นอกจากภาวะโลกร้อนจะทำให้ความวายป่วงจากสารกัมมันตรังสีและเคมีภัณฑ์จากยุคสงครามเย็นที่ถูกซุกไว้ในชั้นน้ำแข็งหลุดออกมาได้แล้ว scenario ถัดไปที่มีแน้วโน้มจะเกิดขึ้นได้คือ การฟื้นคืนชีพของ ‘ซอมบี้ไวรัส’
นับว่าเป็นปีโชคร้ายของกวางเรนเดียร์ ก่อนหน้าที่ฝูงกวางกว่า 300 ตัวจะโดนฟ้าผ่าที่นอร์เวย์ ต้นสิงหาคม ที่ไซบีเรีย กวางเรนเดียร์ 2,000 กว่าตัวพร้อมใจกันตายหมู่จากการระบาดของแอนแทร็กซ์ เหตุการณ์นี้เชื่อกันว่าเชื่อมโยงกับสปอร์ของแอนแทร็กซ์ที่อยู่ใต้ชั้นน้ำแข็งมา 75 ปี ก่อนจะค่อยๆ ละลาย และปลิวว่อน…
ลองนึกภาพว่า หากการ ‘ปลิวว่อน’ ครั้งนี้ระบาดไปถึงสัตว์หลายๆ ชนิด รวมทั้งสัตว์ที่เป็นอาหารมนุษย์ เมื่อนั้นการล้างเผ่าพันธุ์ก็จะเริ่มขึ้น
หรือเข็มนาฬิกา Doomsday Clock ของโลกกำลังเดินหน้าเข้าใกล้เที่ยงคืนมากขึ้นทุกขณะ ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก
ความตายใต้ฝ่าเท้า
‘ซอมบี้ไวรัส’ ไม่ใช่ไวรัสที่ทำให้คนหรือสัตว์กลายเป็นผีดิบ คำคุณศัพท์ ‘ซอมบี้’ หมายถึงการฟื้นคืนชีพของ ‘เชื้อโรค’ ต่างๆ ที่เชื่อกันว่าล้มหายตายจากไปหมดแล้ว
นอกจากกวางเรนเดียร์ การคืนชีพของแอนแทร็กซ์ครั้งนี้ทำให้มีคนตายแล้วสองคน ขณะที่เด็ก 41 คน บวกผู้ใหญ่อีก 31 คน อยู่ในภาวะติดเชื้อจากแบคทีเรียที่ไม่เคยพบมาตั้งแต่ปี 1941
ข้อมูลระบุว่าแอนแทร็กซ์ในฝูงกวางเรนเดียร์และมนุษย์ทางตะวันตกของไซบีเรีย มีลักษณะคล้ายกับเชื้อที่พบในอวัยวะภายในของกวางเรนเดียร์ที่ตายเมื่อ 75 ปีก่อน ซึ่งศพเหล่านี้ถูกแช่แข็งไว้ใต้ดินเรื่อยมา จึงตั้งสมมุติฐานกันว่า การผุดขึ้นมาจากดินของแอนแทร็กซ์อาจเกิดจากภาวะโลกร้อนและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จนอัตราการละลายของพื้นน้ำแข็งบนภาคพื้นทวีปในฤดูร้อนเปลี่ยนแปลงจาก 30 เซนติเมตรเป็น 1 เมตร…ลึกพอที่จะถึงบริเวณหลุมฝังศพ
ก่อนหน้านี้ เคยมีนักวิทยาศาสตร์ทำนายปรากฏการณ์นี้เอาไว้ว่า Bacillus anthracis แบคทีเรียที่เป็นตัวการของโรคแอนแทร็กซ์จะผุดขึ้นมาจากดินในไซบีเรีย เพราะมันสามารถมีชีวิตอยู่ในดินได้เกือบศตวรรษ ทันทีที่น้ำแข็งละลาย สิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่อยู่ในนั้นก็จะหลุดออกมาจากภาวะจำศีล
