แปลและเรียบเรียง: อรปมน วงค์อินตา
พวกเขาคือพลเรือนธรรมดาที่ทุกๆ วันต้องเสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยเหยื่อสงครามในพื้นที่สู้รบของซีเรีย
พวกเขาทำงานเป็นอาสาสมัครที่ปราศจากอาวุธ มีเพียงหมวกกันน็อคสีขาวที่ใส่เพื่อป้องกันตัวเองจากระเบิดถังน้ำมันและเป็นสัญลักษณ์ของ ‘อาสาสมัครกองกำลังคุ้มครองพลเมือง’
พวกเขาคือกลุ่ม ‘หมวกกันน็อคสีขาว’ หรือ ‘อาสาสมัครกองกำลังคุ้มครองพลเมือง’ ผู้เข้าไปช่วยเหลือในเหตุทิ้งระเบิดถังน้ำมัน ในเมืองอะเลปโป พื้นที่ของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซีเรีย ทุกๆ วันพวกเขาต้องทำงานท่ามกลางระเบิด แต่ละวันล้วนเต็มไปด้วยความอันตรายและความเสี่ยง หนุ่มน้อยวัย 18 ปี โมฮัมหมัด นูร์ ฮูริย์ยา (Mohammad Nour Houriyya) เองก็อยู่ในทีมอาสาสมัครนั้น เขาเพิ่งจบการศึกษาชั้นมัธยมปลายในขณะเกิดการจลาจลต่อต้านประธานาธิบดีบาชาร์ ฮาฟิซ อัล-อัสซาด
เดิมทีโมฮัมหมัดมีความฝันที่จะเข้าเรียนในโรงเรียนกฎหมาย แต่เมื่ออายุได้ 18 ปี เขาก็เลือกเบนเข็มมาเป็นอาสาสมัครเพื่อช่วยเหลือคนในอะเลปโปแทน เขาเริ่มจากการทำงานช่วยเหลือในสำนักบรรเทาทุกภัยเล็กๆ ก่อน แต่ภายหลังจากรัฐบาลได้ทิ้งระเบิดถังน้ำมันที่อะเลปโป สถานการณ์รุนแรงมากขึ้น โมฮัมหมัดจึงหันไปทำงานร่วมกับกลุ่มหมวกกันน็อคสีขาว
โมฮัมหมัดและพี่ชายของเขา อิฮาบ (Ihaab) ได้เข้าร่วมกับกลุ่มหมวกกันน็อคขาวหรือที่รู้จักกันดีว่าเป็นหน่วยคุ้มครองพลเรือน กลุ่มหมวกกันน็อคขาวเป็นกลุ่มอาสาสมัครปราศจากอาวุธที่ทำหน้าที่เข้าไปช่วยเหลือผู้คนในพื้นที่เสี่ยงภัยในเมืองอะเลปโป
เมืองอะเลปโปเป็นเมืองเศรษฐกิจอยู่ทางตอนเหนือของซีเรีย นับตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมาเมืองก็ถูกยึดครองโดยฝ่ายต่อต้านรัฐบาลของประธานาธิบดีอัล-อัสซาด ฝ่ายรัฐบาลจึงตอบโต้ด้วยการเข้าไปยังเมืองอะเลปโปเพื่อปราบปรามฝ่ายต่อต้านโดยใช้เฮลิคอปเตอร์และเครื่องบินทิ้งระเบิดที่บรรจุในถังน้ำมันลงไปหลายต่อหลายครั้ง
การสู้รบของฝ่ายต่อต้านและฝ่ายรัฐบาลซีเรียเริ่มต้นมาจากฝ่ายต่อต้านต้องการให้ตระกูลของประธานาธิบดีอัล-อัสซาดหมดอำนาจ เพราะตระกูลของอัล-อัสซาดมีอำนาจปกครองซีเรียมานานนับครึ่งศตวรรษ รวมทั้งยังเห็นตัวอย่างการลุกฮือต่อต้านรัฐบาลรัฐประหารในอียิปต์ด้วย
สนามรบหลายขั้ว
นอกจากนี้เมืองอะเลปโปยังเป็นหนึ่งในฐานที่มั่นสำคัญของกลุ่มกองกำลังรัฐอิสลาม (Islamic State: IS) เพราะเป็นเส้นทางสำคัญในการส่งเสบียง และสงครามในเมืองก็รุนแรงขึ้นเมื่อสหรัฐเข้ามาช่วยเหลือฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ในเวลาไล่เลี่ยกันกลุ่ม IS ก็ได้โจมตีฝ่ายต่อต้านประธานาธิบดีอัล-อัสซาดและชาวเคิร์ดในอิรักซึ่งล้วนเป็นพันธมิตรของสหรัฐ รวมทั้งจับนักข่าวชาวอเมริกันเป็นตัวประกันพร้อมฆ่าอย่างโหดเหี้ยม รวมทั้งเผยแพร่คลิปวิดีโอซึ่งเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก นับแต่นั้นเป็นต้นมาสหรัฐจึงหันมาทำสงครามกับกลุ่ม IS ทำให้เมืองอะเลปโปกลายเป็นสนามรบทั้งจากฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายต่อต้านและฝ่ายต่อต้านกับกลุ่ม IS
โมฮัมหมัดเล่าว่านับตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2013 ที่เกิดเหตุโจมตีในเมืองอะเลปโป ทุกๆ วันเขาต้องเสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยเหลือชาวเมืองอะเลปโปภายใต้ซากปรักหักพังจากระเบิด ทีมของเขาเองก็ไม่มีอุปกรณ์และเครื่องมือดีๆ พวกเขาจึงใช้เครื่องมือเท่าที่มีอยู่ นั่นทำให้ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงหรือบางคราวก็เป็นเวลาหลายวันในการค้นหาผู้รอดชีวิตและช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ
ทุกครั้งที่ออกจากบ้าน โมฮัมหมัดรู้สึกว่า ความตายอยู่รอบตัวเองมากเหลือเกิน และอาจมีสักวันที่เขาจะต้องตายด้วยระเบิดถังน้ำมัน
นักสังเกตการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในซีเรียกล่าวว่า ระหว่างช่วงวันที่ 20 ตุลาคม 2012 ถึงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2015 กองกำลังของอัล-อัสซาดปล่อยการโจมตีทางอากาศไป 42,234 ครั้ง คร่าชีวิตผู้คนไป 6,889 ราย ได้รับบาดเจ็บอีก 35,000 ราย
ก่อนหน้านี้ โมฮัมหมัดสูญเสียอิฮาบ พี่ชายคนที่สองไปจากการทิ้งระเบิดถังน้ำมันอย่างรุนแรงในปี 2014 นั่นทำให้ครอบครัวโมฮัมหมัดขอร้องให้เขาออกจากงานคุ้มครองพลเรือน พวกเขาไม่ต้องการสูญเสียลูกชายคนที่สาม หลังจากฮิฮาบ และ อับดุล พี่ชายคนโต หายไปจากการลักพาตัวของรัฐบาลทีมคุ้มครองพลเรือน
หากการตายของพี่ชายทั้งสองไม่ทำให้โมฮัมหมัดต้องการออกจากอะเลปโป เขาตัดสินใจกลับไปทำงานที่นั่นต่อ
“ผมไม่เคยคิดว่าจะออกจากอะเลปโป ผมรักครอบครัว รักประเทศนี้และผู้คนที่นี่” เขาเผยความรู้สึก “ผมยังตั้งตารอคอยซีเรียในยุคใหม่ที่สงบและมั่นคง รวมไปถึงการที่ทุกคนได้กลับไปยังบ้านของเขา”