ถนนคนธรรพ์

มันเดินย่ำมาบนบาทวิถีท่ามกลางพยับแดดระริกไหว อากาศร้อนระยำหมา สมองราวกับมีแท่งเหล็กปั้นจั่น ซึ่งรังแต่จะกระแทกรัวกึงกังในกะโหลกของมันไม่บันยะบันยัง ทว่าลางทีกลับทื่อทึ่มและไม่รับรู้อะไรอื่นนอกจากเสียงนับก้าวย่างของตนอย่างคร่ำเคร่ง ก้าวสุดท้ายขณะนิ้วหัวแม่ตีนข้างขวาปวดระบม ทักท้วงให้มันหยุดเดินเสียก่อน ห่างออกไปเป็นป้ายรถเมล์ซึ่งผู้คนยืนหลบแดด ออกันอยู่ใต้เงาทอดทับพื้นบาทวิถีอันแข็งกระด้าง สารรูปอย่างมันไม่เคยมีเรื่องหงุดหงิดกวนใจกับสถานที่ ไม่ว่าแห่งไหนในทางจร ไม่ว่าซอกมุมไหนล่องหลืบใดบนแผ่นดิน หากมันอยากนั่งมันจะได้นั่ง อยากนอนจะได้นอนตามใจปรารถนา แม้สังขารซูบซีดผอมกงโก้ แต่กล้ามเนื้อแข็งเกร็งยังขมวดกอดโครงกระดูกทุกชิ้นไว้อย่างเข้มงวด ร่างกายผ่ายผอมด้วยขาดอาหารประทัง มันกับเชื้อโรคปะทะสังสรรค์กัน ดุจญาติมิตรผู้ภราดรในทุกอณูอากาศ ในซอกอับของร่างกายซึ่งหมักหมมเหม็นจัญไร ในคำขยะบูดเปรี้ยวเมื่อตะปบเข้าปากยามอดโซ ในน้ำคลองซึ่งมันกลั้วคอหลังสูบเศษบุหรี่เปื้อนเยี่ยวหมาจรจัด ซึ่งทิ้งคราบและกลิ่นฉุนไว้ที่ก้นกรอง มันมีภูมิคุ้มกันเชื้อโรคได้อย่างเหลือเชื่อ ผมเผ้ายาวเหนียวติดกันเป็นสังกะตังครอบหัวราวกับสุ่มจับปลา ซึ่งเกาะกลุ้มไปด้วยฝูงยุงทั้งเป็นทางสัญจรของแมลงสาบ เสื้อผ้าที่มันใส่นั้นขาดกะรุ่งกะริ่ง เสื้อเชิ้ตซึ่งไม่เหลือร่องรอยของสีเดิม แขนหายไปข้างหนึ่งและอีกข้างด้วนเหลือแค่ศอก กระเป๋าเสื้อขาดห้อยต่องแต่งชายเสื้อกุดขาดรุ่ยร่ายเช่นกัน กางเกงขายาวของมันนั้นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเสื้อสักเท่าไหร่ ปลายขาฉีกเป็นทางๆ เหมือนไม้กวาด เป้าขาดวากเล่นเอาเถิดกับลำองคชาตซึ่งทำหน้าที่เพียงใช้เยี่ยว ชาตินี้ลึงค์ของมัน หมดสิทธิ์ได้ชำแรกกลีบโยนีของอิตถีเพศนางใดทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ร่างกายของมันหมดค่าใดแก่ประเทศนี้แล้วโดยสิ้นเชิง ทั้งสมองมันหาได้ใช้ในการใดให้เกิดพุทธิปัญญาขึ้นมา มันเป็นพลเมืองชั้นเลวของสังคมที่อาจถูกโละทิ้ง โยนให้เป็นอาหารอันโอชะของจระเข้เลี้ยง น่าจะนับประเภทไว้อย่างนั้น

มันหยุดนับก้าวกวาดตามองโน่นนี่เลิ่กลั่ก กระทั่งเบนสายตาไปจับนิ่งยังป้ายรถเมล์ สำหรับมันนั้น ผู้คนอันวิ่งขึ้นลงรถเมล์จ้าละหวั่น มีลักษณาการเดียวกับฝูงผึ้งซึ่งบินฉวัดเฉวียนไปมาไม่สำคัญอะไร มันจ้องผู้คนยืนอาศัยร่มเงาป้ายรถเมล์ด้วยสายตาขุ่นขวาง พร้อมก้มมองนิ้วโป้งตีนตัวเอง นิ้วโป้งบวมเป่งมีเลือดสีคล้ำซึมเหนอะในซอกเล็บปนขี้ดิน มันยกตีนข้างเจ็บกระโดดกระโดกกระเดกเข้าไปตรงป้ายรถเมล์ ผู้คนในร่มแตกกระเจิงคนละทิศละทาง มันนั่งแปะลงตรงเก้าอี้ผู้โดยสาร ไม่มีผู้ใดกล้าเฉียดกรายเข้าใกล้ มันจึงแช่ก้นอย่างสะดวกดายบนเก้าอี้ พวกคุณผู้หญิงและพวกคุณผู้ชายยอมยืนตากแดดอันร้อนระอุอย่างไม่สู้เต็มใจนัก มันยิงฟันเหลืองอ๋อยในเครื่องหน้าที่รุงรังไปด้วยหนวดเครารกเรี้ยวราวป่าดงดิบ พวกคุณผู้หญิงและพวกคุณผู้ชายยืนหันหลังให้มันจนชิดขอบทาง หมิ่นเหม่จะร่วงลงไปบนถนน แต่ไม่วายลอบมองมันด้วยแววตาหวาดๆ มันยกตีนขึ้นดูและยกให้ใครต่อใครได้ดู ไม่มีใครสนใจ พวกผู้หญิงขยับร่นออกไปไกลกว่าเดิมอีก กระทั่งตะวันคล้อยหลบอยู่หลังเหลี่ยมตึก ผู้คนเริ่มมากขึ้นจนแน่นป้ายรถเมล์ แต่กระนั้นยังเว้นว่างไว้สำหรับมันเสมอ โดยไม่มีใครคาดคิดจู่ๆ มันก็ตะโกนลั่นจนทุกคนสะดุ้ง เฮ้ย! พวกมึงทั้งหลายแหล่ ใครไม่บ้ายกมือขึ้นซิ ไม่มีผู้ใหญ่ยกมือแม้แต่คนเดียว เว้นอ้ายเด็กชายจอมแก่นผู้ไม่ประสาโลกเท่านั้นยกมือโด่เด่ แม่อ้ายเด็กนั่นพยายามกดมือลูกลง แต่เด็กนั่นไม่ยอม ขืนมือดื้อแพ่งท่าเดียว มันจ้องอ้ายเด็กเขม็ง โคลงหัวไปมาหัวเราะร่วนชอบอกชอบใจ ผู้ไม่ประสาโลกยิ้มตอบกลับมา ทั้งคู่ยิ้มให้กัน มันยกตีนทั้งสองข้างวางพาดเก้าอี้อีกตัว ใช้นิ้วมือที่เต็มด้วยขี้เล็บ แตะไล่นิ้วตีนแต่ละนิ้วเบาๆ ฉีกชายเสื้อเป็นริ้วยาวๆ มาพันนิ้วโป้งตีนข้างที่บวมเป่งช้ำเลือดช้ำหนองอย่างใจเย็น ตาเหลือบแลผู้ไม่ประสีประสาโลกหันมายิ้มให้ขณะถูกอุ้มขึ้นรถเมล์ไป และเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ มันใช้นิ้วมือบรรจงเขียนตัวเลขบนแผ่นไฟเบอร์โฆษณาฝุ่นเขลอะตรงป้ายรถเมล์ หนึ่งแสนสองหมื่นแปดพันหกร้อยห้าสิบสี่ เขียนเสร็จมันอ้าปากหาวหวอดๆ เห็นป้าเกล้าผมมวยขอยืมปากกาจากคนข้างๆ มองมายังตัวเลขซึ่งมันเพิ่งเขียนไม่วางตา ก่อนจดขยุกขยิกลงบนถุงกล้วยแขก คืนปากกาเขาไป ยกมือบรรจบกับถุงกล้วยแขกชูเหนือหัวแหงนขึ้นฟ้าทำปากขมุบขมิบ มันมองตามขึ้นไปเห็นขี้เมฆสีตะกั่วตัดลอยฟ่อง อาการคันเห่อขึ้นยุบยิบทั่วร่างทำให้อยากเกาจนอยู่ไม่สุข ครั้นเหลือบไปเห็นรถขายน้ำใบบัวบกอยู่ถัดจากป้ายรถเมล์ไม่กี่ก้าว มันจึงลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก ถ่มน้ำลายเสียงดังใส่เก้าอี้สามตัวจนหลายคนหันมามองด้วยสีหน้าหยามเหยียด บางคนทำท่าพะอืดพะอม มันทำเครื่องหมายเอาไว้เผื่อใครจะมาแย่งมันนั่ง ก่อนรีบก้าวฉับๆ ไปยังรถขายน้ำใบบัวบก มันยืนเกาอยู่ไม่นานจึงยื่นมือรับถุงน้ำสีเขียวเข้มมาดูดอย่างกระหาย สมใจแล้วจึงเดินกลับไปที่ป้ายรถเมล์ ป้าไว้ผมมวยไปแล้ว อาการคันคะเยอหนักข้อขึ้นแต่ความอ่อนเพลียกลับรุกเร้ายิ่งกว่า มันแขวนถุงน้ำแข็งไว้ที่นิ้วหัวแม่ตีนข้างที่เจ็บทั้งหนังตาปรือเต็มที่ ก่อนเอนหลังพาดกับเก้าอี้ ฉวยเกือกแตะสอดไว้ใต้หัว ไม่นานจึงหลับลงอย่างง่ายดายพร้อมกรนเสียงดังลั่นป้ายรถเมล์

