ทุกวันนี้คนไทยอุ่นใจเรื่องค่ารักษาพยาบาลได้ เพราะประเทศไทยมีระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ซึ่งให้สิทธิรักษาฟรีโดยถ้วนหน้า สิทธิบัตรทองช่วยการันตีว่า แม้จะไม่มีเงิน แต่หากเจ็บป่วยขึ้นมาก็สามารถเข้าถึงการรักษาได้
ในอนาคตหากเรามี ‘ระบบบำนาญผู้สูงอายุ’ ด้วย ก็จะยิ่งสร้างความมั่นคงในชีวิตเพิ่มมากขึ้น เพราะบำนาญผู้สูงอายุจะช่วยให้คนไทยมีหลักประกันว่า แม้แก่ชราโดยไม่มีอาชีพ ไม่มีบุตรหลานเลี้ยงดู ก็ยังจะมีรายได้สำหรับประทังชีวิต
การเลือกตั้งที่จะถึงนี้ หลากหลายพรรคการเมืองพยายามประโคมนโยบายหาเสียง หนึ่งในนั้นคือการสร้างระบบบำนาญผู้สูงอายุ ซึ่งตัวเลขในขณะนี้ดูเหมือนจะมีจุดร่วมอยู่ที่เดือนละ 3,000 บาท ส่วนรูปแบบการจ่าย ยังมีความแตกต่างในรายละเอียดกันออกไป
เวทีเสวนาวิชาการหัวข้อ ‘ระบบบำนาญแห่งชาติเพื่อความเป็นธรรมและยั่งยืน สู่นโยบายพรรคการเมืองด้านระบบความคุ้มครองทางสังคมในผู้สูงอายุ’ จัดโดย ศูนย์วิจัยความเหลื่อมล้ำและนโยบายสังคม (CRISP) คณะเศรษฐศาสตร์ และศูนย์วิจัยความเหลื่อมล้ำและนโยบายสังคม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ที่ผ่านมา มีข้อเสนอที่น่าสนใจ
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2023/03/IMG_8882.jpg)
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2023/03/IMG_9033.jpg)
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2023/03/IMG_9101.jpg)
สร้าง ‘ความคุ้มครองทางสังคม’ ให้คนสูงวัย
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ศรีสุชาติ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มธ. บอกว่า การพัฒนาระบบบำนาญแห่งชาติเป็น ‘ความคุ้มครองทางสังคม’ ประเภทหนึ่งตามหลักวิชาเศรษฐศาสตร์สาธารณะ ซึ่งความคุ้มครองทางสังคม คือระบบหรือมาตรการคุ้มครองขั้นพื้นฐาน เพื่อช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเคราะห์ร้าย ช่วยคุ้มครองไม่ให้กลายเป็นคนยากจน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ซึ่งในอนาคตไทยต้องเผชิญความเสี่ยงจากวิกฤตความยากจนในผู้สูงอายุ
นายแพทย์ประทีป ธนกิจเจริญ เลขาธิการ สช. ระบุว่า ปัจจุบันมีข้อเสนอทางวิชาการเกี่ยวกับการสร้างหลักประกันรายได้ให้กับผู้สูงวัย หนึ่งในนั้นมาจากมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 15 พ.ศ. 2565 เรื่อง ‘หลักประกันรายได้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ’ โดยจำเป็นต้องขับเคลื่อนพร้อมกันทั้ง 5 องค์ประกอบหลัก ซึ่งมีความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ ประกอบด้วย
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2023/03/ผศ.ดร.ศุภชัย-ศรีสุชาติ.jpg)
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2023/03/นพ.ประทีป-ธนกิจเจริญ.jpg)
- การพัฒนาผลิตภาพประชากร การมีงานทำและมีรายได้จากการทำงานที่เหมาะสมตลอดช่วงวัย
- การออมระยะยาวเพื่อยามชราภาพที่เชื่อมโยงทั้งการออมของปัจเจกบุคคล และการออมรวมหมู่ที่ครอบคลุม เพียงพอ และยั่งยืน
- เงินอุดหนุน (บำนาญ) และบริการสังคมที่จำเป็นจากรัฐ (บำนาญ)
- การเข้าถึงหลักประกันสุขภาพโดยเฉพาะบริการสุขภาพระยะยาว (long-term care)
