สำรวจภูมิทัศน์สื่อไทย เก่าไป ใหม่มา ไม่ปรับตัวก็ตาย

5 มีนาคม #วันนักข่าว หรือวันสื่อสารมวลชนแห่งชาติ คือวันที่แวดวงสื่อสารมวลชนจะได้แสดงพลังให้สังคมตระหนักถึงความสำคัญของสิทธิเสรีภาพสื่อ อันเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดความเป็นประชาธิปไตยในการทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงให้กับประชาชน 

แต่เมื่อบรรยากาศประชาธิปไตยไทยยังคงง่อนแง่น แม้กระทั่งหลักการและจุดยืนของคนในวิชาชีพสื่อก็เป็นที่ถกเถียง ยังไม่นับกระแสความเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์สื่อที่ถูกโถมซัดด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย ทำให้สถานการณ์สื่อไทยอยู่ในภาวะที่ต้องดิ้นรนกระเสือกกระสน และต้องปรับตัวไปตามกระแสลมของความเปลี่ยนแปลง 

ท่ามกลางข้อถกเถียงเรื่องสื่อเก่า สื่อใหม่ สื่อแท้ สื่อเทียม สื่อฐานันดร สื่อพลเมือง ฯลฯ ทั้งหลายเหล่านี้กำลังถูกเขย่าในโลกใบใหม่ พร้อมๆ กับการมาเยือนของสื่อ AI ที่กำลังคืบคลานมาอย่างที่หลายคนอาจไม่คาดคิด

อาชีวปฏิญาณ = คาถาคุ้มครองสื่อแท้?

จากกรณีนักข่าวประชาไทและช่างภาพจากสื่อออนไลน์ Space Bar ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา ในข้อหาสนับสนุนให้เกิดการทำลายโบราณสถาน จากการทำข่าวนักกิจกรรมพ่นสีสเปรย์บนกำแพงวัดพระแก้วเป็นรูปเครื่องหมายอนาธิปไตยและตัวเลข 112 เมื่อปีก่อน ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าไม่ได้สนับสนุนการกระทำแต่อย่างใด เป็นเพียงการปฏิบัติหน้าที่สื่อ ทำให้สังคมเกิดการตั้งคำถามว่า สื่อมวลชนกำลังถูกกดเพดานการทำงานลงและเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพสื่อหรือไม่ 

ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์การละเมิดสิทธิเสรีภาพสื่อของรัฐไทย สมาคมนักข่าวและนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยได้ออกแถลงการณ์ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2567 หลังการจับกุมนักข่าวและช่างภาพล่วงมาเป็นเวลา 2 วัน โดยแสดงความกังวลต่อสิทธิเสรีภาพสื่อและเห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาควรได้รับสิทธิประกันตัว 

อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา สมาคมนักข่าวฯ ได้โพสต์แสดงจุดยืนทางวิชาชีพโดยระบุข้อความว่า ‘สื่อสังคม’ ไม่ใช่ ‘สื่อมวลชน’ แม้มีอาชีพสื่อมวลชน ก็ไม่ใช่ ‘สื่อมืออาชีพ’ หากไม่ยึดมั่นใน ‘อาชีวปฏิญาณ’ พร้อมลงลายเซ็นต์ นายบรรยงค์ สุวรรณผ่อง กรรมการจริยธรรมวิชาชีพ สมาคมนักข่าวฯ ลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 ก่อนโพสต์ดังกล่าวจะถูกลบในเวลาต่อมา โดยให้เหตุผลในการลบโพสต์ว่าผิดพลาดทางเทคนิค

โพสต์ของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ก่อนมีการลบโพสต์ภายหลัง
(ที่มา: https://prachatai.com/journal/2024/02/108074)

จากข้อความดังกล่าวทำให้เกิดการตั้งคำถามตามมาว่า ‘อาชีวปฏิญาณ’ หมายถึงอะไร ซึ่งจากการสืบค้นพบว่า กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ให้คำอธิบายไว้ว่า “อาชีวปฏิญาณ คือ การปฏิญาณตนต่อสรรพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า จะประกอบอาชีพตามธรรมเนียมซึ่งมีวางไว้เป็นบรรทัดฐาน” และทรงระบุอีกว่า “จะต้องถือวิชาชีพของตนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่ง” 