โลกหมุนผลักกาลเวลาเคลื่อนไปอย่างเหนื่อยหน่าย มันดีดกายผึงขึ้นพร้อมกับฝูงยุงบินผละออกจากตัวเสียงดังวี้ๆ รถติดยาวเหยียด มันเหลือบดูตัวเลขซึ่งเขียนไว้ เอาถุงน้ำแข็งที่ห้อยนิ้วตีนมาดูดจนเกลี้ยง สอดตีนคีบเกือกแตะต่างสีซึ่งบางเหมือนแผ่นกระดาษ ลุกขึ้นยืนบิดตัวไปมาแล้วเริ่มเดินอย่างไม่อินังขังขอบกับสิ่งโดยรอบ จวบถึงก้าวที่หนึ่งแสนสองหมื่นแปดพันเก้าร้อยเก้าสิบหกนั่นแหละ มันจึงรี่เข้าไปตรงถังขยะ ก้มคุ้ยก่อนหอบเอากระดาษหนังสือพิมพ์เดินเลียบข้างคลอง เสียงเครื่องเรือหางยาวรับส่งผู้โดยสารดังบาดหู ทิ้งเกลียวคลื่นฟาดเข้ากับขอบบันไดชั้นสุดท้ายริมตลิ่งหลายระลอก น้ำสีดำสนิทแม้กระทั่งฟองยังไม่อาจขาวขึ้นมาได้ มันบรรจงปูกระดาษหนังสือพิมพ์ทีละแผ่นๆ แดดอ่อนๆ สาดต้องใบหน้ามันเยิ้มของผู้คนซึ่งต่างกรำงานหนักมาทั้งวันอย่างจำยอม มันค่อยๆ ทรุดกายลงและเอนหลังบนแผ่นกระดาษ ท่ามกลางสายตาของผู้สัญจรไปมา บางคนเพียงมองผาดๆ บางคนเดินผ่านโดยไม่แยแส เด็กช่างกลที่ป้ายรถเมล์ฟากตรงข้ามสะกิดเพื่อนให้ดูกิริยาของมัน พลันสบถกลั้วเสียงหัวเราะกันสนุกสนาน มันจะปูกระดาษหนังสือพิมพ์หาห่าอะไรวะ ตัวแม่งสกปรกเหมือนกองขี้อยู่แล้ว เพื่อนเด็กช่างกลอีกคนหนึ่งซึ่งหน้าตากวนตีนและตัวโตยังกะตึกแทรกขึ้น กูว่าแม่งกลัวพื้นเปื้อนว่ะไอ้ฉิบหาย ว่าแล้วพวกเด็กช่างกลกลุ่มนั้นหัวเราะครืน แต่ไม่นานเลย เสียงเอะอะโวยวายได้ทะลุขึ้นมาเมื่อรถเมล์คันหนึ่งแล่นเข้าเทียบป้าย บนนั้นอัดแน่นไปด้วยคู่อริเก่าคือโรงเรียนช่างกลอีกแห่งหนึ่ง เสียงทุบกระจก เสียงก่นด่าโคตรพ่อโคตรแม่ของพวกมันๆ เสียงทุบตี เสียงผู้หญิงกรีดร้อง มันนอนเฉยหาได้ตกอกตกใจอันใดไม่ เพียงเหลียวไปตรงป้ายรถเมล์อีกฟากด้วยอาการสงบ เอกเขนกชมมหรสพแห่งท้องถนนอย่างสบอารมณ์ ไอ้เด็กช่างกลหน้าตากวนตีนและตัวโตยังกะตึก วิ่งลงจากรถมาเพื่อตั้งหลักพร้อมมือกุมปากมีเลือดไหลออกเป็นทาง ไอ้เด็กนั่นมองขึ้นไปบนรถ ก่อนวิ่งกลับขึ้นไปอีก ใจถึงฉิบหายเลย สงครามระหว่างเผ่าดำเนินอยู่เพียงชั่วครู่ กระทั่งกาลอวสานมาพร้อมเสียงปืนลั่นขึ้นหนึ่งนัด และเสียงหวีดร้องดังระงม คราวนี้หลายเสียงดังมาจากถนนด้วย มันละสายตาจากชายหนุ่มหน้าตี๋ใส่แว่นซึ่งนั่งอ้าปากหวอ เลือดบนกบาลแดงเถือกอยู่เพียงลำพังตรงเบาะหลังสุดบนรถเมล์คันนั้น เรือหางยาวแล่นผ่านไปราวจรวด คลื่นเกลียวใหญ่กระแทกกับขอบบันไดอย่างรุนแรงจนกระเซ็นใส่ตัว มันยังนอนไม่ไหวติง อาการคันยุบยิบหายไป ทุกครั้งที่คันมันจะมานอนใกล้น้ำ ด้วยความหวังว่าสัตว์พันธุ์ดูดทั้งหลายคงทิ้งตัวลงกินน้ำเหมือนมอดแทะข้าวสาร ซึ่งชอบเกาะอยู่รอบถังใส่น้ำ ไม่ว่าจะจริงหรืออุปาทาน มันหายจากอาการคันคะเยอเป็นปลิดทิ้ง หนึ่งแสนสองหมื่นแปดพันเก้าร้อยเก้าสิบหกไม่ขาดไม่เกิน มันพึมพำราวกับท่องบทสวดอันศักดิ์สิทธิ์ ปากใต้แผงหนวดขมุบขมิบรวดเร็วก่อนช้าลงๆ และอ้าค้างนิ่งในที่สุด เสียงกรนแทรกออกมาจากลำคอแผ่วเบา แมลงวันหัวเขียวเพิ่งบินมาจากกองผักเน่าในตลาดค้าส่งผักผลไม้แวะทักทายมันด้วยการบินมาเกาะบนริมฝีปาก กระพือปีกถี่ๆ หมุนตัวรอบๆ และบินจากไปเมื่อมันเม้มปาก

เสียงผิวปากหวีดหวิวขึ้นยามเช้า เป็นท่วงทำนองพิสดารจนหลายคนที่เดินผ่านต้องหยุดฟัง เด็กเล็กๆ นักเรียนอนุบาลหลายคนยืนฟังแล้วหลับตาส่ายหัวไปมา เสียงสูงต่ำรื่นหูไหลเนิบเนื่องเหมือนสายน้ำใสกระจ่าง เหมือนสายลมพรมผ่านใบไม้อ่อนยามป่าระบัดใบ เหมือนสายฝนทิ้งตัวสัมผัสห้วงน้ำกว้างใหญ่ ลางท่วงทำนองเหมือนหยดน้ำซึ่งหยาดจากผิวถ้ำ ลงสู่โตรกน้ำลึกล้ำ ทว่าเสียงผิวปากกลับเลือนหายไปพร้อมกับมหกรรมแห่งเสียงประดามี เมื่อชีวิตยามเช้าเข้าสู่วิกฤติเรียกว่าชั่วโมงเร่งด่วน มันลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง พับกระดาษหนังสือพิมพ์ไปใส่กลับไว้ในถังขยะ เดินลัดเลาะรถยนต์จอดแน่นขนัดบนท้องถนนอย่างไม่รีบร้อน เพื่อข้ามฝั่งไปยังตลาดขายผักผลไม้แหล่งอาหารมื้อเช้าสำหรับวันนี้ กองขยะขนาดมหึมาท่วมทับกันอยู่หลังตลาด มันใช้สองมือเขี่ยคุ้ยลึกลงไปผ่านแขนงผักถูกลิดทิ้งไว้กองท่วมหัว หยิบฝรั่ง แอปเปิล มะละกอ เครือกล้วยไข่ออกมาตั้งเรียงไว้ก่อน และยังคุ้ยหาไปเรื่อยจนพอใจ โดยเอาเข่งไม้ไผ่สานหยาบๆ ขาดลุ่ยมาใส่ เมื่อสมใจแล้วมันยกเข่งออกไปตั้งข้างๆ กองขยะ นั่งลงปาดเหงื่อแล้วล้วงในเข่งหยิบผลไม้ชิ้นแรกขึ้นมา เครือกล้วยยังเหลือพอกินได้สองสามลูก แต่ละลูกถูกแมลงเจาะไปไม่มากนัก แอปเปิลซีกหนึ่งเน่าไปแล้วแต่ยังเหลือพอกัดได้สักคำ วันนี้มันมาสายเกินไป ผลไม้ส่วนใหญ่กำลังเน่าแต่กินได้อิ่มหนำให้มีกำลังจาริกต่อ หนึ่งแสนสองหมื่นเก้าพันห้าสิบแปด มันทบทวนขณะปากเคี้ยวฝรั่ง ถ่มเม็ดทิ้งลงท่อระบายน้ำ ยกขึ้นดู ปาดหนอนแมลงวันสองสามตัวออก สาวเท้าข้ามถนนไปยังจุดเคยนอนริมคลอง เรือลำหนึ่งวิ่งหัวเชิดมาแต่ไกล มันโยนเศษฝรั่งทิ้ง เดินลงบันไดเกือบขั้นสุดท้าย นั่งหันหลังให้คลอง แก้เชือกฟางผูกรัดขยุ้มหูกางเกงออก รูดลงครึ่งขาหย่อนก้นลงใกล้น้ำ เรือหางยาวลำใหญ่หลังคาสีแดงเคลื่อนใกล้เข้ามา เสียงเครื่องยนต์ครางกระหึ่ม ภายในเรืออัดแน่นด้วยผู้คนซึ่งเร่งรุดไปทำงาน อย่างน้อยมันเป็นคนเปิดเผยพอจะเบ่งขี้ต่อหน้าธารกำนัลทั้งหลายบนเรือ มันเยื้อนยิ้มต่อหน้าสักขีพยานบนบาทวิถีอีกด้วย คนขับเรือตะโกนห่าอะไรมันได้ยินไม่ถนัดนัก เนื่องจากสรรพเสียงต่างๆ ดังระงมกลบแทรก มันนั่งอยู่ชั่วครู่จนเสร็จธุระ วักน้ำจากคลองล้างตูด ก่อนดึงกางเกงขึ้นมัดปมเชือกฟางไว้พร้อมกับลุกยืน มันเดินเรื่อยเปื่อยช้าบ้างเร็วบ้าง ครั้นหยุดเพื่อชื่นชมอะไรด้วยความสนใจเป็นเวลานาน มันจะยืนนิ่งเหมือนปูนปั้น หากแต่ไม่ลืมนับก้าว สมองของมันหมุนเร็วจี๋ ความคิดเกิดขึ้นและชักลากไปเหมือนลมกรด มันจำเป็นต้องหาอะไรทำ เพื่อไม่ให้ความคิดนั้นสั่งมันโดดลงคลองหรือวิ่งให้รถชน ความตายโหงโหยหามันอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ มัจจุราชเล่นซ่อนหากับมันไม่เลือกกาลเทศะ ตายโหงเท่านั้นคือสิ่งซึ่งมัจจุราชต้องการสำหรับมัน ทูตแห่งความตายคงยัดรหัสลึกลับใส่กบาลของมันเป็นแน่แท้ สิ่งลึกลับในสมองจึงก้องอยู่ ด้วยเสียงเพรียกของปีศาจจากสุสานโบราณไม่หยุดไม่หย่อน สิ่งนี้ลึกเร้นเกินมนุษย์หน้าไหนจะเข้าใจโดยง่าย สายโด่งมันลากสังขารไปถึงสะพานคอนกรีตข้ามคลองน้ำครำ หยุดอยู่กลางสะพานแล้วทอดสายตาไปยังสลัมชุมชนใหญ่ อาณาจักรตกสำรวจ บ้านไม้ทั้งสองฟากปลูกติดกันเป็นพืดยื่นออกไปในคลอง หลังคาสังกะสีเขลอะสนิมกระด่างกระดำพยุงไว้ด้วยไม้ซีกตีซ้อนตรึงไม่ให้โค่น ค้ำบ้านทั้งหลังด้วยเสายาวเหยียดปักลงไปในน้ำ มันยืนอยู่ใกล้กับฝรั่งซึ่งสนใจถ่ายรูปมันและแหล่งเสื่อมโทรมเป็นการใหญ่ มันคิด ไม่รู้แม่งสนใจอะไรนักหนากับบ้านสับปะรังเค ไม่มีชื่อเรียกอื่นใดเหมาะเจาะไปกว่าคำว่ารู ไอ้พวกนี้มันชอบคิดว่าตัวเองเป็นเผ่าพันธุ์นักสำรวจผู้ยิ่งใหญ่อยู่เรื่อย มะเหงก สลัมแหล่งเสื่อมโทรมประดุจคนเป็นแผลฟุฟะเน่าเนื้อใน และกินลามแสดงตัวน่าสะอิดสะเอียน หลายสิ่งอย่างเคยมีและยังมีอยู่ ราวกับเป็นการสืบเทือกเถาทางวัฒนธรรมสามานย์ไม่สิ้นสุด ขี้ยา ขี้ข้า ไพร่ กะหรี่ อาชญากร ฯลฯ อาณาจักรตกสำรวจ ดินแดนมิคสัญญี มันโปรดปรานอาณาจักรแห่งนี้เหลือเกิน เต็มไปด้วยผู้คนหลายจำพวก สันดานกา สันดานหมา สันดานยักษ์ และอื่นอีกหลากหลายสันดาน จำเดิมตอนมันเข้ามาอยู่ใหม่ๆ ไม่ได้ง่ายดายเลย อันธพาลที่นี่สถาปนาคนสารรูปอย่างมันเป็นถึงตำรวจสายสืบ มันต้องผ่านการทดสอบด้วยส้นตีนจนเกือบล้มประดาตาย มีรอยชอกช้ำประดับบนร่างกายทดแทนความไว้วางใจได้เป็นอย่างดี มันค่อยๆ สืบเท้าซอกซอนลึกเข้าไปยังใจกลางอาณาจักรตกสำรวจ ในมือถือของกินพะรุงพะรังทั้งโอเลี้ยง ขนมไข่นก ก๋วยเตี๋ยวหลอด ซึ่งขายตามรายทาง พวกเขายินดีให้ทานมัน แทบไม่ต้องทำอะไร เพียงส่งยิ้มเจื่อนๆ แล้วยื่นมือไปรับ เสียงตะโกนลงมาจากชั้นสองของวิมานกลางดิน ผู้คนที่นั่นเรียกขานกันอย่างนั้น ป้าสะองแม่ค้าขายข้าวแกงน้ำหนักร้อยกว่าโล แกยืนเท้าสะเอว อยู่บนระเบียงบ้านที่สั่นสะท้านคล้ายกำลังจะพังพาบลงมา แกกำลังทักทายกับห้องข้างเคียงอย่างอารมณ์ดี อีแอ๋ว ตั้งแต่มึงได้ผัวใหม่มานี่ อีห่า เอากันเสียงลั่นสามบ้านแปดบ้านเลยนะมึง ไม่กลัวไอ้พวกหัวหงอกหัวดำแถวนี้มันจะอยากกันบ้างเลย สาวแอ๋วซึ่งตลอดหัวจรดตีนมีส่วนคุยได้สองอย่างคือมีเอวมดตะนอย กับตูดใหญ่เหมือนกระด้งฝัดข้าว หล่อนว่าอย่างนั้น ทำไงได้ล่ะป้า เวลาหงี่ใครไม่หูอื้อตาลายกันบ้างล่ะ ว่าแต่ป้ากับลุงเหอะ สาวแอ๋วพูดไม่ทันจบ พร้อมสากกระเบือลอยมากระทบประตูไม้แบบบานพับโครมคราม และจบลงด้วยเสียงหัวเราะ สาวแอ๋วผลุบหายเข้าไป ขณะป้าสะองยังยืนค้ำเอวอยู่บนระเบียงบ้าน วันนี้แกคงหาใครลับฝีปากด้วยแก้กลุ้มไปอย่างนั้นเอง เป้าหมายกำลังเดินมาอีกคนแล้ว อีดอกนั่นอีกคน แม่มึงยังไม่ทันออกจากโรงเรียนเลยนะ หือ มึงจะหาผัวแล้วรึไง ดูแต่งตัวเข้า เดี๋ยวพวกได้ลากไปแทงหอยฉีก หนอย ป้าสะองเอ็ดตะโรใส่หลานเด็กหญิงอายุสิบสามของแก นมต้มโตเกินวัยในเสื้อรัดรูปเปิดร่องอก ใส่กางเกงยีนส์สั้นถึงง่ามตูด เด็กหญิงทำเดินโยกก้นสะบัดสะบิ้งไปทางปากซอย มันเองเดินหิ้วของกินสวนมา และต้องผ่านใต้ระเบียงแห่งนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ป้าสะองทักทายด้วยมธุรสวาจา ไงคะครู หายไปนานนะ ไปมาเท่าไหร่ล่ะเที่ยวนี้ ป้าสะองจีบปากจีบคอพูด มันเงยหน้าขึ้นยิ้มแหยๆ ตอบไปว่า หนึ่งแสนสามหมื่นหนึ่งพันหกร้อยห้าสิบสี่พอดี โอ้ ไปมาเยอะเหมือนกันนะพ่อคุณ เออ กระท่อมของครูน่ะ อีแต้มมันเข้าไปคลอดลูก ไม่รู้ว่ามันจะหวงหรือเปล่า ระวังหน่อยแล้วกัน

