ตามหาวันเฉลิม คนที่ ‘ดอน ปรมัตถ์วินัย’ ไม่รู้จัก การอุ้มหายที่รัฐไทยไม่เคยให้ความหวัง

4 มิถุนายน วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ถูกอุ้มหายกลางกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา 10 มิถุนายน สมคิด เชื้อคง สส.พรรคเพื่อไทย ตั้งกระทู้ถามสดในการประชุมสภาถึงกรณีการอุ้มหายครั้งนี้ ก่อนที่ ดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะลุกขึ้นตอบว่า ตั้งแต่เป็นรัฐมนตรีมา 6 ปี ยังไม่เคยเห็นชื่อหรือรู้เรื่องเกี่ยวกับนายวันเฉลิมเลยแม้แต่ครั้งเดียว

11 มิถุนายน กลุ่มเพื่อนวันเฉลิมร่วมกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย และองค์กรเครือข่ายภาคประชาสังคมรวม 25 องค์กรจัดเสวนา ‘ตามหาวันเฉลิม: ตามหาหลักประกันความปลอดภัยของประชาชนจากการถูกบังคับสูญหาย (และทรมาน)’ โดยวิทยากรมีทั้งคนจากภาครัฐ ภาคประชาสังคม รวมถึงพรรคการเมือง ร่วมพูดคุย ร่วมออกแบบกฎหมาย และร่วมออกแบบหลักประกันว่า เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก ไม่ว่ากับใครก็ตาม

วันเฉลิมเป็นใคร

ย้อนกลับไปหลังการรัฐประหารโดย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ในปี 2557 วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ หรือ ต้าร์ เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ถูกคณะรัฐประหารเรียกไปรายงานตัวในค่ายทหาร อย่างไรก็ตาม ด้วยความรู้สึกไม่ปลอดภัยต่อชีวิต ทำให้เขาตัดสินใจเดินทางไปกัมพูชา ก่อนที่ล่าสุดเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2563 เขาถูกลักพาตัวและอุ้มหายไปในรถสีดำคันหนึ่ง จากหน้าคอนโดในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา โดยมีภาพจากกล้องวงจรปิดเป็นหลักฐาน รวมถึงมีพยานเห็นเหตุการณ์ที่พยายามเข้าช่วยเหลือแต่ไม่สำเร็จ

ชยุตม์ ศิรินันทไพบูลย์ ตัวแทนกลุ่มเพื่อนวันเฉลิม กล่าวว่า วันเฉลิมทำงานขับเคลื่อนประเด็นทางสังคมตั้งแต่ครั้งเป็นเยาวชน ไม่ว่าจะเป็นประเด็นความเท่าเทียมทางเพศ หรือครั้งลงไปทำงานกับเยาวชนภายหลังเหตุการณ์สึนามิ ในปี 2547 โดยเขาเปรียบว่า วันเฉลิมเป็นดั่งต้นกล้าในการพัฒนาสังคมตั้งแต่สมัยเยาวชน และแม้เขาจะเป็นคนที่พูดจาตรงไปตรงมาไปบ้าง แต่ไม่มีทางที่เขาจะทำร้ายใคร ชยุตม์ย้ำว่าประเด็นที่มีการพูดถึงเรื่อง วันเฉลิมเป็นแอดมินเพจเฟซบุ๊ค ‘กูต้องได้ 100 ล้านจากทักษิณแน่ๆ’ ไม่ใช่เรื่องจริง เพียงแต่วันเฉลิมไม่มีสิทธิที่จะออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหานี้เลย

“ไม่มีใครสมควรถูกอุ้มหายไปทั้งนั้น ถึงแม้เขาจะมีความคิดและแสดงออกแตกต่างแค่ไหนก็ตาม ถ้าหากผิดก็ควรให้เป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย และรัฐบาลควรติดตามสิ่งที่เกิดขึ้นกับวันเฉลิม เพราะอย่างน้อยเขายังเป็นคนไทยคนหนึ่ง”

82 คนแล้วที่ถูกอุ้มหาย

สิ่งที่ต้องปักหลักทำความเข้าใจก็คือ กรณีที่เกิดขึ้นกับวันเฉลิมนับเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอย่างร้ายแรง และไม่ว่าเขาจะเห็นด้วยกับรัฐบาลไทยหรือไม่ ในฐานะที่เขาเป็นคนไทยคนหนึ่ง รัฐบาลมีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญที่จะต้องคุ้มครองเขาและหมายรวมถึงคนไทยทุกคน ไม่เพียงเท่านั้น ประเทศกัมพูชาก็อยู่ในฐานะประเทศภาคีที่ร่วมลงนามในอนุสัญญาด้านสิทธิมนุษยระหว่างประเทศหลายฉบับ สิ่งที่ต้องจับตามองก็คือ กัมพูชาจะมีท่าทีอย่างไรต่อการหายไปของวันเฉลิม เร่งสืบหาความจริง หรือปล่อยผ่านให้วันเวลาลักพาความเงียบมาแทนที่