กระนั้นกระแสสังคมยังคงพุ่งความสนใจไปยังสมาคมนักข่าวฯ ว่าทำไมจึงตอบสนองต่อการจับกุมนักข่าวและช่างภาพด้วยความล่าช้า ไม่กระตือรือร้นที่จะยืนยันหลักการว่าด้วยสิทธิเสรีภาพของสื่อที่กำลังถูกรัฐคุกคาม แต่กลับพยายามขีดเส้นแบ่งนิยามว่า ‘สื่อแท้’ ต้องมีความเป็นมืออาชีพผ่านวาทกรรมดังกล่าว โดยไม่ได้แสดงจุดยืนเคียงข้างหลักการสากลว่าสื่อต้องมีเสรีภาพแต่อย่างใด

การมาเยือนของ ‘สื่ออิสระ’ ในยุคอัสดงของ ‘สื่อเก่า’ 

การแสดงออกของสมาคมนักข่าวฯ ต่อกรณีการจับกุมนักข่าวประชาไทและช่างภาพสื่อออนไลน์ ด้วยโพสต์ ‘อาชีวปฏิญาณ’ ลงชื่อนายบรรยงค์ สุวรรณผ่อง สะท้อนถึงท่าทีของสมาคมนักข่าวฯ ในอีกทางหนึ่งคือ การต่อสู้และช่วงชิงนิยามคำ ‘สื่อ’ ผ่านวาทกรรมในการตีตราว่าสื่อแบบใด ประเภทไหน คือสื่อแท้ สื่อเทียม สื่อหลัก สื่อมืออาชีพ ฯลฯ 

ท่ามกลางกระแสการไหลเวียนของข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็วรุนแรงมากขึ้น อันเป็นอิทธิพลของการใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นเครื่องมือในการสื่อสาร ในรอบทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนจำนวนมากสามารถผลิตและเผยแพร่เนื้อหาของตนเองออกมาได้อย่างอิสระ โดยไม่จำเป็นต้องมีสังกัดหรือตราประทับจากองค์กรใด ทำให้เกิดนิยามใหม่ของคำว่า ‘สื่ออิสระ’ ‘นักข่าวพลเมือง’ ‘สื่อภาคประชาชน’ เป็นจำนวนมากในแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ และด้วยอำนาจของผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียในการเข้าถึงเครื่องมือและช่องทางการสื่อสารด้วยตนเอง ทำให้สื่ออิสระเหล่านี้สั่นคลอนรากฐานทางวิชาชีพของ ‘สื่อหลัก’ ที่ขีดเส้นวัดมาตรฐานด้วยหลักอาชีวปฏิญาณ

ในรอบทศวรรษที่ประเทศไทยตกอยู่ใต้อำนาจปกครองของรัฐบาลคณะรัฐประหาร สื่อเก่าหลายสำนักมีข้อจำกัดในการรายงานข่าวที่ล่อแหลมต่อการวิจารณ์รัฐบาล ทำให้สื่ออิสระ นักข่าวพลเมือง ต้องออกมาทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงแทนประชาชนในการรายงานข่าวการชุมนุมของกลุ่มเรียกร้องประชาธิปไตย เปิดพื้นที่การสื่อสารใหม่ๆ และแง่มุมที่แตกต่างไปจากสื่อหลักที่มีข้อจำกัดในการรายงาน ทำให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารที่ครบถ้วนหลากหลาย ทั้งยังมีความน่าเชื่อถือ ตรงไปตรงมา ด้วยภาพและเสียงจากสถานที่จริง 

อย่างไรก็ตาม สื่ออิสระเหล่านี้ล้วนทำหน้าที่รายงานข่าวท่ามกลางความไม่ปลอดภัยและมักถูกเพ่งเล็งจากเจ้าหน้าที่รัฐ อีกทั้งไม่มีสิทธิได้รับปลอกแขน ป้ายแขวนคอ หรือการปกป้องคุ้มครองใดๆ จากองค์กรวิชาชีพสื่อ จนเป็นเหตุให้ถูกคุกคามสิทธิเสรีภาพ และถูกกระทำด้วยความรุนแรงจากเจ้าหน้าที่รัฐอยู่บ่อยครั้ง

