางเดินที่เปิดอ้าค้างเอาไว้ ศาลสูงหุ้มห่อด้วยความศรัทธาโชยกลิ่นธูปควันเทียนคละคลุ้ง บันไดหินนั้นพาฉันไปสู่ชั้นข้างบน แล้วที่สุดเจ้าพ่อพระกาฬก็ยืนอยู่เบื้องหน้า ทั้งองค์ห่มปิดทองมีผ้าสีพาดไขว้ทับไปมา ในความสงัดนิ่ง เงียบเชียบ ฉันขนลุกกรูเกรียว ความศรัทธากระเจิดกระเจิง กลางฟุ้งควันแสบตา ฉันเห็นหล่อนนั่งบนพื้นเย็นเยียบ ผ้าสีชมพูเลื่อนหล่นบนพื้น ข้างนอกหน้าต่างฝูงลิงแผดตะเบ็งขึ้นเอ็ดอึง รูปพระนารายณ์ทำด้วยศิลาเลือนรางด้วยกาลเวลา หล่อนนั่งอยู่ในเงาที่ทอดทับ ดวงตาจ้องเขม็งไปยังเจ้าพ่อพระกาฬ ฉันเห็นผ้าสีชมพูแกว่งสะบัดเหมือนโดนลมกระโชกแรง ก่อนจะยวบลงกลับกลายเป็นความว่างเปล่าบนพื้น แล้วร่างหล่อนก็เลือนหายไป ในแสงมัวซัว เทียนลุกไหม้ไฟ ควันธูปกระจายห่มคลุมในอากาศ หูได้ยินเสียงลิงร้องปลุกฉันให้ตื่นจากภวังค์ เหลียวหาหล่อนไปจนทั่ว ฉันหาหล่อนจนอ่อนใจ หล่อนได้หายไปอีกแล้ว เมื่อบานหน้าต่างถูกเปิดออก แสงแดดก็ล่องไหลเข้ามาในศาลสูง ฉันจำได้ว่าผ้าสีชมพูเลือนหายไปช้าๆ ลิงเงียบเสียงลง เมืองสงัดเงียบ ฉันมองเหม่อออกไปยังความว่างเปล่าที่ได้ล้อมขังอดีตกาลของเมืองเอาไว้ ความรุ่งเรืองแต่ครั้งก่อนได้ถูกสุมทับเอาไว้ภายในพระปรางค์สามยอด เจดีย์เก่าคร่ำคร่า นานมาแล้ว เมืองจมภายใต้เศษซากอิฐผุกร่อน เปื่อยยุ่ย แผ่นจารึกชำรุดแตกหัก ฉันได้กลิ่นในอากาศ หอมฉ่ำเย็น กลิ่นดอกลั่นทมไหลล่องไปตามลม แผ่ขยายกว้างออกไปเรื่อยๆ อบร่ำไปทุกซอกรูรอยแตกของกำแพงเก่าแก่ ฉันได้ยินเสียงกระซิบกระซาบจากศิลาแลงซึ่งตั้งตระหง่านท้าทายแดดฝนมายาวนาน คูเมืองโบราณนั้นมีน้ำหลากไหลไปล้อมเมืองตรงตีนท่าน้ำตะเคียนสูงใหญ่ ลำต้นดำทะมึน พุ่มใบแผ่คลุมทาบฟ้า ยางนาขาวโพลนสูงชะลูดไต่เลื้อยขึ้นไปสู่ข้างบนท้องฟ้า กิ่งก้านชูเรือนยอดหนาทึบ จำได้ว่า ฉันเห็นหล่อนตกจากบันได 51 ขั้น ขณะฉันกำลังแหงนหน้าขึ้นมองซุ้มโค้งประตูวังนารายณ์ หล่อนร่วงลงมาเหมือนนก หมุนคว้างลงมาตามขั้นบันได เสียงร้องด้วยความตกใจดังกลบทุกเสียง ทำให้เหล่าผู้คนต้องแหงนหน้าขึ้นมอง ผ้าสีชมพูล่องไหลในอากาศก่อนจะยวบลงกองบนบันได เลือนหายไป เหลือเพียงเงาทาบทิ้งไว้ เหล่าผู้คนเดินขึ้นเดินลงบันไดอันสูงลิ่ว ตีนท่าน้ำมีสัมภาระกองไว้เรียงราย ตลิ่งสูงชันถูกปิดกั้นด้วยคูเมืองกว้างใหญ่ กระหนาบติดเป็นกำแพงสูงยาวเหยียด มีใบเสมาปักเรียงราย เสียงหวูดเรือก้องคุ้งน้ำ ลมแรงส่งเสียงคำรามเหนือหลังคาวังเก่าแก่ อากาศหนาวยะเยียบ ฝูงนกมากมายพากันบินพุ่งสู่ท้องฟ้า ฉันได้ยินเสียงลิงร้องก้องไปทั้งเมือง ตะวันฉายแสงลงมา รูปเงาอันเลือนรางทาบบนกำแพงอิฐ เหล่าผู้คนส่งเสียงเอ็ดตะโรลั่น ชี้ชวนกันดูดอกลั่นทมขาวเกลื่อนกลาดบนถนนรอบวังนารายณ์ กลิ่นหอมลอยละล่อง ผ้าสีชมพูแขวนค้างกลางอากาศ สะบัดพลิ้วไหวไปตามลม แล้วตกสู่พื้นภายใต้ซุ้มโค้งประตูดิน บนป้อม เชิงเทิน หอรบ ทิวธงผืนมหึมาโบกพลิ้ว เงาแดดร่นประชิดกำแพง เงาหล่อนทับทาบเหยียดกว้างไปตามฉากพรางตา ภาพเงาได้หายไปแล้ว ฉันเห็นเมืองหม่นมัว ฝูงลิงวิ่งพล่านเต็มเมือง ฉันเดินเข้าไปในวัดนครโกษา