เพิงของมันอยู่ข้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในชุมชนจิตบริสุทธิ์ เป็นพื้นดินธรรมดาๆ นี่แหละ มุงด้วยป้ายโฆษณาเก่า ป้ายหาเสียงของสอสอหน้าเดิม สอวอเมียสอสอหน้าเดิม สอกอดารา ผู้ว่าฯ คนนั้นที่ใครแตะจมูกแกไม่ได้นั่นน่ะ ใหม่กว่านั้นหน่อยมันเพิ่งหามาปะตรงช่องโหว่เป็นผู้ว่าฯ หน้าหล่อสาวกรี๊ดเชียว ส่วนที่ซุกหัวนอนใช้ลังกระดาษบ้างหนังสือพิมพ์บ้างตามแต่จะหาได้ มันอยู่ในอาณาจักรตกสำรวจแห่งนี้ได้คราวละไม่นาน เพราะนับวันผู้คนยิ่งสงสัยและตั้งคำถามด้วยสายตาว่า มันบ้าหรือไม่บ้ากันแน่ ค่าที่มันอยู่ใกล้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กขี้กะโล้โท้ ซึ่งรับฝากเด็กพ่อแม่ขี้เกียจจะเลี้ยง เอากันจนคลอดออกมา ปล่อยปละละเลย เด็กเปรตบางคนไหลออกมาจากมดลูกผุพัง แถมอยู่ในสังคมอมโรค นิสัยมันเหลือรับ แต่กระนั้นในความเป็นเด็กยังมีธาตุบริสุทธิ์ซ่อนแฝงอยู่ ทุกเช้าหากมันไม่ไปไหน คุณครูจำเป็นคนแถวๆ นี้แหละ ไม่มีเงินเดือนนี่นะ อาศัยจากพ่อแม่เด็ก ให้บ้างไม่ให้บ้าง ได้จากเงินบริจาคบ้าง ยังดีกว่าอยู่เฉยๆ คุณครูจำเป็นจะมาเรียกมันไปผิวปากให้เด็กฟังในตอนเช้า ไม่รู้เป็นอะไร เด็กโยเยพูดไม่รู้ฟังจนคุณครูจำเป็นแอบตบกบาลเอาหลายครั้ง หากได้ฟังเสียงผิวปากแล้วเป็นสงบทุกราย ค่าที่รังของมันอยู่ใกล้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และติดกับลานต้านยาเสพติดซึ่งใช้เป็นสนามฟุตบอลประจำชุมชน เด็กปอห้าปอหกมอหนึ่งมอสองมักแวะเวียนหอบการบ้านมาให้มันสอน เด็กๆ จะนัดกันทีละหลายคน จุดยากันยุงมาสักขดสองขด ใช้ไล่ยุงด้วยประการหนึ่ง และป้องกันกลิ่นเหม็นอีกประการหนึ่ง เด็กๆ มักพูดกันว่ามันเป็นครูซึ่งเหม็นบรรลัย น่าจะสุดในประเทศไทย บ้างว่ามันสอนเข้าใจกว่าครูในโรงเรียนเสียอีก เด็กๆ เลยเสี่ยงๆ เอา ดูว่ามันอารมณ์ดีหรือไม่ ถ้าวันไหนอารมณ์ดี มันสามารถสอนให้เข้าใจการบ้านของแต่ละคนอย่างไร้ข้อกังขา หากวันไหนอารมณ์ขุ่น มันอาจถกกางเกงเยี่ยวใส่เข้าบ้าง พวกเด็กๆ แถวนั้นเริ่มเรียกมันว่าครู และไม่นาน คนทั้งชุมชนจึงเรียกมันติดปากว่าครูด้วยเช่นกัน ไม่มีใครรู้ว่ามันมาจากไหนหรอก ไม่มีใครสนใจถาม ขนาดป้าสะองซึ่งดูแลเรื่องอาหารการกินตลอดการอยู่ที่นี่ของมันยังไม่ได้ถาม และมันจึงไม่จำเป็นต้องบอกใคร หนึ่งแสนสามหมื่นหนึ่งพันหกร้อยแปดสิบห้าก้าวพอดี มันพึมพำเมื่อย่างเท้าเข้าไปในเพิง หมาน้อยตัวเท่าลูกหนูห้าหกตัวหลับตาดุนหัวกินนมแม่ อีแต้มผงกหัวมองดูมันแล้ววางคอลงอย่างเบื่อๆ มันนั่งชันเข่าลงข้างๆ แก้ยางมัดถุงก๋วยเตี๋ยวหลอด พับปากถุงลงตั้งไว้ตรงหน้าอีแต้ม หมาแม่ลูกอ่อนสูดดมจนโพรงจมูกขยับพะเยิบพะยาบ ค่อยๆ ง้างปากงับถุงพลาสติกเบาๆ มันเห็นอีแต้มท่าจะกินลำบากเลยเทก๋วยเตี๋ยวออกจากถุงให้ อีแต้มจึงได้กินอย่างเอร็ดอร่อย มันหัวเราะหึๆ ด้วยความสบายใจ ใช้ช้อนพลาสติกตักข้าวราดแกงสารพัดอย่างเข้าปาก เคี้ยวหยุบหยับไปพร้อมๆ กับอีแต้ม ครั้นกินอิ่มมันเอนหลังมองไปทางลานต้านยาเสพติด กลุ่มวัยรุ่นเตะบอลกันอย่างเอาเป็นเอาตาย กี่ลูกเกมตามแต่จะตกลง เงินพนันวางอยู่บนโต๊ะโดยมีเด็กสาวสูบบุหรี่นั่งเฝ้า มันนอนหลับเอาแรง และสะดุ้งตื่นกลางดึก เมื่อฝันไปว่าตัวเองแต่งตัวหล่อใส่สูทผูกเนกไท ตัดผมตัดเผ้าใหม่เสียเรี่ยม ในฝันอันพิลึกพิลั่นนั้น มันเห็นตัวเองยืนเด่นอยู่ท่ามกลางนักศึกษามหาวิทยาลัย ในชั่วโมงบรรยายวิชาปรัชญาตะวันตก พร้อมอาจารย์พิเศษชื่ออริส โตเติล ยุ่งยากเหลือเกินกับการรับปากใครไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะ โดยเฉพาะเหล่าลูกศิษย์ทโมน ในห้วงฝัน มันรู้สึกกระสับกระส่ายเป็นที่ยิ่งก่อนเข้าบรรยาย เพราะไม่รู้จะหาอริส โตเติลได้ที่ไหน มันยืนหันรีหันขวางอยู่หน้ามหาวิทยาลัย ก่อนเหลือบไปเห็นร้านเครื่องเขียนฝั่งตรงข้าม มันเดินหายเข้าไปในร้านพักใหญ่และกลับออกมาพร้อมกับดินน้ำมันในมือ ในฝันมันรู้สึกว่าดินน้ำมันกับอริส โตเติลเป็นสิ่งเดียวกัน เพียงแต่มันต้องพูดให้นักศึกษาเชื่อให้ได้ว่านี่คืออริส โตเติล พูดเข้าๆ เหมือนในโทรทัศน์ ผิดกลายเป็นถูก ถูกกลายเป็นผิด ดินน้ำมันจะต้องกลายเป็นอริส โตเติลได้อย่างแน่นอน มันปั้นดินน้ำมันอย่างสุดความสามารถ แต่โชคร้ายไปหน่อย แอร์คอนดิชั่นในห้องบรรยายเกิดเสีย จำต้องเปิดหน้าต่างทุกบาน อากาศด้านนอกร้อนจัด อริส โตเติลตัวอ่อนย้วยสำเนียงยานคาง คำพูดซึ่งหล่นจากปากอริส โตเติลยืดเยิ้มพอๆ กับตัวของเขาและปรัชญาของเขา มันเองวางหน้าไม่ถูก ขณะความจริงกำลังจะเปิดเผยและมันใกล้จนตรอกอยู่แล้วนั้น เสียงลูกหมาละเมอหิวนม ดังขึ้นกลางห้องบรรยาย มันจึงสะดุ้งตื่นพร้อมกับความโล่งอก แสงจากดวงไฟบนสะพานไกลออกไป สาดมายังกองไม้ซึ่งวางเลเพเลพาดอยู่ข้างเพิงของมัน เงาจากกองไม้ยื่นง้ำรวมกับเงาของต้นไทรจนแยกกันไม่ออก คราบงูห้อยจากปลายไม้เรี่ยลงมา เสียงยุงบินตอมใกล้ๆ หู มันนั่งชันเข่าโยกตัวไปมาอยู่ข้างอีแต้มกับลูก มันควรบ้าได้เสียที มันกระหายจะเป็นชาติพันธุ์ไร้คำจำกัดความ เหมือนพี่สาวมัน เหมือนพี่ชายมันและเหมือนน้องสาวของมันด้วย ทุกครั้งเมื่อฝันร้าย ความฝันได้คืนเศษเสี้ยวแห่งความรู้สึกตัวให้ ซึ่งมันไม่ต้องการ มันควรบ้าได้เสียทีแล้ว และมันควรเป็นคนบ้าบาปหยาบช้าและมีทุคติเป็นหมายเมื่อหลังตายไปแล้วด้วย ครั้งกระนั้นไง มันเดินตุหรัดตุเหร่เข้าไปในวัดแห่งหนึ่ง ใต้ร่มโพธิ์ใหญ่ยืนต้นมาหลายชั่วอายุคน มีกิ่งก้านสาขาแผ่เป็นหลังคาโค้งงุ้มคลุมลานวัดด้วยร่มเงาอันสงบเย็น บนม้านั่งหินอ่อน ภิกษุหนุ่มผู้มุ่งมั่นในคันถะธุระหลายรูป กำลังกางพระไตรปิฎกถกกันเรื่องธรรมะจนน้ำลายแตกฟองมุมปาก มันเดินผ่านมานั่งอยู่อีกฟากหนึ่งของต้นโพธิ์ กำลังดูดน้ำเย็นจากถุง ซึ่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างตรงปากซอยแขวนไว้กับเสาศาลาคอยรถ มันขโมยเอาแล้วเดินเรื่อยเปื่อยลึกเข้ามาท้ายซอย กะจะนอนให้เต็มตื่นแล้วจาริกไปต่อ เผอิญได้ยินเสียงภิกษุถกเถียงกันเรื่องพระสรีระของพระพุทธเจ้าโคดม มันนั่งไขว่ห้างฟังอย่างเงียบๆ นานเข้าจากนั่งเปลี่ยนเป็นนอน ครั้นฟังแล้ว จากการสนทนาอันเนิบช้าถ้อยทีถ้อยอาศัยทวีแผดร้อนดุเด็ดขึ้นครัน พระพุทธเจ้าแท้จริงแล้วนั้นเป็นคนที่ไหนกันเล่า ชาติพันธุ์ไหนกันแน่ หากเป็นปัจจุบันจะอยู่ประเทศไหนกันแน่นะ พระเกศาเป็นเยี่ยงไร หยักศกรูปก้นหอยเหมือนพระพุทธรูปหรือไม่ ผิวเหลืองอร่ามดั่งทองแน่หรือ มีท่อนแขนยาวเลยเข่ากระนั้นหรือ พระสุรเสียงกังวานดั่งเสียงกังสดาลของระฆังอันไพเราะที่สุดใช่ไหม พระชิวหาแลบเข้าช่องพระกรรณได้จริงหรือ พระชิวหาแลบปิดพระนลาฏได้จริงหรือเปล่า เสียงภิกษุหนุ่มเปิดพระไตรปิฎกไปมาดังผับๆ เสียงเรียกขานถึงมหาปุริสลักษณะเคร่งครัดเคร่งเครียดกวนสมาธิการนอนของมัน ไม่นานนักหรอก มันเผ่นพรวดออกจากที่นอนไปยังม้าหินอ่อน ท่ามกลางอาการตะลึงงันของภิกษุทั้งหลาย โดยไม่พูดอะไร มันฉวยพระไตรปิฎกหนาหนักสองสามเล่มบนโต๊ะ โกยอ้าวจากตรงนั้นทันทีพร้อมกับร้องเสียงหลงว่า ขยะ ขยะ ขยะ มันวิ่งมาถึงบ่อเลี้ยงเต่าของวัดแห่งนั้น ทิ้งพระไตรปิฎกทั้งหมดตูมลงน้ำ วิ่งตุปัดตุเป๋ไปทางปากซอยพร้อมเสียงตะโกน ขยะ ขยะ ขยะ มันไม่นำพาต่อศีลธรรมอันดีใดๆ เอาเสียเลย มันควรจะบ้าได้แล้ว ขยะ ขยะ ขยะ

