สมยศ พฤกษาเกษมสุข ได้รับอิสรภาพในเช้าวันที่ 30 เมษายน 2561 หลังจากถูกคุมขังมานานถึง 7 ปี ในคดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 รวมทั้งคดีหมิ่นประมาท พลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร หลังก้าวเท้าพ้นเรือนจำพิเศษกรุงเทพ เขากล่าวขอบคุณเพื่อนมิตรที่คอยช่วยเหลือตลอดระยะเวลาที่ถูกจองจำ
“ขอบคุณประชาชนที่ได้ร่วมกันต่อสู้เพื่อความยุติธรรมในคดีของผม และพี่น้องประชาชนที่เอื้ออาทร ได้ช่วยเหลือและสนับสนุนผมมาตลอด 7 ปี ทำให้ได้รับอิสรภาพในวันนี้”
การเป็นหนึ่งในอดีตแกนนำ นปช. ทำให้คำถามเรื่องเหตุบ้านการเมืองถูกป้อนแทบจะทันทีหลังจากคำขอบคุณจบลง ‘สมยศ พฤกษาเกษมสุข’ อนาคตหลังจากนี้จะเข้าไปมีบทบาททางการเมืองด้วยหรือไม่ และเขามองเรื่องการเลือกตั้งอย่างไร
“เท่าที่ติดตามดู สถานการณ์น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐบาลประยุทธ์กำลังกลับสู่สภาพคล้ายๆ กับเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เมื่อปี 2535 เพราะว่าปัจจัยต่างๆ นั้นนำไปสู่ความรุนแรงทางการเมืองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลื่อนการเลือกตั้ง ทำให้เกิดความขัดแย้งกันมากขึ้นในสังคม และก็จะเป็นการต่อสู้ของพี่น้องประชาชนเพื่อให้มีประชาธิปไตยโดยเร็ว”
“ส่วนเรื่องการมีส่วนร่วมทางการเมืองเป็นหน้าที่ของพลเมืองอยู่แล้ว และก็เป็นเรื่องที่ทุกคนเขาจะแสดงออกทางการเมือง เพราะว่าตอนนี้ประเทศไทยเป็น Thailand 4.0 แล้ว พี่น้องประชาชนเราก็มีความรู้ มีความตื่นตัวทางการเมืองมาก ก็อาจจะดำเนินการทางการเมืองกันต่อ”
“การเลือกตั้งเป็นรูปแบบหนึ่งของประชาธิปไตย แล้วก็เป็นส่วนหนึ่งของประชาธิปไตยที่มีความจำเป็นที่ประเทศไทยต้องไปสู่การเลือกตั้งให้ได้ ฉะนั้นเรื่องนี้ก็ขอสนับสนุนประชาชนที่เรียกร้องให้มีการเลือกตั้ง และก็อยากจะให้รัฐบาลอย่าได้ใช้เล่ห์เพทุบายในการที่จะเลื่อนการเลือกตั้งออกไปอีก เพราะจะไม่เป็นผลดีต่อด้านเศรษฐกิจและด้านอื่นๆ นี่ก็จะเป็นปัญหา”
ก่อนหน้านั้นเขาต่อสู้เรื่องคนเท่ากัน แต่ 7 ปีในฐานะนักโทษ เขามีโจทย์อื่นเพิ่มเข้ามา มันว่าด้วยความเท่ากันอีกแบบที่ซ่อนอยู่ในกรงขัง
“ระหว่างที่จองจำผมก็มีบันทึกไว้เยอะ ก็อยากจะนำเรื่องราวของผู้ต้องขัง ซึ่งมีสภาพความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก แล้วก็มีปัญหาความไม่เป็นธรรมหลายๆ เรื่อง เช่น มีการให้ใช้ผ้าห่ม 3 ผืนนอนในสภาพที่ลำบาก และสิทธิประโยชน์ต่างๆ ก็ไม่ได้เป็นจริง แล้วก็มีปัญหาด้านสิทธิเสรีภาพต่างๆ ที่ต้องดำเนินการ ผมยกตัวอย่างรัฐบาลประยุทธ์ที่บอกว่าสิทธิมนุษยชนเป็นวาระแห่งชาติ ตอนที่ผมอยู่เป็นผู้ต้องขังก็เคยร้องเรียนคณะกรรมสิทธิมนุษยชนแห่งชาติว่า กรมราชทัณฑ์ละเมิดสิทธิมนุษยชนในเรื่องผ้าห่ม 3 ผืน ก็ปรากฎว่าคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนวินิจฉัยว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่ก็ไม่มีผลใดๆ ที่จะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลง”