- การดูแลจากครอบครัว ชุมชน และท้องถิ่น โดยสามารถถอดบทเรียนความสำเร็จของการขับเคลื่อนระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ที่เน้นความพร้อมทางวิชาการ การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคม และการตัดสินใจทางการเมือง มาเป็นฐานในการผลักดันนโยบายไปสู่รูปธรรมความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริง
‘อภิสิทธิ์’ เสนอขึ้น VAT เต็มเพดาน 10 เปอร์เซ็นต์
นอกจากนี้ ในเวทีเสวนาวิชาการยังมีมุมมองและข้อเสนอจากฝ่ายการเมือง เริ่มจากอดีตนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ระบุว่า ทุกวันนี้ทั้งสังคมหรือพรรคการเมืองต่างเห็นร่วมกันแล้วว่า ประเทศไทยต้องการระบบสวัสดิการ ซึ่งหมายความว่าต้องมีกฎหมายรองรับเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนจะได้รับบำนาญตามเกณฑ์ที่กำหนด
“ต้องไม่ใช่เป็นเพียงนโยบายทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงได้ตามแต่ละยุคสมัยของรัฐบาล แต่ต้องทำให้เกิดเป็นระบบที่ยั่งยืน” อภิสิทธิ์ระบุและย้ำว่า หลักการคือการสร้างสวัสดิการ ไม่ใช่การสงเคราะห์ และหากกำหนดเป็นหลักการแล้ว รัฐบาลจะต้องมีเงินมารองรับ ไม่เช่นนั้นเมื่อเริ่มจ่ายแล้วระบบก็จะล้มได้
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2023/03/นายอภิสิทธิ์-เวชชาชีวะ.jpg)
อภิสิทธิ์ยังแสดงความเห็นด้วยกับข้อเสนอของคณะผู้วิจัย คณะเศรษฐศาสตร์ มธ. คือมีระบบความคุ้มครองขั้นพื้นฐานรองรับทุกคน ระบบวัยแรงงานสมทบเงินออม และระดับการสะสมเงินออมสำหรับคนที่มีเงินมากตามความสมัครใจ
“สิ่งที่ภาคการเมืองต้องตอบสังคมให้ได้คือ จะนำเงินมาจากไหน เพราะประเทศไทยเก็บภาษีได้เหลือเพียง 13 เปอร์เซ็นต์ของ GDP”
อภิสิทธิ์ยังเห็นด้วยกับข้อเสนอด้านแหล่งเงินของคณะผู้วิจัย อาทิ การขยายฐานภาษี ภาษีฐานทรัพย์สินและการลดนโยบายที่เอื้อให้กับคนรวย (pro-rich) ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในสังคมได้
พร้อมกันนี้ ยังมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล เพราะการลดภาษีไม่ได้ช่วยทำให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะภาคธุรกิจธนาคาร โทรคมนาคม พลังงาน และอสังหาริมทรัพย์ 4 สาขา ที่จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด
“การลดภาษีก็คือเป็นการแจกเงินให้ผู้ถือหุ้นกับพนักงานในสาขาเหล่านั้น ประเด็นเหล่านี้ต้องนำมาเป็นส่วนประกอบของสมการทั้งหมด” อภิสิทธิ์กล่าว
อภิสิทธิ์กล่าวต่อไปว่า เมื่อวิเคราะห์ตัวเลขแล้วพบว่าขณะนี้ยังขาดเงินอีก 400,000-500,000 ล้านบาท ในการจัดทำระบบบำนาญผู้สูงอายุ ซึ่งการหารายได้เข้ารัฐนั้นมักมีการพูดถึงการเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพราะเป็นทางเลือกที่ง่ายที่สุด แต่ VAT ก็เป็นภาษีที่เพิ่มความเหลื่อมล้ำ ทำให้เศรษฐกิจถดถอยและเกิดเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ หากจะเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม ควรต้องดำเนินการแบบ earmarked คือ ระบุวัตถุประสงค์ของการเก็บและนำภาษีส่วนนั้นไปใช้สำหรับจัดสวัสดิการจึงจะเป็นที่ยอมรับของสังคมได้ เนื่องจากปัจจุบันประชาชนไม่อยากจ่ายภาษีเพิ่ม เพราะไม่พอใจการใช้จ่ายภาษีของรัฐ แต่ถ้าประชาชนมีความชัดเจนว่า 1 บาทที่จ่าย จะเข้าไปเติมเงินในบัญชีเงินออม อันนี้มีความเป็นไปได้