พี่ชายคนโตของมัน เป็นนักบวชผู้เอาจริงเอาจังกับการปฏิบัติกรรมฐาน ก่อนหน้านั้นอีกที่เริ่มส่ออาการคลั่งไคล้ลัทธิการเมือง หลังการฟังอภิปรายที่หอประชุมในมหาวิทยาลัยอันเป็นประวัติศาสตร์แห่งการต่อสู้ เขาก่นโทษตัวเองอยู่ไม่น้อยเลยว่า ตนมีส่วนทำให้ประเทศไทยแตกแยกเป็นฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา และคิดตะพึดตะพือไปว่า เขาเป็นฝ่ายซ้ายแม่นมั่น หลังจากถูกคู่อริต่อยที่แก้มซ้ายจนก้นจ้ำเบ้า เขาเชื่อว่าจากการถูกชกแก้มซ้ายวันนั้น ทำให้เขามีความคิดเอียงซ้าย คิดจงหนักลงไปตรงนั้นทีเดียว หลังจบมหาวิทยาลัย พี่ชายคนโตของมันออกบวช ผ่านไปปีเศษ เขาไปฝึกสมาธิกับพระกรรมฐานในป่า ได้บังเกิดความรู้สึกเอิบอาบเซิบซาบ จากการเพ่งเห็นดวงแก้วสุกสว่างตรงศูนย์กลางกาย แต่ไม่นานนักหรอก พี่ชายคนโตของมันเริ่มปรากฏความบ้าชัดเจนขึ้น เมื่อฝึกวิชาเตโชกสิณ ด้วยความวาดหวังสู่ดวงจิตกาจกล้า ขึ้นสิบห้าค่ำในหน้าร้อนปีนั้น เขา (ภิกษุหนุ่ม) วิ่งร้องแรกแหกกระเชอ ปลุกพระรูปอื่นทั่วทั้งวัดให้ขึ้นมาฟังเขาสอนธรรมะ เขาเชื่อมั่นแก่ใจตนว่าตัวได้ถึงที่สุดทุกข์เป็นแน่แท้แล้ว และในคืนสิบห้าค่ำฤดูร้อนปีถัดมาอีก หลังจากการบำเพ็ญเตโชกสิณ เขากระโจนลงมาจากหน้าต่างกุฏิแล้วพุ่งหลาวลงบึงน้ำ ดำผุดดำว่ายอย่างคนรุ่มร้อนเหลือประมาณ แถเถือกไปกับเปือกโคลนด้วยอาการแสบร้อน ดิ้นเร่าประดุจร่างกายกำลังมอดไหม้ เหตุครั้งนั้นนำไปสู่ข้อวิจารณ์กันหลายขนานเรื่องการปฏิบัติ เพียงไม่นาน ภิกษุหนุ่มเผชิญกับอาการนอนไม่หลับอย่างรุนแรงติดต่อกันสองเดือนเศษ มีอาการหดหู่ เศร้าสร้อย ไม่พูดจาพาทีกับใครเหมือนก่อน เบื่อหน่ายชีวิต ถึงกับกรอกยานอนหลับหวังฆ่าตัวตาย เขาถูกนำตัวไปบำบัดรักษาร่วมสองเดือน เมื่อถูกจำหน่ายจากโรงพยาบาลกลับวัด ภิกษุหนุ่มก็หาได้ฉันคิลานเภสัชอันใดไม่ หวังใช้กรรมฐานบำบัดด้วยตัวเอง กระทั่งเริ่มปรากฏอาการป่วยอีกครั้ง คราวนี้เก็บตัว เหนื่อยหอบรุนแรง เบื่ออาหารกระทั่งไร้เรี่ยวแรงจนไม่สามารถออกบิณฑบาตได้ ไม่พบปะสมาคมกับผู้ใด และนอนไม่หลับหนักกว่าเก่า กระทั่งตัดสินใจทำอัตวินิบาตกรรมอีกครั้งโดยใช้ยานอนหลับ กุสลาธรรมา อกุสลาธรรมา อัพยากตาธรรมมา…

น้องสาวคนเล็กของมันนั้นเล่า เธออายุแค่สิบแปด ใบหน้าผิวพรรณงดงามราวกับนางฟ้านางสวรรค์ เธอหนีหายออกจากบ้านหลายเดือน และกลับมาเองด้วยสภาพติดกามโรคงอม จิตใจและร่างกายบอบช้ำเป็นที่น่าสังเวช ชาวบ้านฆ้องปากแตกต่างเล่าลือกันว่า เห็นเธอเดินหายเข้าไปในดงอเวจีหลังสลัมจิตบริสุทธิ์ ใครคนหนึ่งในเหล่าทรชาติกลัดมันรุมข่มขืนเธอ กุมขังสังวาสกับเธอจนเกินอิ่มหนำ ก่อนเวียนไปให้กับโจรก๊กอื่นข่มขืนต่อ วันแล้ววันเล่า มันเข้มแข็งพอและไม่ยอมแพ้ต่อชะตากรรม เมื่อรับน้องสาวกลับบ้านในสภาพเดียวกับผีตายซาก หลากหลายมโนภาพจู่โจมมัน มโนภาพเหล่านรกกักขฬะ รุมทึ้งบนร่างขาวโพลนและงดงาม หญิงสาววัยรุ่นเต็มด้วยความสดใส ผิวพรรณหนั่นเนื้อนั้น ดีเกินกว่าภาพดาราเปลื้องผ้าที่พวกนรกหามาติดฝาห้องเพื่อสำเร็จความใคร่อย่างเทียบไม่ติด มโนภาพไอ้นรกตัวหนึ่งซึ่งมีร่างกายอันอัปลักษณ์ ดำมิดหมีเสียยิ่งกว่าถ่านและหยาบโลน ได้เกลือกหน้าเหม็นๆ บนเรือนร่างขาวโพลนงดงาม ด้วยความหื่นใคร่อย่างสัตว์ในฤดูผสมพันธุ์ มันเป็นคนเข้มแข็งพอ หลังจากจัดงานศพให้พ่อกับแม่ผู้ไม่อาจทนต่อการเสื่อมเสียวงศ์ตระกูลเก่าแก่จากยุคเจ้าขุนมูลนายได้ ทั้งคู่จึงปลิดชีพตัวเองด้วยการแขวนคอ มันพาน้องสาวไปโรงพยาบาลครั้งหลังในสภาพจำอะไรไม่ได้ ผมเผ้ายาวรุงรัง ผัดหน้าขาววอก สติเธอกระเจิงไปจนกู่ไม่กลับแล้วหลังหนีมาจากสลัมจิตบริสุทธิ์ ในโรงพยาบาลเธอเดินทำตาหวานกับนิสิตชายมาตลอดทาง ลางทียกเสื้อเปิดขาให้คนบ้าชายดู ลางทีวิ่งเข้าไปจูบคนบ้าชายด้วย ลางทีพูดเชื้อเชิญคนบ้าชายให้มาร่วมสังวาสกับตนด้วย ลางทีพูดคำอุบาทว์ลามกเกี่ยวกับโยนีและองคชาต ลางทีเธอนอนลงบนพื้น กางขาแดะสะโพกและขยับไปมาเหมือนกำลังร่วมสังวาสอยู่กับมวลอากาศรอบกายเธอ ระหว่างให้สัมภาษณ์กับแพทย์ เธอกอดเข่าและเรียกขานแพทย์ผู้นั้นด้วยชื่อเทพยดาหลายตน