‘1 วัน 1,000 ดรามา’ จากรายการเล่าข่าว สู่สื่อสำเร็จรูปใน 1 นาที 

ก่อกำเนิดศักราชใหม่ของการเสพสื่อ หลายครั้งที่ใครต่อใครต่างคาดเดาพฤติกรรมการเสพสื่อในปัจจุบันว่ามีผลอย่างมากจากช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่แพลตฟอร์ม TikTok กลายเป็นพื้นที่ที่ผู้คนใช้เสพความบันเทิงและความรู้ในหลายเรื่องที่เจ้าของแอ็กเคานต์ต่างๆ เอามาย่อยให้เข้าใจง่าย ซึ่งสำนักข่าวหลายสำนักต่างต้องปรับตัวตามๆ กันไป โดยให้ความสำคัญกับการย่อยข่าว สรุปให้สั้น กระชับ เข้าใจง่ายภายใน 1 นาที เพื่อให้ผู้รับสารสามารถเข้าใจข่าวนั้นได้ภายในระยะเวลาอันสั้น แตกต่างไปจากสื่อในยุคเล่าข่าวเดียวเป็นชั่วโมง กับการเล่าเรื่องซํ้าๆ ซึ่งได้รับความนิยมในช่วงหลายปีก่อน 

ภายใต้สภาวะการแข่งขันของสื่อบนพื้นที่สื่อสังคมออนไลน์ ยอดเอนเกจเมนต์จึงเป็นสิ่งสำคัญ ทำให้ข่าวจำนวนมากเป็นที่มาของอภิมหาดรามาเพียงชั่วข้ามคืน ยิ่งดรามาเท่าไร ยอดเอนเกจเมนต์ยิ่งเพิ่มสูง โดยมีเทคนิควิธีการเรียกยอดเอนเกจเมนต์ง่ายๆ เช่น โพสต์ข่าวเพียงประโยคเดียว พาดหัวที่ยั่วให้อยากอ่านต่อ หรืออาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด เป็นต้น 

ความท้าทายใหม่ได้เริ่มต้นอย่างชัดเจนมากขึ้น เห็นได้จากรายงานทิศทางการใช้โซเชียลมีเดียเพื่อเสพข่าวสารทั่วโลกของ Reuters Institute ที่พบว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ใช้ช่องทางออนไลน์ในการติดตามข่าวสารมากที่สุดในโลก และแม้ว่า Facebook ยังคงครองอันดับหนึ่งที่มีผู้คนติดตามและแชร์ข่าวสารมากที่สุด แต่ในขณะเดียวกันแพลตฟอร์มคลิปสั้นอย่าง TikTok ก็เริ่มเติบโตมากขึ้นเป็นลำดับ จากการเก็บรวบรวมสถิติทั้งปี 2566 ที่ผ่านมา พบว่า 30 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้งาน TikTok ใช้สำหรับติดตามข่าวสาร ซึ่งเพิ่มขึ้น 8 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับผลสำรวจในปีก่อนหน้า

สิ่งที่เรียกกันว่า ‘ยุค TikTok’ ได้เปลี่ยนพฤติกรรมการเสพสื่อของคนไทยไปโดยสิ้นเชิง แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเจ้าใหญ่ต่างพัฒนาฟีเจอร์ที่รองรับการผลิตวิดีโอสั้น ทั้ง Instragram, YouTube ไม่เว้นแม้กระทั่งแพลตฟอร์มที่คนไทยใช้แชร์ข่าวสารมากที่สุดอย่าง Facebook ก็ตาม และแน่นอนว่าทั้งหมดทั้งมวลมีผลอย่างมากให้สื่อหลายสำนักต้องปรับตัวทำคอนเทนต์ออนไลน์ เพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมการเสพสื่อของคนยุคปัจจุบัน ทั้งหมดทั้งมวลส่งผลให้เกิดการแข่งขันของสื่ออิสระเอง หรือกระทั่งเอื้ออำนวยให้นักสืบโซเชียลในการทำหน้าที่ย่อยเนื้อหา 1,000 ดรามาที่เกิดขึ้นใน 1 วัน เป็นคลิปสรุปสำเร็จรูปใน 1 นาที 

AI รันวงการ ยุคของการถกเถียงว่าเทคโนโลยีกำลังดิสรัปต์สื่อ 

พัฒนาการสุดล้ำของสิ่งที่เรียกว่าปัญญาประดิษฐ์ (AI) กลายมาเป็นประเด็นร้อนฉ่าให้ผู้คนถกเถียงกันอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทั้งการใช้ AI ทำภาพประกอบ แปลงาน เขียนบทความ หรือกระทั่งการมีแนวคิดการใช้ AI มาทำงานในสำนักข่าว 