“ความจริงเพดานอัตรา VAT ของเราคือ 10 เปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อ 21 ปีที่แล้ว เราลดชั่วคราวเหลือ 7 เปอร์เซ็นต์ และยังเป็นอัตราชั่วคราวมาจนถึงปัจจุบัน เพราะฉะนั้น ผมว่ามันมีเหตุผลมากที่จะเพิ่มกลับไปที่ 10 เปอร์เซ็นต์ โดย 3 เปอร์เซ็นต์นั้นจะถูก earmarked ให้เป็นเงินออมของทุกๆ คน ซึ่งสัดส่วนเพียง 3 เปอร์เซ็นต์นี้จะทำให้รัฐได้เงินประมาณกว่า 200,000 ล้านบาท” อภิสิทธิ์เสนอ
“ถ้าเก็บ VAT ต่ำกว่านั้น ก็อาจกำหนดให้คนที่ได้เกินจากบำนาญประกันสังคมยังไม่ต้องรับบำนาญก่อน คือให้เฉพาะคนที่ไม่มี หรือคนที่อยู่นอกระบบ เช่น เกษตรกร และผู้สูงอายุที่ไม่มีหลักประกัน ตรงนี้ก็จะอยู่ในวิสัยที่สามารถทำได้
“จากนั้นก็ออกกฎหมายกำหนดว่าเบี้ยยังชีพที่เหมาะสมมีความคุ้มครองขั้นต่ำเท่าใด เช่น อ้างอิงจากเส้นความยากจน เงินส่วนหนึ่งมาจาก earmarked ที่มาจากการบังคับออม แล้วเติมอีกส่วนจากการปรับระบบภาษีและการจัดระบบงบประมาณให้เหมาะสม”
อภิสิทธิ์ย้ำว่า ความเร่งด่วนในวันนี้ไม่ใช่เรื่องสังคมยังไม่ตื่นตัว แต่ต้องมุ่งไปที่ 2 ประเด็นในการขับเคลื่อน ได้แก่
- เมื่อเป็นผู้สูงอายุแล้วจะมีสิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐบาลชุดใดก็เบี้ยวไม่ได้ เช่น อ้างว่าไม่มีเงินไม่ได้ จึงขอให้ทุกพรรคการเมืองเข้าสู่สนามเลือกตั้งโดยให้แสดงความชัดเจนว่า เป็นสวัสดิการจริงๆ ไม่ใช่ระบบสงเคราะห์
- พรรคการเมืองต้องตอบคำถามว่า จะหาแหล่งรายได้มาจากไหน เพราะถ้าไม่พยายามบังคับให้พรรคการเมืองชี้แจง ทุกอย่างจะกลับไปข้อ 1 คือ เลือกตั้งเสร็จก็พยายามทำที่ได้หาเสียงไว้ แต่สามารถให้เท่าที่ให้ได้ โดยไม่ได้พยายามสร้างระบบที่ยั่งยืน
‘ก้าวไกล’ เสนอปรับกลไกภาษี ลดงบกองทัพ เติมเงินเข้าระบบบำนาญ
สอดคล้องกับ เดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการ Think Forward Center พรรคก้าวไกล ที่เห็นด้วยกับการกำหนดเรื่องบำนาญผู้สูงอายุเป็นกฎหมาย เพราะไม่อยากให้เรื่องนี้กลายเป็นแค่ประเด็นหาเสียง ส่วนตัวเห็นว่าตัวเลข 3,000 บาท เป็นตัวเลขที่สังคมยอมรับและสอดคล้องกับที่ภาคประชาชนเสนอ นอกจากนี้ควรจะมีกองทุนดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง 200 บาท/คน/เดือน เพื่อดูแลผู้ป่วยติดเตียงด้วย เพราะความยากจนในผู้สูงอายุมาจาก 1) หนี้สินจากอาชีพ 2) การป่วยติดบ้านติดเตียง
สำหรับเดชรัต การสร้างบำนาญผู้สูงอายุ หากกำหนดตัวเลขไว้ที่ 3,000 บาท ต้องใช้งบประมาณราว 420,000 ล้านบาท ซึ่งหากจ่ายในอัตรา 3,000 บาทจริง จะช่วยให้ผู้สูงอายุที่อยู่ในเส้นความยากจนจากเดิม 6 เปอร์เซ็นต์ จะสามารถลดลงเหลือ 1 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าจ่ายในอัตรา 2,000 บาท ผู้สูงอายุที่อยู่ในเส้นความยากจนจะลดเหลือ 2 เปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตาม ระบบบำนาญผู้สูงอายุจำเป็นต้องใช้เวลาในการพัฒนาศักยภาพในการหารายได้ ดังนั้นจึงต้องขึ้นเป็นขั้นบันได เช่น จาก 600 บาท/เดือน เป็น 1,500 บาท/เดือนในปีแรก แล้วจึงเพิ่มขึ้นจนไปถึงเป้าหมาย 3,000 บาท/เดือน ภายในปี 2570
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2023/03/ดร.เดชรัต-สุขกำเนิด.jpg)
ในส่วนของการหารายได้รัฐ เดชรัตกล่าวว่า รายได้ที่จะนำมาสร้างระบบบำนาญนั้นต้องใช้ช่องทางในการปรับภาษี ดังนี้คือ
- ขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่ ส่วนรายย่อยต้องลดลง ซึ่งจะนำมาสู่รายได้ราว 90,000 ล้านบาท
- ปรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และการลดหย่อนภาษี
- ปรับภาษีที่ดินแบบรวมแปลงและรายแปลง ในส่วนนี้จะได้เงินประมาณ 150,000 ล้านบาท
- ปรับภาษีความมั่งคั่งเป็น 0.5 เปอร์เซ็นต์ โดยจะให้ได้เงินราว 60,000 ล้านบาท
- ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น ลดงบกองทัพ ซึ่งจะลดได้ประมาณ 200,000 ล้านบาท
ทำประชามติให้ชัดเจน พรรคการเมืองต้องจริงใจ
ศาสตราจารย์ ดร.เอื้อมพร พิชัยสนิธ คณะเศรษฐศาสตร์ มธ. บอกว่า ประเด็นการสร้างระบบบำนาญผู้สูงอายุนั้นภาควิชาการได้เสนอมานานแล้ว จึงจำเป็นต้องให้ภาคการเมืองทำให้เกิดขึ้นจริงในทางปฏิบัติ
สำหรับประเด็นที่อยากจะชวนคิด ได้แก่ ความเป็นธรรมในมุมมองของประชาชนที่แท้จริง ไม่ใช่ของนักวิชาการหรือนักการเมือง จึงต้องสร้างการตระหนักรู้และการมีส่วนร่วมถึงทางเลือกสวัสดิการต่างๆ ทำให้ประชาชนทราบว่า เมื่อมีฝ่ายที่ได้ ก็มีฝ่ายที่ต้องจ่าย เพื่อหาโมเดลที่เหมาะสมต่อไป
“ไม่ใช่แค่เรื่องอัตราการจ่ายบำนาญควรจะเป็นเท่าไร แต่เรามองภาพใหญ่ว่า เราจะมีจุดร่วมอย่างไร ต้องการสวัสดิการแบบไหนในองค์รวม เพื่อเป็นสัญญาณให้ฝ่ายการเมืองทราบความต้องการของประชาชน ตัวอย่างเช่น ยุโรปเหนือ สะท้อนฉันทามติผ่านทางการเมือง แต่ถ้าเป็นประเทศที่เน้นระบบตลาด ก็สะท้อนผ่านกระบวนการทางการเมืองในการเลือกตั้ง” ศ.ดร.เอื้อมพร กล่าว
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2023/03/ศ.ดร.เอื้อมพร-พิชัยสนิธ.jpg)
ศ.ดร.เอื้อมพร กล่าวอีกว่า สำหรับประเทศไทย ขณะนี้ยังมีหลากหลายความคิด คุยประเด็นย่อย แต่ยังไม่มีประชามติที่ชัดเจนเกี่ยวกับทิศทาง จึงจำเป็นจะต้องมาเป็นชุดแพ็กเกจว่า จะเอาภาษีมาจากไหน ดังนั้นในระยะยาวจะต้องกระตุ้นการตระหนักรู้ของสังคมเพื่อให้เกิดการตกผลึกทางความคิด
“ในยุคข้อมูลข่าวสาร พรรคการเมืองต้องจริงใจ เสนอข้อเท็จจริงและข้อจำกัดของข้อเสนอนโยบาย จึงจะเกิดขึ้นมาอย่างเป็นธรรมที่แท้จริง ในมุมมองของประชาชน” นักเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ กล่าว
ศ.ดร.เอื้อมพร กล่าวว่า ในแง่ความยั่งยืนจำเป็นต้องครอบคลุมการเกิดผลในระยะสั้นและระยะยาว เพราะในมุมนักวิชาการ เน้นระยะยาว และ optimal ส่วนในมุมนักการเมือง เน้นที่ quick win ระยะสั้น เพราะข้อจำกัดเรื่องเวลา ดังนั้น นักการเมืองควรต้องยอม trade-off มามองระยะยาวด้วย เพื่อรุ่นลูกหลานและตัวท่านเอง
ศ.ดร.เอื้อมพร ย้ำว่า กรณีระบบบำนาญแห่งชาติ ต้องคำนึงเรื่อง transition เช่น นโยบายการออมในระยะยาว แต่ระยะสั้นก็ต้องมีผลเกิดขึ้นเป็นรูปธรรม เช่น การขยายฐานกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และควรมีพื้นที่เพิ่มเติมการอุดหนุนให้ผู้สูงอายุ หากจะให้เกิดความยั่งยืน จะต้องครอบคลุมผลทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยความร่วมมือของทุกภาคส่วน
ที่สุดแล้ว ในการเสวนาครั้งนี้ ผู้ร่วมเสวนายังเห็นพ้องในหลักการร่วมกันว่า สิ่งที่จำเป็นหรือนับเป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จในการขับเคลื่อนนโยบายบำนาญแห่งชาติ คือการทำให้เจตนารมณ์ทางสังคมสามารถเกิดขึ้นเป็นจริงด้วยนโยบายจากพรรคการเมือง