ด้านนอกกรงขังมีการต่อสู้เรื่องความคิดทางการเมือง ในคุกก็เช่นกัน สมยศบอกว่าเขาเจอคนทั้ง 2 ฝั่งความขัดแย้งทางการเมือง
“ได้เจอทั้ง 2 ฝ่าย แล้วก็รักใคร่กันดี ก็ได้รับประสบการณ์ ได้รับบทเรียน แล้วตอนนี้ก็มีความชัดเจนมากขึ้นว่า ระหว่างเหลืองกับแดงนั้นจะร่วมมือกันอย่างไรเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี และนำความก้าวหน้ามาสู่ประเทศไทย ทุกคนก็เห็นเป็นบทเรียน ได้ประสบการณ์ทางการเมือง แล้วก็มีความแตกต่างในความคิด ซึ่งก็ต่อสู้กันในทางความคิดได้”
‘พังทลาย’ เขาย้ำด้วยคำนี้ว่าการถูกจำคุกทำให้ชีวิตเสียหายอย่างหนัก กระนั้นแทนที่การถูกจองจำยาวนานจะทำให้เข็ดหลาบ เขากลับคิดว่าต้องเดินหน้าทวงคืนความยุติธรรมกลับคืน
“7 ปี เป็นความทุกข์ทรมาน เราสูญเสียอิสรภาพ ครอบครัวก็พังทลาย อาชีพ รายได้ ธุรกิจ ก็พังทลายกันไป ต้องมาตั้งต้น แล้วก็เริ่มต้นกัน นี่ก็เป็นความทุกข์ทรมานและเป็นความเจ็บปวด ก็คิดว่าต้องเดินหน้าเพื่อที่จะทวงคืนความยุติธรรม ซึ่งก็ยังมีอีกหลายคนที่อยู่ในคุก แล้วก็รวมไปถึงคดีการเมืองอื่นๆ เช่น คุณทักษิณ คุณยิ่งลักษณ์ ซึ่งถูกยึดอำนาจไป ก็เป็นภารกิจที่เราจะต่อสู้ ทวงคืนประชาธิปไตยและความยุติธรรม”
สมยศ ถูกถามเรื่องการชุมนุมของกลุ่มคนที่ออกมาเรียกร้องการเลือกตั้ง เรื่องนี้เขาเห็นแนวโน้มที่ดี แต่มันดีกว่านี้ได้อีก
“มันเป็นสีสันของประชาธิปไตยอยู่แล้ว เรื่องการชุมนุม การเคลื่อนไหว การรวมตัว ซึ่งก็อยากให้รัฐบาลเปิดใจกว้าง แล้วก็ยอมรับสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ควรไปขัดขวาง หรือไปดำเนินคดีใดๆ และก็อยากเรียกร้องให้กระบวนการยุติธรรม อย่าได้ดำเนินการที่จะไปทำคดีเรื่องนี้ เพราะว่าคำสั่งของ คสช. ก็เป็นคำสั่งซึ่งไม่ชอบด้วยประชาธิปไตย ขาดความชอบธรรมอยู่แล้ว คำสั่งพวกนี้ก็ควรจะยกเลิก คดีที่ทางอัยการหรือตำรวจได้ดำเนินการก็ควรจะยุติและก็ควรจะถอนไป ซึ่งก็มีแนวโน้มที่ดี เท่าที่ได้ทราบข่าวนะ เพราะไม่ได้มีการส่งฟ้อง ซึ่งทุกคดีก็ควรจะเป็นแบบนั้น เพราะการฟ้องคดีการเมืองนั้น ไม่ใช่อาชญากร คนพวกนี้เขาใช้สิทธิในการแสดงออก และเป็นผลดีต่อต่อประเทศไทย”
2,557 วัน
365 สัปดาห์กับอีก 2 วัน
7 ปีเต็มหลังถูกริบเสรีภาพ เขาก้าวเท้าพ้นเรือนจำในวันที่มหานครฟ้าครึ้มฝนพรำบรรยากาศสีทึมเทา แต่นั่นไม่น่าเศร้าเท่าออกมาแล้วไม่เจอบางสิ่ง
“ก็ผิดหวังหน่อยเดียวที่ออกมาแล้วไม่เจอประชาธิปไตย แล้วก็ต้องอยู่ในบรรยากาศที่ถูกควบคุม ก็ยังมีคำสั่ง คสช. มีข้อจำกัดในการแสดงความคิดเห็น”
สมยศ พฤษาเกษมสุข พูดในเช้าวันนี้
เรียบเรียงจาก PeaceTV