บนสมรภูมิหน้าจอถ่ายทอดหน้าผู้ประกาศข่าวที่กำลังรายงานข่าวเหตุการณ์ต่างๆ อาจไม่ใช่เรื่องใหม่นัก เนื่องจากการใช้ผู้ประกาศข่าว AI ได้เกิดขึ้นจริงตั้งแต่ปี 2018 โดยสำนักข่าว ‘ซินหัว’ ของประเทศจีน และเป็นครั้งแรกที่ทำให้โลกได้รับรู้การซุ่มพัฒนาเทคโนโลยีของจีนที่ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว และในปีที่แล้วเป็นปีที่เรียกได้ว่ามีผู้ประกาศข่าว AI ถูกเปิดตัวและนำมาใช้งานจริงมากที่สุด เช่น อินเดีย ไต้หวัน อินโดนีเซีย มาเลเซีย คูเวต อิสราเอล เป็นต้น กลายมาเป็นสิ่งที่ทำให้ทั่วโลกกังวลว่าวงการสื่อกำลังจะถูกดิสรัปต์ครั้งใหญ่

ล่าสุดในประเทศไทยเองก็มีประเด็นการปลดพนักงานช่อง MONO และตั้งใจหันมาใช้ AI สำหรับอ่านข่าวสั้น ซึ่งเป็นแผนการปรับโครงสร้างองค์กรจากการปรับลดจำนวนพนักงานทุกส่วนงานให้เหมาะสม ลดขนาดธุรกิจในส่วนที่ไม่ทำกำไร ลดหน่วยงานที่ซ้ำซ้อน และจ้างบริษัทภายนอกที่มีความชำนาญเข้ามาทดแทน ซึ่งคาดว่าผลจากการปรับลดพนักงานจะช่วยลดค่าใช้จ่ายลงองค์กรได้ประมาณ 11 ล้านบาทต่อเดือน หรือ 33 เปอร์เซ็นต์ก่อนปรับโครงสร้างองค์กร นอกจากนี้ยังมีความตั้งใจพัฒนากระบวนการทำงานต่างๆ ด้วยการใช้ Generative AI เช่น งานกราฟิก งานตรวจสอบคุณภาพภาพยนตร์ งานวิเคราะห์พฤติกรรมการรับชม เป็นต้น

การเข้ามาของ Generative AI ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่หลายคนกังวลกันว่าจะเข้ามาแย่งงานสายผลิต ทำให้ความจำเป็นในการจ้างงานมนุษย์ลดน้อยถอยลงตามไปด้วย บีบคั้นให้มนุษย์ต้องเร่งปรับเปลี่ยนลักษณะการทำงานของตัวเองให้เท่าทันเทคโนโลยี

อย่างไรก็ตาม อีกนัยหนึ่ง AI เป็นเหมือนเทคโนโลยีที่สุดท้ายแล้วต้องถูกใช้งานด้วยมนุษย์ เนื่องจากยังคงมีข้อจำกัดในเรื่องของคลังข้อมูลมหาศาลที่ต้องใช้สำหรับ Generative หรือการสร้างชิ้นงาน ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว Generative AI อาจเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่จะมาช่วยทุ่นแรงสายผลิต เพื่อช่วยให้มนุษย์ทำงานได้สะดวกง่ายดายขึ้น หรือกระทั่งการใช้ผู้ประกาศข่าว AI ปัจจุบันยังก็ยังไม่สามารถพัฒนาให้ AI มีความเป็นธรรมชาติใกล้เคียงกับมนุษย์ รวมถึงยังมีข้อจำกัดเรื่องการประมวลผลข้อมูลได้อย่างชาญฉลาดเหมือนแชทบอท ส่งผลให้ผู้ประกาศข่าว AI ทำได้เพียงอ่านเนื้อหาที่มนุษย์ป้อนให้เท่านั้น

ที่มา:
  • Thailand | Reuters Institute for the Study of Journalism 
  • จากศึกหลังบ้านสู่สมรภูมิหน้าจอ เมื่อเอเชียเต็มไปด้วย “ผู้ประกาศข่าว AI” – สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
  • อนาคตคนข่าวและความท้าทาย ในยุค AI ปฏิวัติวงการ – สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
  • MONO ปลดพนักงาน ลดค่าใช้จ่าย 11 ล้าน/เดือน เตรียมใช้ AI อ่านข่าวสั้น

Author

กองบรรณาธิการ
ทีมงานหลากวัยหลายรุ่น แต่ร่วมโต๊ะความคิด แลกเปลี่ยนบทสนทนา แชร์ความคิด นวดให้แน่น คนให้เข้ม เขย่าให้ตกผลึก ผลิตเนื้อหาออกมาในนามกองบรรณาธิการ WAY

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า