องค์มหาเจดีย์ห่อร่างด้วยก้อนอิฐ องค์เจดีย์แปดเหลี่ยม ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยม 2 ชั้น ตรงฐานล่างสี่เหลี่ยมมีรูปยักษ์แบกเรียงรายโดยรอบ ฉันมองซากเจดีย์ชำรุดหักพังลง ยอดพังทลายหมดแล้ว เดินวนรอบปรางค์ทิศ ตั้งอยู่ตรงสี่มุมขององค์มหาเจดีย์ มีทรวดทรงและลายปูนปั้นที่สวยสง่างามมาก เมื่อเดินอ้อมไปด้านหน้ามีพระพุทธรูปเศียรหาย ชำรุด แข้งนั้นคม นิ้วพระหัตถ์อ่อนช้อยงดงาม ช่างน่าเศร้ายิ่งนัก ประวัติศาสตร์ถูกล้อมขังอยู่ในนั้น ฉันเห็นพระพุทธรูปปูนปั้นถูกจองจำ เศียรหายไป ช่างน่าเวทนาสงสารยิ่งนัก ของโบร่ำโบราณถูกกระทำเยี่ยงนี้ เสียงกระซิบข้างหู ฉันหันมองรอบตัว หล่อนสวมใส่ผ้าสีชมพูยืนบนวิหาร เท้าลอยเหนือก้อนอิฐ เสียงหัวเราะนั้นเศร้าวังเวง ฉันรู้สึกเศร้าใจ หล่อนชี้นิ้วไปยังองค์มหาเจดีย์ นี่เป็นมหาธาตุเจดีย์ตั้งแต่โบร่ำโบราณ รากเหง้าเหล่าผู้คนสุมทับอยู่ในนั้น เสียงหล่อนขาดหายไป ฉันมองความน่าเวทนาของเมือง การสืบเนื่องทางศิลปวัฒนธรรมฉีกขาดกระจัดกระจาย ลายปูนปั้นกะเทาะหลุดร่วง กลีบมะเฟืองแตกหัก คูเมืองตื้นเขินบางช่องถูกถมดินไม่เหลือร่องรอยอะไรให้เห็น กำแพงดินสูงตระหง่านกลายเป็นถนน ฉันจมดิ่งอยู่กับความเศร้า นานมาแล้ว มีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น แต่เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป เรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นจริงกับเป็นตำนาน ฉันยืนเบื้องหน้ามหาธาตุเจดีย์ เคยเห็นเมื่อก่อนอย่างไร เดี๋ยวนี้ก็อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง หันมองไปรอบดูความมหึมา กลางซากอิฐปูน แสงแดดทอดแสงลงบนก้อนอิฐโบราณ ผนังกำแพงมีลายปูนปั้นคดเคี้ยวตัว เหมือนคลื่นน้ำ ตัวกระหนกขนัดแน่นถูกล้อมจนกลมเหมือนจะโผบินสู่ท้องฟ้า เกี่ยวกระหวัดรัดรึงบนลายหน้ากระดาน หล่อนปรากฏขึ้นเบื้องหน้าด้วยฉากตระการตา สีชมพูฉูดฉาดประดับผนังอุโบสถ สีดำวาดเป็นหมาเป็นแมวประดับประดา ฉันเห็นแววหวาดหวั่นในดวงตาของหล่อนบนบันได 51 ขั้น ความกลัวโถมทับจนมิดหัว บ้านช่องห้องหับปิดประตูหน้าต่าง เสียงหวูดเรือกังวานมาแต่ไกล เหล่าผู้คนมากมายเฝ้ารอคอยที่ตีนท่าน้ำ ตะเคียนใหญ่ดำทะมึน ยางนาขาวสูงชะลูด ฝูงนกพากันจับบนกิ่งพุ่มใบ ผ้าสีชมพูโดดเด่นบนบันได ด้านหลังซุ้มโค้งประตูสวยงาม กำแพงเมืองเหยียดยาวเคียงคู่กับถนนพระราม สายลมกระโชกแรง ฉันเห็นหล่อนตกลงมาตามขั้นบันได มีเสียงหวีดร้อง เหล่าผู้คนวิ่งแตกตื่นชุลมุน ผ้าสีชมพูแขวนค้างกลางอากาศ แล้วยวบลงกองบนพื้น ฉันมองลอดหว่างขาตัวเองลงไป เห็นหล่อนลืมตาลุกโพลง
ปานศักดิ์ นาแสวง
เป็นชื่อ-นามสกุลจริงที่ใช้ในงานเขียนมาโดยตลอด เสพติดในรสชาติของวรรณกรรมและหลงใหลในการอ่านเป็นอย่างยิ่ง มีเรื่องสั้นผ่านการตีพิมพ์มากมาย มีความสุขทุกครั้งที่ได้จับปากกาขีดเขียนบอกกล่าวเรื่องราวของตัวละครที่อยู่ในเรื่อง และคิดเสมอว่าทุกเรื่องที่เขียนต้องมีพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับพวกเขา |
สนับสนุนวรรณกรรมไทย โดย