พ. ตอนนี้ ส. อยู่ไหน
ส. อยู่ศาลาแดง แต่เขาเรียกกันว่าแผนกจิตเวช โรงพยาบาล…
พ. เคยมากี่ครั้งแล้ว
ส. อยู่บ้านจับปลา สนุกนะ จับอย่างนี้ๆ (ทำท่าประกอบ)
พ. มีญาติบ้างไหมในกรุงเทพฯ
ส. มีพี่ตาอยู่… พี่น้องเยอะแยะ พี่เอียด พี่น้อง พี่น้ำค้าง
พ. ที่บ้านในจังหวัด…มีใครอยู่บ้าง
ส. พ่อกับแม่ พ่อเคยพาไปโรงพยาบาล
พ. พ่อพาไปโรงพยาบาลทำไม
ส. แบบว่า (หัวเราะ) พี่ชายส่งเงินมาให้สิบบาท ให้แม่หนึ่งบาท อีกหนึ่งบาทซื้อหม้อข้าวหม้อแกง…ลิง
พ. ทำไมถึงมาโรงพยาบาลนี้
ส. ที่นี่มีสามัคคีชุมนุมใช่ไหม พวกเราเหล่ามาชุมนุม
พ. ส. มาเพื่อชุมนุมเท่านั้นเองหรือ
ส. กินแต่กล้วย
พ. ลองบอกใหม่ซิ ว่าทำไม ส. ถึงมาโรงพยาบาล
ส. เพราะหมอสมปอง
พ. หมอสมปองคือใคร
ส. กินยาจะทำให้ตายไหม
พ. ส. สงสัยเกี่ยวกับยาหรือ เวลาทานยาแล้ว ส. รู้สึกไม่สบาย หรือว่าสบายขึ้น
ส. ยาอะไร ฝิ่นหรือ
พ. ส. คิดว่ายาที่ให้เป็นฝิ่นหรือ
ส. ข้างนอกเป็นอย่างนั้น ยารูปตัว T เหมือนกระชากหัวใจ
พ. ส. มีแฟนหรือยัง
ส. แฟนอะไร แฟนต้า โค้ก โคคาโคลา
พ. เลอะเทอะแล้ว ตั้งใจตอบหน่อย
ส. โอ้ย เลอะเทอะเป็นเด็ก แม่ว่าเลี้ยงยังไงก็ไม่โตเป็นเด็กแดงอยู่เรื่อย เพราะเค้าใส่ เสื้อแดง
พ. ตกลงตอนนี้ ส. ยังเด็ก ยังไม่มีแฟนใช่ไหม
ส. หัวใจไม่มี หายไป ถ้าหายใจแรงๆ จะมีหัวใจ
พ. ส. ตอบไม่ตรงคำถาม ถามใหม่นะ เคยแต่งงานหรือยัง
ส. เคย เคยเล่นแต่งงานตอนเด็กๆ
พ. แล้วตอนโตล่ะ แต่งงานหรือยัง
ส. (หัวเราะร่วน)
พ. มีลูกหรือยัง
ส. มีลูกหรือ ลูกอะไร ลูกบอลหรือ หรือลูกอะไร (หัวเราะ)

บัดนี้น้องสาวของมันอยู่ที่โรงพยาบาลรักษาอาการทางจิต แล้วยังมีพี่สาวของมันอีกคน เธอบ้าอย่างเด็ดขาดไร้ข้อสงสัย พี่สาวของมันเคยเป็นครูสอนภาษาไทยดีเด่น ทั้งยังชอบเขียน โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ร่าย อย่างเคร่งฉันทลักษณ์ไม่บันเบาเลย เข้าโรงพยาบาลครั้งที่สองนี้เธอมีอาการหนักหนา ด้วยความหลงผิดว่าเธอนั้นระลึกชาติได้ และพูดอยู่เสมอๆ ว่า ชาติแรกเธอเกิดเป็นกิ้งกือต้อยต่ำตัวหนึ่ง ใต้กอหญ้าแห้งโดยเกิดมาเพียงสองวันได้ตายลง ชาติถัดมาเกิดเป็นชายในประเทศอินเดีย ได้บวชจาริกนุ่งขาวเป็นสาวกของนิครนถ์นาฏบุตร ในศาสนาเชนนิกายเศวตัมพร ชาติถัดมาเกิดเป็นพระนางปชาบดี โคตมี ภิกษุณีรูปแรกของพุทธศาสนา อีกชาติเกิดเป็นตัวเธอเอง ซึ่งพี่สาวของมันพร่ำบอกว่ามีเจ้าฟ้าเจ้าอยู่หัวในอดีตถึงสองพระองค์ เหยียบบนไหล่ทั้งสองข้างตลอดเวลา เธอยืนยันอย่างหนักแน่นโดยไม่สามารถหาเหตุผลอันใดมาลบล้างได้ทั้งสิ้น มันพาเธอไปโรงพยาบาลรักษาอาการทางจิตอีกคน เธอแต่งทรงเครื่อง ด้วยผ้าผืนบางซ้อนทับกันหลายชั้นดูรุ่มร่าม มีผ้าสไบพันเฉียงอีกบทหนึ่ง เขียนคิ้วดำปิ๊ดปี๋ ปาดปื้นเลยคิ้วไปไกล ทาปากสีแดงสดเลอะเละออกมานอกริมฝีปาก และออกลีลาร่ายรำตลอดเวลา เครื่องทรงของเธอล้วนแต่มีความหมายทั้งสิ้น เธอบอกว่าเขียนคิ้วดำดุเพื่อให้แลเหมือนแขก เพราะชาติหนึ่งเคยเกิดเป็นปชาบดีภิกษุณี และความต้องการของเธอคือ แบ่งแยกเขตแดนไทยกับพม่าออกจากกันอย่างชัดเจน การเขียนคิ้วดำดุ เป็นสัญลักษณ์แทนเทือกเขากั้นเขตระหว่างไทยกับพม่า ส่วนการทาปากแดงนั้น เพื่อให้คล้ายคลึงกับคุณหญิงจันทร์ ซึ่งเป็นอีกชาติหนึ่งที่เธอเพิ่งนึกขึ้นได้ คุณหญิงจันทร์นั้นเคี้ยวหมาก แหวนและสร้อยสายรุ้งที่พันยุ่งระยิบระยับตามตัว แสดงว่าเธอเคยเกิดอยู่ในชาติตระกูลสูงศักดิ์มาก่อนนั่นเอง และบัดนี้พี่สาวของมันยังอยู่ที่โรงพยาบาลรักษาอาการทางจิต และมันเองนั้นควรจะบ้าได้เสียทีแล้วเหมือนพี่สาวของมัน แม้ไม่สามารถตบตาชาวชุมชนจิตบริสุทธิ์นี้ได้เลย หากแต่สังคมด้านนอกเชื่อสนิทใจว่ามันบ้าอย่างไม่ต้องสงสัย และมันมีความสุข และมันรู้สึกถึงอิสรภาพ มันต้องการคำยืนยันจากจิตแพทย์ว่ามันบ้าได้อย่างสมบูรณ์เสียที ไม่เช่นนั้นมันคงทุกข์ท้นจะตายห่าเสียให้ได้ มันเบื่อเหลือเกิน เมื่อต้องรับรู้การไปการมาของสังคมซังกะบ๊วย สังคมอันรอวันล่มสลายด้วยการกัดกินตัวเอง บดขยี้ กักขฬะและหยาบหยามตัวเอง มันเคยทนไม่ไหวถึงขั้นหาปี๊บมาครอบหัว เพื่อปิดการรับรู้เรื่องภายนอก มันหายใจครืดคราดอยู่ในปี๊บ กินนอนคาปี๊บอยู่หลายเพลา หัวใจถูกแทะทึ้งจนเปราะบางวันแล้ววันเล่า มันคาดหวังว่าปี๊บจะช่วยมันได้ การรับรู้โลกภายนอกทั้งหมดของมันถูกปิดกั้นด้วยปี๊บสั่วๆ สนิมเขลอะขละ แต่คราเมื่อมันอยากเผชิญโลกแท้จริง วินาทีซึ่งมันทิ้งเศษสังกะสีเส็งเคร็งลงพื้นไปแล้วนั้น มันต้องกลับไปหดหู่ยิ่งกว่าเดิม ทุกอย่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย รังแต่วิปลาสมันหนักข้อขึ้นทุกทีๆ สังคมเสื่อมทรามหนักกว่าเดิม หนังโป๊อันศักดิ์สิทธิ์ของผู้ใหญ่หน้ามัน ตกไปอยู่ในมือของเด็กๆ กามกรีฑาวาดเงื้อมมือของมันผาดแผลงไปยังเด็กตัวเล็กๆ เด็กตัวน้อยๆ กวาดต้อนเด็กประถมมาทดลองเสพสังวาสแบบหมู่กันเสียก่อน แปดขวบ เก้าขวบ สิบขวบ สิบเอ็ดขวบ ทดลองดูเสียก่อนนะเด็กประถม ทดลองดูเสียก่อนนะเด็กมัธยม สมสู่กันเข้าไปเถิดเด็กมหาวิทยาลัย หนังโป๊อันศักดิ์สิทธิ์ สาวกแห่งลัทธิกามสุขัลลิกานุโยค ใครล้วนมี ใครล้วนเป็น ธรรมดาๆ ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองศีลธรรมจัดเต้นผางๆ หนึ่งในผู้หลักผู้ใหญ่ศีลธรรมจัดเหล่านั้น ผู้เป็นสาวกแห่งลัทธิกามสุขัลลิกานุโยคด้วยเช่นกันเต้นผางๆ เจ้าลัทธิลึงคิสต์โยนีสต์หัวเราะหึๆ หะๆ ชอบอกชอบใจ ขาหยั่งอันศักดิ์สิทธิ์หัวเราะหึๆ หะๆ สาวแส้ซึ่งถูกข่มขืนกับพวกสาวน้อยอันแถ้ง นั่งเรียงรอคิวด้วยสีหน้าพรั่นพรึง หวาดตระหนก ห่อตัวขาดความมั่นใจ พวกเด็กๆ กำลังรอรีดความสะเพร่า ออกจากมดลูกซึ่งมีแนวโน้มผุพังครึคระไปเบื้องหน้า สาวน้อยหลายคนตัวซีดเซียว สลบไสลบนแท่นบูชายัญ สาวน้อยหว่างขามีเลือดไหลโกรกหลามเลอะเต็มแท่นบูชายัญกำลังนอนหายใจรวยริน ลูกอีห่าสำส่อน ขาหยั่งอันศักดิ์สิทธิ์บริภาษเช่นนั้นขณะหัวร่อหึๆ หะๆ ก้อนเนื้อห้าแง่งในถังขยะ ร่ำร้องโหยหวนด้วยเสียงแห่งสัมภเวสี คำสาปแช่งกึกก้องโกลาไปทั้งสามภพ ว่ากันว่าอีคนไหนทำแท้งลูกออกจากตัวโดยผิดผันขลาดเขลา มันผู้นั้นจะพบกาลวิบัติ ทำมาหากินไม่ขึ้นทั้งชาติ ว่ากันต่อๆ มาอย่างนั้นเทียว ยังไม่หมดสิ้นเพียงเท่านี้ ความโกรธแผ่พังพานไปทั้งสิบทิศ ประหนึ่งจงอางร้ายอันมีดวงตาพยัคฆ์ฝังอยู่ในเบ้า เพ่งจ้อง คุกคามและไร้ความปรานีด้วย พิษสงร้ายแรง ความโลภเช่นกัน เสมือนหนึ่งฉลามร้ายแห่งมหาสมุทรอันเกรี้ยวกราด ฉลามผู้เข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่รู้จักอิ่ม พุ่งโผนคาบแมวน้ำเคราะห์ร้ายขึ้นเหนือมหาสมุทร ประกาศศักดาความอหังการอย่างเอกอุท้าฟ้าท้าดิน เจ้าแห่งครรโภทรสมุทรผู้น่าเกรงขาม ครอบงำใจคน คุมขังด้วยการทะเลาะเบาะแว้งทุกหย่อมหญ้า เป็นประหนึ่งยุคแห่งพุทธันดร ซึ่งพี่น้องร่วมสายโลหิตฟาดฟันกันเองอย่างเถื่อนทมิฬ ผู้คนทุกระดับในสังคมทะเลาะเบาะแว้งกันเองนัวเนีย ซัดกัน สาดกันด้วยอารมณ์พลุ่งโพลงหินชาติ ชนชั้นปกครองทะเลาะถุ้งเถียงกันเอง ประชาชนทะเลาะเบาะแว้งกันเอง และในแต่ละสดมภ์ทะเลาะกันไปมา นรกเหลือหลาย โดยมีความหลงเป็นนายโรง ดังหนึ่งฝูงไฮยีนาร้ายกาจกระหายเลือดกำลังรุมฝังเขี้ยวเน่าๆ ของพวกมันลงบนซากราชสีห์ ซ้ำยังลากถูลู่ถูกังไปตามพื้นกรวด พวกมันบังอาจเหลือหลาย กาจกล้ามุทะลุเหลือเหตุ พวกมันย่ำยีเกียรติของพญาราชสีห์ นายโรงฝูงนี้จัญไรยิ่งนัก เมื่อเป็นเช่นนี้มันและฝูงสัตว์ร้ายเหล่านั้นจะแตกต่างอะไรกันเล่า ไม่เลย มันกับมนุษย์และเทวดาจะต่างอะไรกันเล่า อีแต้มกับพวกลูกๆ ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่เลย ไม่มีอะไรต่างกัน ไม่มีอะไรเหมือนกัน ไม่มีแม้คำถาม ไม่มีแม้ความมี ไม่มีแม้ความไม่มี เพราะมีสิ่งนี้เกิดสิ่งนี้ๆ จึงเกิด เพราะสิ่งนี้ดับสิ่งนี้ๆ จึงดับ สลักสำคัญฉิบหายเลย โคตรจะซับซ้อนลึกซึ้งอะไรเยี่ยงนี้