ตัวอย่างการมีชีวิตของไวรัสในซากศพคือ ทีมนักวิทยาศาสตร์จากศูนย์ไวรัสวิทยาและเทคโนโลยีชีวภาพในโนโวซิเบิร์สก์ (Novosibirsk) ทำการขุดศพออกมาจากชั้นน้ำแข็ง พวกเขาพบร่องรอยโรคฝีดาษและยังมี DNA ของเชื้อโรคอยู่ แม้จำนวนของมันไม่มากพอที่จะทำให้คนป่วย แต่นี่คือความเป็นไปได้ว่า ‘ในศพ’ อื่นๆ อาจมีอะไรมากกว่านี้ก็ได้
บอริส เคอร์เชนโกลต์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบันค้นคว้าวิจัยชีววิทยาไซบีเรีย เคยให้สัมภาษณ์ว่า นอกจากแอนแทร็กซ์แล้ว ถ้าฝีดาษฟื้นขึ้นมาจากการจำศีล 120 ปี อะไรจะเกิดขึ้น เพราะหลายๆ เมืองของรัสเซียมีศพจำนวนมากที่เสียชีวิตในยุคฝีดาษระบาดถูกฝังไว้ โดยเฉพาะเมื่อระดับน้ำในแม่น้ำโกลีมา (Kolyma) สูงขึ้นจนเอ่อท่วมและกัดกินตลิ่งไปเรื่อยๆ จนถึงสุสานใต้ดินขนาดใหญ่ ไม่นานจากนั้น โรคร้ายก็จะคืนชีพ โชคดีก็กลายพันธุ์ และลอยไปตามน้ำอีกครั้ง
อ้าว…นึกว่าไปแล้ว
นอกจากชั้นน้ำแข็งละลาย น้ำทะเลสูง สภาพอากาศยากจะคาดเดา ภัยแล้ง น้ำท่วม ภัยธรรมชาติ โรคร้ายแรงอีกหลายชนิดที่เราเคยคาดกันว่าหมดจากโลกไปแล้ว ยังรอวันออกปฏิบัติการอีกครั้ง
ปี 2000 ทีมวิจัยจาก Pennsylvania’s West Chester University รายงานการค้นพบสิ่งที่ดูคล้ายสปอร์แบคทีเรียที่ไม่สามารถระบุสายพันธุ์ได้จากซากไดโนเสาร์อายุ 250 ล้านปี เจ้าสิ่งที่ว่านี้ติดอยู่ในฟองอากาศเล็กๆ ในผลึกเกลือ ลึกลงไปใต้ดิน 564 เมตร บริเวณภูเขากัวดาลูเป (Guadalupe Mountains) ในเท็กซัส
ปี 2003 ทีมนักวิทยาศาสตร์ฝรั่งเศสและรัสเซียค้นพบตัวอย่างไวรัสอายุ 30,000 ปีสี่ตัวในชั้นดิน ทั้งหมดยังสามารถแพร่พันธุ์ได้ งานนี้เผยแพร่ในวารสาร National Academy of Sciences of the United States โชคดีที่มันไม่เป็นอันตรายกับมนุษย์
ปี 2013 วารสาร Genome ฉบับเดือนสิงหาคม มีบทความกล่าวถึงบรรดาเชื้อโรคเล็กๆ เหล่านี้ว่าสามารถอยู่ในภาวะเยือกแข็งเป็นเวลานานโดยไม่มีแหล่งอาหารหรือพลังงาน และในชั้นดินโบราณอาจมีจุลชีวันอายุ 3 ล้านปีที่อึดพอจะนำมาปลุกผีในห้องแล็บอยู่ก็ได้
ปี 2015 มีการค้นพบไวรัสอายุ 30,000 ปีในชั้นดิน และไวรัสตัวนี้ยังสามารถสร้างการระบาดได้อยู่ – โชคดีคือว่า มันไม่อันตรายสำหรับมนุษย์
และล่าสุด ที่ลอนดอน มีการขุดพบหลุมฝังศพขนาดใหญ่ของผู้เสียชีวิตจากกาฬโรคเมื่อปี 1665 ในเหตุ ‘The Great Plague of London’ ทำให้ชาวลอนดอนนับแสนตายภายใน 18 เดือน – โชคดีอีกครั้ง เชื้อที่ว่าทิ้งไว้เพียงร่องรอย ส่วนตัวมันได้สละชีพไปพร้อมๆ กับร่างมนุษย์ที่เสียชีวิตเรียบร้อยแล้ว