การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 34 ที่กรุงเทพฯ จบลงไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าขยะเกือบครึ่งล้านตันจะยังคงอยู่กับเราต่อไป แม้จะมีการเคลื่อนไหวของประชาชนที่เรียกร้องให้บรรดาผู้นำ 10 ประเทศอาเซียน ยุติการนำเข้าขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์จากนานาประเทศโดยไม่มีข้อแม้ เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาวะของประชาชนในระยะยาว
ก่อนหน้านี้ กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ทำการสำรวจปริมาณการนำเข้าขยะพลาสติกในประเทศอาเซียน พบว่า 5 อันดับแรก ได้แก่ มาเลเซีย เวียดนาม ไทย อินโดนีเซีย และเมียนมาร์ มีปริมาณนำเข้าขยะเพิ่มสูงขึ้นในทุกๆ ปี โดยเฉพาะในช่วง 3 ปีให้หลังที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ประเทศผู้นำเข้าขยะพลาสติกในอาเซียน ปี 2561
- อันดับ 1 มาเลเซีย 872,797 ตัน
- อันดับ 2 เวียดนาม 492,839 ตัน
- อันดับ 3 ไทย 481,381 ตัน
- อันดับ 4 อินโดนีเซีย 320,452 ตัน
- อันดับ 5 เมียนมาร์ 71,050 ตัน
ประเทศผู้ส่งออกขยะพลาสติกสู่อาเซียน ปี 2561
- อันดับ 1 สหรัฐอเมริกา 439,129 ตัน
- อันดับ 2 ญี่ปุ่น 430,064 ตัน
- อันดับ 3 ฮ่องกง 149,516 ตัน
- อันดับ 4 เยอรมนี 136,034 ตัน
- อันดับ 5 สหราชอาณาจักร 112,046 ตัน
ไทย
- ส่งออก 74,906 ตัน
- นำเข้า 481,381 ตัน
สถานการณ์ที่น่าวิตกกังวลนี้ ส่งผลให้หลายภาคส่วนโดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการเป็นแหล่งรองรับขยะโดยตรง ทำให้ที่ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 20-23 มิถุนายนที่ผ่านมานั้น ได้มีการพูดคุยในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและผลักดันวาระต่างๆ โดยในท้ายที่สุดนำมาสู่การลงปฏิญญากรุงเทพฯ ว่าด้วยการต่อต้านขยะทะเลในภูมิภาคอาเซียน
แม้ผู้นำอาเซียนจะมีความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาขยะก็จริง แต่ภาคประชาสังคมได้ตั้งข้อสังเกตบางประการ เนื่องจากการวางหลักการและการดำเนินงานของปฏิญญาฉบับดังกล่าวเต็มไปด้วยช่องโหว่ และไม่สามารถระบุแผนปฏิบัติการอย่างเป็นรูปธรรมหรือกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น หากต้องการจะลดขยะทางทะเล แต่อาเซียนกลับไม่ได้กำหนดแนวทางการปฏิบัติที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่ย่อยสลายง่ายและไม่กลายเป็นขยะทะเล เป็นต้น
นอกจากขยะพลาสติก ขยะอิเล็กทรอนิกส์ และขยะทะเล อีกปัญหาที่สำคัญคือ พื้นที่อยู่อาศัยของประชาชนและบ่อขยะอีกจำนวนมากได้กลายเป็นพื้นที่รองรับขยะนำเข้าจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยไม่มีทีท่าว่าจะได้รับการกำจัดอย่างถูกวิธี ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวล้วนส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและการดำเนินชีวิตของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียง คำถามสำคัญคือ อาเซียนจะดำเนินการอย่างไรต่อไปในการจัดการขยะ และจะยุติหรือลดการนำเข้าขยะพลาสติกได้จริงหรือไม่
ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในช่วงที่ผ่านมา ตัวแทนชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ ชุมชนตำบลหนองชุมพลเหนือ อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี พร้อมทั้งนักกิจกรรมอาสาสมัครจากมูลนิธิบูรณะนิเวศและกลุ่มกรีนพีซ ได้เดินทางไปยังอาคารกระทรวงต่างประเทศ เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2562 เพื่อยื่นหนังสือและชูข้อความ ‘อาเซียนไม่ใช่ถังขยะโลก’ และนำบ่อขยะเทียมไปมอบให้ผู้นำอาเซียน เพื่อเรียกร้องต่อผู้นำอาเซียนให้แสดงท่าทีที่ชัดเจนต่อสภาวการณ์บ่อขยะโลกของอาเซียน
นี่ไม่ใช่เหตุการณ์เดียวที่มีการเคลื่อนไหวในประเด็นด้านขยะที่ประเทศอาเซียนไม่สามารถรับมือได้ ภาคประชาสังคมยังได้เสนอให้มีมาตรการและการป้องกันขยะและมลพิษจากขยะ โดยมีใจความหลักๆ ดังนี้
- ยกเลิกพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2562 เนื่องจากเอื้อให้เกิดโรงงานรีไซเคิลขนาดเล็กที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน และเปิดช่องว่างให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน
- ขอให้รัฐบาลทบทวนเรื่องการกำหนดอายุของใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน
- การขออนุญาตจัดตั้งและขยายโรงงานต้องผ่านเวทีรับฟังความคิดเห็นของสังคมเสียก่อน
- ออกมาตรการทางกฎหมายให้โรงงานทุกแห่งรายงานข้อมูลมลพิษที่ปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม และเผยแพร่ข้อมูลเหล่านี้ให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย
- เพิ่มระบบการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรมที่มีประสิทธิภาพ โดยการตั้งคณะทำงานระดับพื้นที่ประกอบด้วยประชาชนและนักวิชาการอิสระ
เช่นเดียวกับข้อเสนอจากฝั่งกรีนพีซต่อประเทศสมาชิกอาเซียน ก็ชัดเจนไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าฝั่งภาคประชาสังคม
- ห้ามการนำเข้าขยะพลาสติก รวมถึงการนำเข้าเพื่อรีไซเคิล
- สร้างนโยบายระดับภูมิภาคที่มุ่งสู่การลดการผลิตผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง และส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ใช้ซ้ำ
- ผลักดันกรอบเศรษฐกิจหมุนเวียนที่มีความยั่งยืนและเป็นธรรมบนพื้นฐานของแนวทางขยะเหลือศูนย์ (zero waste)
อย่างไรก็ตาม ภายหลังมีปฏิญญากรุงเทพฯ ว่าด้วยการต่อต้านขยะทะเลในภูมิภาคอาเซียน ประเทศไทยได้เสนอตัวเป็นประเทศผู้นำในการดำเนินงานด้านการจัดการมลภาวะทางทะเลรวมถึงขยะทะเล และสมัครเป็นประธานคณะทำงานฯ ในปี 2563 โดย จตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ชี้แจงว่า ภาครัฐไม่ได้เพิกเฉย และจะมีการดำเนินการให้สอดรับด้านต่างๆ โดยเฉพาะขยะทะเลซึ่งถูกยกเป็นประเด็นระดับโลก และรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับปัญหาขยะให้เป็นวาระแห่งชาติ เป็นนโยบายสำคัญที่ต้องเร่งรีบแก้ไขอย่างเร่งด่วน
อ้างอิง: Greenpeace Southeast Asia, Thailand |
สนับสนุนโดย