ย่ำค่ำใต้ต้นไทรใหญ่กลางชุมชนจิตบริสุทธิ์ ฝูงนกเอี้ยงนับร้อยเงียบกริบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พวกมันต่างเกาะนิ่งบ้าง เต้นกระโหย่งกระหยับปีก ย่อขา เอียงคอฟังเสียงผิวปากดังซ่านแทรกบรรยากาศขึ้นมา ฝูงนกเอี้ยงได้แต่เพียงทึ่งตื่น โลดเถลิงลืมตัวงวยงงสงสัยอย่างถึงที่สุด กระทั่งแต่ละตัวราวตกอยู่ในภวังค์ ใช้เรียวปากคาบปลิดใบไม้โปรยลงมาราวกับรางวัลจากทูตสวรรค์ มันยังหลับตาผิวปากด้วยเสียงโหยเศร้า แผ่วผ่อนร่ำกรีดตามสายลม เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ และบางเสี้ยวสร้อยเศร้าไหลลึกอยู่ในโสตประสาทของผู้ได้ยิน เด็กเยาวชนหยุดเตะบอลชั่วคราว ต่างยืนหลับตาโคลงหัวไปมา หมาขี้เรื้อนกับฝูงของมันเช่นกัน หยุดเห่ากรรโชกกระชาก หยุดฟัดกันชั่วครู่คราวก่อน พับขาลงนอนวางคางเกยพื้น หูกระดิกชูร่าหาต้นเสียงครางหงิงๆ อย่างสุขสม แมวผ่ายผอมย่างเดินเบาหวิวบนหลังคา หยุดพฤติกรรมการล่า นอนพาดหัวกับอุ้งเล็บนวลนิ่มพร้อมกับแกว่งหางไปมาอย่างรื่นรมย์ มันยังหลับตาผิวปากด้วยเสียงโหยเศร้าอยู่เช่นเดิม สมองมีแต่ความว่างเปล่า สมกับได้พักผ่อนกินอยู่สุขสบายในชุมชนจิตบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นรังพักพิงของมันเสียหลายวัน แสงสีส้มสุดท้ายกำลังจางหายไป มันอยากฟังเสียงแสงแดดบ้าง มันพยายามเงี่ยหู มันอยากให้แสงแดดยามสนธยามีเสียง เปล่งออกมาเหมือนเพชรตกกระทบกระจกใสกระจ่าง คงไพเราะลึกซึ้งเกินเปรียบเสียงใดในโลก มีคนเคยบอกว่ามันคือศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งใช้เครื่องดนตรีต่ำต้อยที่สุด มันไม่เข้าใจหรอกว่าศิลปินผู้ยิ่งใหญ่คือใครกัน ใช่เผ่าพันธุ์ซึ่งสามารถเสพสังวาสกับงานของตัวเองอย่างเปี่ยมสุขได้หรือไม่ มันไม่เข้าใจหรอก เหมือนจิตรกรสามารถสังวาสกับภาพเขียนของตัวเองในห้วงฝันหรือไม่ เหมือนกวีเสกนางฟ้านางสวรรค์ จากแก้วมณีแห่งจิตวิญญาณไว้เสพสังวาสในจินตภาพหรือไม่ มันไม่เข้าใจหรอก ไม่ใช่ธุระอะไรของมันสักนิด สิ่งเดียวซึ่งมันต้องการคือความวิกลจริตเมื่อได้รับคำยืนยันจากจิตแพทย์ มันควรบ้าได้แล้ว ถึงเวลาเสียที หนึ่งแสนสามหมื่นหนึ่งพันเจ็ดร้อยสิบสามก้าว จะนำไปสู่จุดสิ้นสุด ในวันรุ่งขึ้นมันจะจากชุมชนจิตบริสุทธิ์ ดินแดนมิคสัญญี อาณาจักรตกสำรวจไปสู่คำพิพากษาอันปรารถนาและใฝ่ฝัน ฝูงนกเอี้ยงส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวอีกครั้ง เด็กเยาวชนเตะบอลกันอย่างเอาเป็นเอาตายอีกครั้ง ฝูงหมาโซกัดฟัดกันเลือดสาดดังเดิม แมวเหมือนกัน มันไล่ตะครุบหนูซึ่งตกใจกลัวสุดขีด จนเลือดเหือดแห้งไปจากตัวอย่างเฉียบพลัน ขี้เมายืนไอโขลกๆ ก่อนอ้วกออกมาแถมยังเยี่ยวใส่เพิงของมัน แต่ขี้เมาผู้นั้นต้องวิ่งหนีไม่คิดชีวิต เมื่ออีแต้มขู่คำราม และวิ่งไล่กวดด้วยความเดือดดาลหายไปทางตรอกฝั่งตรงข้าม ไม่นานนักอีแต้มกลับมาพร้อมเศษผ้าคาปาก มันอิดโรย เพราะต้องให้นมลูกและไม่ค่อยมีเวลาหาอาหารกิน ตัวผอมบักโกรกแต่เต้านมอูดอูมห้อยต่องแต่ง ในค่ำคืนอันอุดอู้ เจ้าของเพิงโกโรโกโส ใช้สองมือหนุนหัวนอนเหยียดยาว อีแต้มผู้อาศัยเดินข้ามขามันไปก่อนทิ้งตัวแปะลงบนพื้น ลูกๆ ส่ายจมูกคลานตามหาแม่ร้องอู๊ดอี๊ดเหมือนลูกหมู มันพูดกับอีแต้มเบาๆ พรุ่งนี้กูต้องไปแล้วล่ะ มึงดูแลลูกให้ดีนะ กูอาจไม่ได้กลับมาอีกนะ

ท้องฟ้าขุ่นมัวด้วยฝุ่นควัน ดวงดาวกะพริบพรายหายไปจากฟากฟ้าเหนือเมืองหลวงนานเท่าใดแล้วหนอ น่าสงสารเมืองหลวงจริงเชียว ดึกป่านนี้พวกชุมชนชาวจิตบริสุทธิ์ฝันถึงเรื่องใดหนอ ครอบครัวแหลกสลายคงฝันถึงความอบอุ่นรักใคร่กลมเกลียว คนจนอาภัพอัปภาคย์ คงฝันว่านั่งอยู่บนกองเงินกองทอง เสพสุขไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักสม เด็กกำพร้าคงฝันถึงแม่ทูนหัวใจดี คนโสดคงฝันว่าได้เลือกสาวงามมาเป็นคู่ควง โจรจัญไรคงฝันหวานถึงการทัวร์สวรรค์วิมาน แต่ความฝันคงมักจบลงตรงนรกขุมใดขุมหนึ่ง ซึ่งโจรจัญไรจะต้องไปนอนตายโหงตายห่า ด้วยมือของผู้พิทักษ์กฎหมาย หรือจากพวกโจรด้วยกันเอง มันหรี่หนังตาหนักอึ้งลงช้าๆ เหล่าลูกๆ ของอีแต้มกินนมอย่างเงียบเชียบ ดิ่งลึกลงสู่ห้วงภวังค์ ในฝันมันถูกผู้คนประดามีรุมก่นด่าสาดว่ามันบ้า ซ้ำยังบาปหยาบช้าอีกเสียด้วย ทูตแห่งความตายแช่งชักหักกระดูกมัน ให้ตายโหงตายห่าทั้งยังบ้าเสียเลย คงน่าสมเพชเวทนา มัจจุราชยังเล่นซ่อนหากับมันไม่เลือกกาลเทศะ เสียงเพรียกจากสุสานโบราณยังร่ำระงม ในฝันมันแสยะยิ้มด้วยความปลาบปลื้ม มันบ้าได้เสียที ตายโหงตายห่าเสียยิ่งดี ไม่ต้องปวดหัวตุบๆ ไม่ต้องครอบปี๊บเดินไปไหนมาไหนอีกด้วย เป็นฝันดีสุด เป็นฤกษ์งามยามเหมาะสำหรับวันพรุ่งเลยทีเดียว