สุณัย ผาสุข ที่ปรึกษาฮิวแมนไรท์ วอทช์ กล่าวว่า เหตุการณ์ทำนองนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในสังคมไทย แต่มันเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า นับถึงตอนนี้องค์การสหประชาชาติรายงานว่า มีนักกิจกรรมทางการเมืองของไทยถูกอุ้มหายไปแล้วถึง 82 คน โดย 9 คนถูกอุ้มหายไปขณะที่ลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศ

“เหตุใดปฏิบัติการข่าวสาร หรือ IO ของไทย ถูกนำมาใช้เพื่อทำให้ตัวตนของ วันเฉลิม ด้อยค่าลง เหตุใด IO ของไทยถึงต้องปฏิบัติการช่วยรัฐบาลกัมพูชา ทั้งที่ผู้ที่หายตัวไปคือคนไทยทั้งคน

“ควรมีการเปิดเผยหนังสือของสถานทูตไทยที่ส่งไปให้รัฐบาลกัมพูชาว่า มีการใช้ถ้อยคำและเรียกร้องให้มีการดำเนินการอย่างไรบ้าง ซึ่งถ้าหากข้อความในหนังสือยังมีเนื้อหาไม่เหมาะสม ควรผลักดันให้มีการออกเอกสารฉบับใหม่ รวมถึงเรียกทูตกัมพูชามาติดตามความคืบหน้าในคดีดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง”

ตามหาความหวังจากรัฐไทย

อังคณา นีละไพจิตร อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และภรรยาของ ทนายสมชาย นีละไพจิตร ซึ่งหายตัวไปเมื่อปี 2547 กล่าวว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องมีกฎหมายคุ้มครองการอุ้มหายโดยเร็วที่สุด เพื่อคุ้มครองทุกคนอย่างเท่าเทียม เธอเล่าว่าทุกๆ ครั้งที่ตัวเธอเองและครอบครัวของผู้ถูกอุ้มหายคนอื่นพยายามให้ภาครัฐช่วยเหลือในการตามตัวผู้สูญหาย ไม่มีสักครั้งที่มีความคืบหน้า และไม่มีสักครั้งที่พวกตนรู้สึกว่ามีความหวังเพิ่มขึ้น

เธอกล่าวว่า มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ครอบครัวของผู้สูญหายจะรับมือกับความรู้สึก “เหมือนอยู่ในม่านหมอกของความคลุมเครือตลอดเวลา” นอกจากนี้ ความพยายามลดทอนคุณค่าของผู้ที่ถูกอุ้มหาย ไม่ว่าจากทางไหนก็ตาม ยิ่งเป็นการซ้ำเติมครอบครัวให้สิ้นหวังมากขึ้น

“นอกจากกฎหมายป้องกันการอุ้มหาย ทางการไทยควรมีการเยียวยาไม่ใช่แค่ในเรื่องเงินทอง แต่รวมถึงด้านความเป็นธรรมและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ นอกจากนี้ เธอเสนอว่า ครอบครัวของผู้สูญหายควรมีส่วนร่วมในการร่างกฎหมาย ตลอดจนเป็นคณะกรรมการวิสามัญติดตามกรณีที่เกิดขึ้น”

ปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า ทุกวันนี้เหมือนสังคมไทยอยู่ในดินแดนที่คลุมเครือ ปากที่เผอิญพูด มือที่บังเอิญโพสต์ หรือเพียงแค่ความคิดที่แวบเข้ามา ทำให้เราวิตกว่าจะทำผิดกฎหมายหรือไม่ ทั้งที่จริงกฎหมายไม่ควรถูกออกแบบมาเพื่อปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน

แอมเนสตี้เรียกร้องให้มีการสืบสวนเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเป็นธรรมที่สุด รัฐบาลมีหน้าที่ต้องทำให้ทุกคนปลอดภัย ดังนั้นการออกกฎหมายป้องกันการอุ้มหายเป็นหลักประกันขั้นแรกสุดของประชาชน ที่อย่างน้อยสามารถเอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐที่ใช้ความรุนแรงนอกกฎหมายกับประชาชน

แอมเนสตี้ยืนยันว่า วันเฉลิม เป็นบุคคลหนึ่งที่ใช้สิทธิเสรีภาพตามหลักประชาธิปไตย และยินดีที่ได้เห็นแฮชแท็กและกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ต่างๆ ซึ่งสะท้อนว่าสังคมส่วนหนึ่งยังคงยืนอยู่ข้างวันเฉลิม

ไม่ควรมีใครถูกทำร้ายด้วยวิธีการนอกกฎหมาย

อานนท์ ชวาลาวัณย์ จากโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือ iLaw กล่าวว่า นับตั้งแต่ คสช. ทำการรัฐประหารเมื่อปี 2557 บรรยากาศการเมืองไทยอึมครึมขึ้นมาก นอกจากการออกคำสั่งให้คนบางกลุ่มเข้าไป ‘ปรับทัศนคติ’ ในค่ายทหารแล้ว ยังมีการรายงานว่านักเคลื่อนไหวหลายคนถูกทำให้หายตัวไป ไม่ว่าจะเป็น วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ โกตี๋ ในปี 2560 สุรชัย แซ่ด่าน และอีกสองสหายคนสนิทเมื่อปี 2561 หรือ สยาม ธีรวุฒิ เมื่อปี 2562 และไม่เพียงแค่นั้น ราวเดือนสิงหาคมปี 2562 มีการรายงานว่า อ๊อด ไชยวงศ์ นักเคลื่อนไหวทางการเมืองชาวลาว หายตัวไปจากบ้านพักในกรุงเทพฯ