วันรุ่งขึ้นมันนอนทอดหุ่ยอยู่ใต้เพิงกับอีแต้มกระทั่งห้าโมงเย็นโดยไม่มีอะไรตกถึงท้อง เงี่ยหูฟังดนตรีจากเครื่องขยายเสียงซึ่งดังกระหึ่มอยู่ไม่ไกลนัก มันยืดตัวขึ้น กล่าวคำอำลาอีแต้มกับลูกๆ และอนุญาตให้ใช้รังนอนได้นานตามแต่ต้องการ มันสลัดแข้งขาแขนแมนเตรียมพร้อมก่อนย่ำเดินออกจากเพิงพัก เสียงอึกทึกครึกโครมดังใกล้เข้ามาเรื่อย มันเดินมาถึงก้าวที่หกสิบเก้า จึงหยุดอยู่ใจกลางเสียงแห่งมหรสพ ผู้คนต่างยิ้มแย้มแจ่มใสสรวลเสเฮฮา มันจำเป็นต้องเดินผ่านทางนี้เพื่อมุ่งหน้าต่อไปยังปากซอย แต่กลับต้องหยุดกลางคันเมื่อป้าสะองยืนดักหน้าไว้ และลากมันไปยังโต๊ะอาหารยาวเหยียดประดับประดาอย่างสวยงาม บนโต๊ะมีอาหารหลากหลายชนิดซึ่งล้วนแต่ชวนชิม อาหารคาว อาหารหวาน และผลไม้หลากชนิดอย่างผู้มีอันจะกิน มันเป็นคนแรกที่ได้สิทธิ์กระนั้นหรือ เกิดอะไรขึ้นล่ะ มังสาหารอันประณีตเหล่านี้ถูกนำมาตั้งไว้กลางอาณาจักรตกสำรวจได้อย่างไรกัน สมควรหรืออย่างไร อาหารเลิศรสเหล่านี้จะได้เข้ามาอยู่ในอาณาเขตแห่งความยากแค้นเช่นนี้ กินเถิดนะพ่อคุณ กินเสียให้อิ่มหนำ จะไปไหนอีกล่ะ ป้าสะองโอภาปราศรัยด้วยหน้าตาผ่องใสเปี่ยมสุข ผู้คนละแวกนั้นล้วนผ่องใสเอิบอิ่มกันถ้วนหน้า ป้าสะองหยิบจานตักสิ่งซึ่งมันต้องการ ใส่รวมกันแบบผสมผเสผักต้มขนมยำ แล้วพามันมานั่งหัวโต๊ะอันจัดต้อนรับไว้อย่างดี จากนั้นจึงเปิดงานอย่างเป็นทางการ ลูกเล็กเด็กแดงถูกกระเตงๆ มา โคตรเหง้าเหล่าตระกูลไหน ขนกันมาหลามไหล และได้ลิ้มรสอาหารอย่างมีความสุขกันถ้วนหน้า สมค่าแห่งการจัดเลี้ยงเป็นที่ยิ่ง อาหารถูกยกมาเติม สุรายาดองถูกยกมาเติมไม่มีพร่องตกหล่น สวรรค์ผุดขึ้นกลางปลักตมโดยแท้ มันมีสิทธิ์ได้นั่งหัวโต๊ะ แวดล้อมด้วยคณาญาติของป้าสะอง เออนี่ กะอยู่แล้วเชียวว่างวดนี้ต้องจั๋งหนับ ป้าสะองพูดด้วยความขมีขมัน ก้อนเนื้อใต้คางโปนออกมาขยอกขยับ ฉันทุ่มสุดตัวเลยงวดนี้ เล่นเลขตัวเดียวพันห้าไปเลย (หลังจากถูกมาหลายงวดแล้ว) ได้ตั้งหกแสนเชียวนะพวกมึง โอย ชาตินี้กูไม่รู้จะหาเงินห้าหกแสนได้จากไหนอีกแล้ว หก ห้า สี่ พ่อครูเป็นพ่อพระมาเกิดแท้ๆ มันยังจ้วงช้อนเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย โดยไม่สนใจขี้ปากว่าใครกำลังเฮโลสาระพาอยู่ทั้งสิ้น กินเสร็จมันลุกขึ้นยืนทันทีและเริ่มออกเดิน เดี๋ยวสิจ๊ะเจ้าพ่อครู ฉันมีอะไรจะกำนัลพ่อครูเล็กๆ น้อยๆ มันถูกป้าสะองเพิ่มยศศักดิ์ด้วยคำว่าเจ้าพ่อ มันครุ่นคิด เจ้าพ่อครู เจ้าพ่อหมอครู เจ้าพ่อหมอผี เหี้ย! เห็นทีจะไม่ไหว มันจึงก้าวเดินอีก แต่ถูกยุดแขนไว้ ป้าสะองล้วงเข้าไปในซอกนมหยิบตลับพลาสติกสีแดงสดขึ้นมา บนตลับมีอักษรตัวเบ้อเริ่มสีทองพิมพ์ว่า ห้างทองตังโก๊ะ ป้าแกบรรจงหมุนตลับ พร้อมประกาศต่อหน้าธารกำนัล ขณะชูสร้อยทองสุกสกาวหนักสองบาทขึ้น เคลื่อนมือผ่านสายตาเบิกกว้างของผู้คนอย่างตื่นใจ สายตาแสดงความเหลือเชื่อ สายตาแห่งความริษยาตาร้อน และสายตาแสดงอารมณ์หลากหลายทุกคู่ จ้องเขม็งมายังมือซึ่งเกี่ยวสร้อยทองคำเส้นนั้นไว้อย่างหลวมๆ ป้าสะองบรรจงสวมสร้อยเข้ากับร่างโสโครกของมัน และปรบมือนำเป็นคนแรก ขณะเสียงปรบมือดังกึกก้องตามมา มันไม่ได้ใส่ใจนักหรอก ทุกอย่างสำหรับมันมีค่าเท่ากับศูนย์ แต่เมื่อความคิดหนึ่งแล่นวาบขึ้นในสมองอย่างฉับพลัน ถึงประโยชน์ของสร้อยทอง มันจึงไม่ได้แสดงท่าทีปฏิเสธอันใด ท้องอิ่มและจุก มันต้องเดินเสียที ไม่อย่างนั้นอาจฟุบหลับลงบนโต๊ะนั้นเป็นได้ ท้องฟ้ามืดมิดสายลมเริ่มปั่นป่วน เมฆตั้งเค้าส่งเสียงคำรามเร่ง มันหงุดหงิดอยู่พอสมควรเมื่อต้องออกแรงฝ่าวงล้อมผู้คนมาอย่างทุลักทุเลพร้อมสร้อยทองเหลืองอร่าม หากทองคำเส้นนั้นมีชีวิตคงอับอายขายขี้หน้าเมื่อถูกลดค่าราคาถึงเพียงนี้

มันเดินมาถึงสะพานเตี้ยๆ พาดข้ามร่องน้ำครำเล็กๆ เดินผ่านกลุ่มชายฉกรรจ์เจ็ดแปดคนกำลังเพ่งจ้องสร้อยทองของมัน ด้วยสายตาลุกวาวมีเป้าประสงค์แฝงเร้นอย่างน่าหวาดผวา ชายวัยรุ่นจากในงานเลี้ยงตามเข้ามาสมทบอีกหลายคน มีการกระซิบกระซาบต่อกันและส่งสายตามายังมันเป็นจุดเดียว แต่มันหาได้ไยไพอันใด มุ่งแต่เดินงุดๆ นับก้าวต่อไป ก่อนหยุดนับก้าวเป็นครั้งแรกตรงจุดเปลี่ยนเส้นทาง เลี้ยววกไปยังตรอกหลังวัด ซึ่งเป็นดงอเวจีแห่งชุมชนจิตบริสุทธิ์ บริเวณเปลี่ยวเปล่าวังเวงและลี้ลับแม้ในยามกลางวัน แต่ครั้นเข้ามืดเข้าพลบเช่นนี้ มันกลายเป็นแหล่งสิงสถิตของฝูงอสูรกายผู้ครองตนในด้านมืด ซึ่งมีความชั่วร้ายเต็มกมลสันดานเหล่านั้น แสงไฟจากภายในวัดสาดสะท้อนสร้อยทองเส้นใหญ่วูบวาบดึงดูดใจ มันไม่รู้หรอกว่าตามพุ่มไม้รกชัฏ ในเพิงร้างต่างๆ ข้างกองขยะยาวสุดตรอกนี้ มีสายตากระหายเลือดคู่ใดส่ายมองอยู่ อาจมีพวกติดผงสักฝูงหนึ่ง อาจมีพวกปล้นฆ่าอุกฉกรรจ์สักฝูงหนึ่งกบดานอยู่ อาจมีพวกฉกชิงวิ่งราวอีกสักฝูงหนึ่ง อาจมีพวกชอบข่มขืนหื่นกระหายแฝงตัวอยู่สักฝูงหนึ่ง (ใช่พวกมันแน่นอน) กลุ่มชายฉกรรจ์กับวัยรุ่นยังเดินตามมันมาไม่ลดละ เงียบเชียบและมุ่งร้าย อาจรอจังหวะเหมาะอีกสักหน่อย เพื่อปล้นสร้อยทองและฆ่ามันปิดปากเสียอย่างอำมหิต สมกับสันดานของอสูรร้ายเหล่านั้น มันเดินอย่างเอ้อระเหยเฉื่อยแฉะ เดินสลับฟันปลาบ้าง เดินถอยหลังบ้าง กระโดดไปเหมือนกบบ้าง คลานไปเหมือนหมาบ้าง เมื่อถึงป่าละเมาะใหญ่หลังวัดนั่นแหละมันจึงได้ยืนขึ้น ถอดสร้อยทองจากคอชูแกว่งไปมาและตะโกนก้อง พวกเหี้ยห่ากเฬวรากทั้งหลายฟังกู พวกมึงเห็นนี่ไหม ทองคำแท้ๆ ขายได้ไม่ต่ำสี่หมื่น เพียงชั่วครู่เงาสีดำทะมึนค่อยๆ โผล่ออกมาทีละคนสองคน จนกลายเป็นหลายกลุ่มก๊กในที่สุด ลางเถื่อนกำหมัดซึ่งสั่นเทาแน่น ไฟในใจปะทุคำราม ลางทรชนตาเหลือกลานด้วยความโลภโมโทสันจนแทบทนไม่ไหว มันยังแกว่งสร้อยทองตะโกนกู่ไปทั้งหลังตรอก ถ้าพวกมึงใจถึงจริงเข้ามาเอาไปได้เลย กูใจดีนะโว้ย ตัวไหนได้ไปแล้วแบ่งให้คนอื่นแม่งหน้าตัวเมีย เงินสี่หมื่นไม่ใช่สี่สลึง เอ้า ว่าแล้วมันจึงโยนสร้อยลงไปในบ่อน้ำครำกว้างใหญ่ สร้อยทองคำตกลงไปค้างบนสังกะสีผุแผ่นหนึ่งโดยไม่หล่นน้ำ ซ้ำยังเปล่งแสงสุกปลั่งท้าทายอยู่ หลังโยนสร้อยทิ้งแล้วมันเดินเอื่อยเฉื่อยเข้าไปในป่า โดยเงี่ยหูฟังเสียงเหล่าทรชนต่ำช้าเข้าห้ำหั่นกัน อย่างสัตว์ร้ายซึ่งถูกครอบงำโดยสัญชาตญาณดิบ เสียงสบถหยาบช้า เสียงปรามาสพองขน สลับกับเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ยิ่งกว่าที่พวกนรกเคยประสบมา มันอยากรู้ว่าใครจะได้เนื้อชิ้นใหญ่ซึ่งมันโยนให้ จึงอาศัยความมืดรายรอบหลบในระยะปลอดภัย เดนคนทั้งหลายแหล่กระโดดลงคลุกในบ่อโคลนที่เน่าเหม็นสกปรก บ่อโคลนขนาดใหญ่ที่ทิ้งขยะของมีคมมาช้านาน จึงเต็มไปด้วยเศษแก้วแตก เศษตะปู สังกะสีสนิมเกรอะ ความโลภเงินก้อนใหญ่เห็นอยู่แค่เอื้อม ทำให้พวกต่ำช้าหน้ามืดตามัว ห้ำหั่นกันเอง กระทั่งยอมเสี่ยงแย่งกันกระโจนไปให้ถึงสร้อยทองก่อนใครอย่างไม่เกรงกลัว หลายคนคืบคลานขึ้นจากปลักพร้อมด้วยแผลบาดเว่อกินลึกหลายแห่งตามร่างกาย ร้องครวญครางทุกขเวทนา พวกโจรใจบาปไปหาหมอไม่ได้หรอก เพราะแต่ละคนมีประวัติอาชญากรรมยาวเหยียด พวกเดนคนต้องรักษาตัวตามมีตามเกิด แผลบาดเว่อของพวกอาชญากรจะติดเชื้อโรคไม่เกินคืนนี้ ไม่กี่ชั่วโมงหรอก พวกเดนคนอัปรีย์จะต้องนอนตัวแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ เพราะพิษบาดทะยัก สร้อยทองถูกชูขึ้นในมือเดนสังคมตัวหนึ่ง ดีใจได้ชั่วครู่ พวกที่เหลือเข้ารุมทึ้งไอ้เดนตัวนั้นจนมันสะบักสะบอมรากเลือด สายสร้อยหลุดมือจมลงในโคลนน้ำครำ การงมหาจึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เวลาผ่านไปเพียงไม่นาน เดนสังคมทั้งหลายจึงกระเสือกกระสนคลานคืบเกลือกกลิ้งขึ้นมานอนกองก่ายรายรอบปลักโคลนมรณะแห่งนั้นคนแล้วคนเล่า หลายคนกระดืบคืบศอกเหมือนหนอนสวะระเกะระกะอยู่ในตรอก เลือดชั่วของพวกโจรได้ไหลทาพื้นเซ่นสังเวยแผ่นดินแล้ว เสียงร้องครวญครางทุกข์เทวษ โหยหวน ไม่มีใครสักคนได้สร้อยทองไป ความเจ็บปวดด้วยบาดแผลฉกรรจ์ไม่ต้องการสิ่งมีค่าใดๆ นอกจากเอาชีวิตรอด แต่สายไปเสียแล้ว เสียงหมาในวัดหอนส่งวิญญาณของพวกมันเป็นทอดๆ ชวนขนหัวลุก กระทั่งกลับกลายเป็นเสียงสาปแช่ง มันแสยะยิ้มพึงใจ ออกจากที่ซ่อน เดินข้ามเหล่าทรชนผู้น่าสังเวชออกจากตรอกนรกหลังชุมชนจิตบริสุทธิ์ เสียงนับก้าวเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เนิบนาบเนื่องเนือยหากทว่ามีจังหวะจะโคนและเต็มด้วยชีวิตชีวา

หนึ่งแสนสามหมื่นหนึ่งพันเจ็ดร้อยสิบสามก้าว ฝ่าแดดผะผ่าวทิ้งคราบขี้เกลือขี้กลากไว้ดูต่างหน้า ลุยสายฝนอันเหม็นหืนกลิ่นน้ำมันรถ สายตาหลายแสนคู่ ผ่านเสียงก่นด่าและจังหวะชีวิตเคลื่อนไหวไม่รู้จบ ในที่สุดสองขาพามันมาถึงจุดหมายเสียที มันเดินผ่านป้อมยามด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย อหังการและกวนตีนเหลือประมาณ ยามผู้คร่ำเคร่งกรากเข้ามาทำท่าเหมือนจะตีมันด้วยกระบอง แต่แล้วกลับยกมือประนมไหว้ปลกๆ สวัสดีครับคุณหมอ คราวนี้มาเต็มยศเชียว เชิญครับๆ ยามผายมือเข้าไปด้านใน มันผงกหัวนิดหนึ่งก่อนก้าวฉับๆ เพื่อนของมันเดินกันให้เกลื่อนไปหมดตามลานหญ้า ฝรั่งผมทองชื่อเดวิดเข้ามาทักทาย ถามเวลาว่ากี่โมงกี่ยามกันแล้วนี่ด้วยภาษาไทยชัดถ้อย มันไม่ตอบ เพราะไอ้ฝรั่งผู้นี้ไม่เคยถามอะไรเลยนอกจากเวลา วันนี้เดวิดใส่ถุงเท้าสีแดงหม่นข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างเป็นสีส้มแสบตาชิบ ไอ้ปานก็มา โห่ฮิ้วโห่เต้นอินเดียนแดงรอบๆ ตัวมัน ยงโย่ยงหยกอยู่อย่างนั้น มันเห็นพี่สาวของมันด้วย กำลังนั่งแทะเล็บกุดเหี้ยนจนมีเลือดออกซิบๆ อยู่ใกล้ๆ นี่เอง มันเห็นน้องสาวของมันด้วยกำลังดึงลากชายคนหนึ่งหายไปทางหลังตึก สักประเดี๋ยวเถิด มันทำปากขมุบขมิบ ได้ผลแน่ คราวนี้ต้องได้ผลแน่ มันสาวเท้าเข้าไปในตึก ทักทายเพื่อนๆ อีกนิดๆ หน่อยๆ ก่อนมุ่งตรงไปยังห้องทำงานของผู้อำนวยการ โดยถือวิสาสะทุบประตูปึงปัง เปิด เปิด กูมาแล้ว หมอในชุดเสื้อกาวน์รุ่มร่ามเปิดประตูออกมา มองมันตั้งแต่หัวจรดตีน ส่ายหน้าอย่างระอาใจกวักมือให้มันตามเข้าไป จากนั้นไม่นานจึงพามันเข้าห้องนั้นออกห้องนี้อยู่เป็นนาน นี่เมื่อไหร่มึงจะเลิกทดลองอะไรบ้าๆ นี่เสียที มึงอยากจะเป็นบ้าจริงๆ ใช่ไหม หือ คุณหมอหน้าตาหล่อเหลาขยับแว่นเขม้นมอง ห่า มึงจะให้กูวินิจฉัยถั่วๆ ไปได้ไง กูตรวจหมดแล้ว ทั้งร่างกาย ทั้งระบบประสาท เลือด เยี่ยว ตรวจวีดีอาร์แอล คลื่นสมอง ถ่ายภาพรังสีกะโหลก คลื่นหัวใจ ห่าเหวอะไรกูตรวจให้มึงหมดทุกอย่างแล้ว ยังไงมึงก็ไม่บ้า ปรกติ เข้าใจไหมว่าคำว่าปรกติน่ะ มึงไม่อยู่เสียคนเดียวกูต้องทำงานตาตั้ง งานกูเองก็เยอะ มึงก็อยากจะบ้า กูไม่รับรองให้หรอก มันคอตก ความผิดหวังแล่นขึ้นจุกจ่ออยู่ตรงคอหอย นับสิบเที่ยวมันบากบั่น กับนับล้านก้าวซึ่งมุ่งมั่น เหยียบย่างบนท้องถนนอย่างเปลี่ยวเปล่า เล็บตีนหลุดและงอกใหม่หลายชุด การบำเพ็ญเพียรของมันกลับล้มเหลวอย่างยิ่ง อัปยศอย่างยิ่ง มันรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังปานจะล้มประดาตาย พี่ชายมันบ้า พี่สาวมันบ้า น้องสาวมันบ้าถึงขนาด แต่ทำไมมันถึงไม่บ้าเสียที มันเดินคอตกออกจากห้องผู้อำนวยการโรงพยาบาล ด้วยผมเผ้ายุ่งเหยิง เครื่องหน้ารกรุงรัง ฟันฟางเหลืองอ๋อยสกปรก ทุกอย่างดูอุจาดทุเรศทุรังเสียยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า แต่ทำไมมันถึงไม่บ้าเสียที มันเดินผ่านบุรุษพยาบาล หลายคนยกมือไหว้แบบลังเลครึ่งๆ กลางๆ มันไม่ก่นโทษฟ้าดินอีกแล้ว มันก่นโทษมาหลายครั้งครา ไม่ปรารถนาความยุติธรรมอะไรอีกทั้งสิ้น มันหมดหวังกับความล้มเหลวแล้วๆ เล่าๆ ผู้คนด้านนอกรีบเร่งพลุกพล่าน มันไม่อยากเห็นผู้คนอีกต่อไป เบื่อจนอยากจะอ้วกใส่ มันฉวยเข่ง เทขยะทิ้งแล้วเอามาครอบหัวไว้ เสียงหนึ่งสั่งมันวิ่งลงคลอง เสียงหนึ่งสั่งให้วิ่งข้ามถนนให้รถชน เสียงหนึ่งสั่งปีนเสาไฟฟ้าแล้วกระโดดพุ่งหัวลงมา และอีกหลายเสียงกรีดร้องเพรียกวิญญาณจากมันด้วยวิธีการต่างๆ นานา สายตาของมันกวาดไปมาในเข่ง หยุดดูโทรทัศน์เครื่องเล็กจิ๋วในป้อมยาม ภาพในนั้นเป็นทุ่งหญ้าสีเขียวเข้มใกล้ป่าทึบทะมึน ฝูงผีเสื้อหลากสีบินเป็นสายดุจเกลียวคลื่นแห่งท้องทะเล ผกผาย ร่อนเริงอย่างอิสระ ไป ไป ไป และไป ไม่มีบินกลับ เจ้าผีเสื้อกำลังมุ่งสู่พิธีวิวาห์ ณ สถานที่แห่งใดสุดจะคาดเดา ช่างร้ายเหลือ ยิ่งใหญ่เสียจริงเชียว งดงามหมดจด มันมุ่งมาดอย่างแรงกล้าต่อดินแดนแห่งนั้น โคลงหัวเยื้อนยิ้มอยู่ในเข่ง ผละจากป้อมยามเดินพ้นเขตแดนโรงพยาบาลออกไป ผินหน้าสู่ทิศทางใหม่ นับหนึ่ง

 

เกริกศิษฏ์ พละมาตร์

นักทดลองชีวิต ไม่ชอบอยู่เฉย ใส่ตัวเองลงในภาชนะชะตากรรมมาแล้วหลากหลายรูปทรง
เดินทาง เฝ้ามอง พูดคุยกับผู้คนแปลกหน้า ตรวจส่องประสบการณ์ไม่คุ้นชิน ขึ้นเขา วิ่งอัลตราเทรล ชอบรอยสัก

 

ภาพประกอบ: antizeptic

สนับสนุนวรรณกรรมไทย โดย

สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย
สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย
สำนักพิมพ์แสงดาว
สำนักพิมพ์แสงดาว

 

Author

WAY of WORDS
โครงการเปิดรับต้นฉบับเรื่องสั้นและบทกวี ไม่จำกัดความยาวและเรื่องที่อยากเล่า ต้นฉบับทั้งเรื่องสั้นและบทกวี ถูกอ่านและพิจารณาโดยคณะบรรณาธิการสายแข็ง ก่อนเผยแพร่ทาง waymagazine.org

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า