“ไม่ว่าสาเหตุเบื้องหลังจะเกิดจากอะไร รัฐบาลไทยและกัมพูชามีหน้าที่ต้องติดตามและทำให้ความจริงปรากฏ เพื่อทำให้ทุกอย่างชัดเจน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ไม่มีใครควรต้องถูกทำร้าย ด้วยวิธีการนอกกฎหมาย”

นงภรณ์ รุ่งเพ็ชรวงศ์ ที่ปรึกษาด้านส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพ (กฎหมาย) ผู้แทนกรมคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ยืนยันว่าขณะนี้กระทรวงยุติธรรมกำลังประสานผ่านกระทรวงต่างประเทศ ไปยังสถานทูตไทยในกัมพูชาเพื่อติดตามกรณีดังกล่าว

ทางด้านความคืบหน้าของ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและป้องกันบุคคลสูญหาย กำลังคืบหน้าขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม เธอยังไม่ได้รับปากว่ากฎหมายฉบับนี้จะถูกคลอดและนำมาใช้เมื่อไร

หยุดมองประชาชนเป็นศัตรู

พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติตั้งข้อสังเกตว่า รากฐานของกฎหมายไทย อาจจะไม่ได้มีขึ้นเพื่อรับใช้ประชาชนโดยแท้จริง โดยเฉพาะรัฐไทยมักพยายามเน้นการควบคุม ปราบปรามอาชญากรรมเป็นสำคัญ โดยไม่คำนึงถึงวิธีการ ทำให้หลายครั้งเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้ต้องหา

เขาชี้ว่า คงถึงเวลาที่ต้องปฏิรูปกฎหมายให้รับใช้ประชาชน และเป็นประชาธิปไตยเสียที ต้องไม่ทำให้อำนาจในการออกและตีความกฎหมายอยู่ในอุ้งมือของใครคนใดคนหนึ่ง แต่ต้องทำให้เป็นของประชาชนทุกคน เพื่อลดอคติให้น้อยที่สุด หรือใช้กฎหมายเพื่อเข้าข้างตนและกลุ่มของตนเอง

ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวว่า รัฐไทยยังติดอยู่กับการใช้เลนส์แบบเก่าสมัยสงครามเย็นมองประชาชนว่าเป็นศัตรูกับสถาบันของชาติ และยิ่งรุนแรงขึ้นหลังการรัฐประหารปี 2557 ดังจะเห็นได้จากนักเคลื่อนไหวทางการเมืองหลายคนที่ต้องเดินทางออกนอกประเทศ รวมถึงการทำร้ายนักเคลื่อนไหวที่ถี่เพิ่มขึ้น หรือเหตุการณ์สลายการชุมนุม กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ในปี 2554 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 100 คน 

ชัยธวัช ตุลาธน กล่าวถึงประเด็นที่ภายหลังที่ รังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคก้าวไกล อภิปรายในสภาต่อประเด็นมาตรา 112 ซึ่งมีคนคอมเมนต์แสดงความเป็นห่วงจำนวนมาก เรื่องนี้สะท้อนว่าประชาชนในประเทศรู้ดีถึงความรุนแรงที่แฝงอยู่ในสังคมไทย และความไม่ปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นได้ทั้งทางร่างกายและทรัพย์สิน หากคิดแตะต้องผู้มีอำนาจ และเจ้าหน้าที่รัฐ

เขามองว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่กฎหมายป้องกันการอุ้มหายจะเกิดขึ้นโดยง่ายในสมัยรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างไรก็ตาม พรรคก้าวไกลในฐานะพรรคการเมือง ก็จะพยายามอย่างเต็มที่ในการผลักดันเรื่องนี้ โดยในเบื้องต้น ได้ร่างกฎหมายฉบับร่างเสร็จเรียบร้อยและผ่านที่ประชุมมติพรรคแล้ว ในลำดับถัดไปจะนำร่างกฎหมายฉบับนี้เข้าไปพูดคุยใน กมธ. อีกรอบ ซึ่งหวังว่าพรรคการเมืองอื่นๆ จะช่วยเป็นอีกแรงที่ผลักดันเรื่องนี้

Author

กองบรรณาธิการ
ทีมงานหลากวัยหลายรุ่น แต่ร่วมโต๊ะความคิด แลกเปลี่ยนบทสนทนา แชร์ความคิด นวดให้แน่น คนให้เข้ม เขย่าให้ตกผลึก ผลิตเนื้อหาออกมาในนามกองบรรณาธิการ WAY

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า