จ่าพิชิต ขจัดพาลชน “Drama อย่า Addict”

เรื่อง : ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

หลายต่อหลายครั้งที่ จ่าพิชิต ขจัดพาลชน เบื่อเรื่องดราม่า จนพาลจะเลิก www.drama-addict.com  ไปก็หลายครั้ง  แต่จนแล้วจนรอด เขาก็ยังปลีกเวลาอันยุ่งขิงมานั่งเขียน (ย้ำว่าเขียนเองคนเดียว) เกือบทุกวัน

ในแง่ประโยชน์ส่วนตัว นอกจากจ่าจะได้ค่าโฆษณาในระดับมากินขนมนิดๆ หน่อย จ่ายังได้เห็นความบ้าและดราม่า – ในที่นี้แปลว่าการใช้ “ตรรกวิบัติ” ของคนได้ถ่องแท้

แต่ถ้าถามถึงประโยชน์ส่วนรวม จ่าบอกว่า “มันก็เหมือนมอร์ฟีน” ฉีดในปริมาณหนึ่งก็สามารถคุมอาการปวดได้ แต่ถ้าใช้มากเกินไป ความดันที่เคยดันทุรังสูงอาจลดลงต่ำ ระบบประสาทที่เคยเฉลียวฉลาดล้ำลึกก็อาจจำไปสู่อาการเสพติดหรือ addict ได้

จ่าบอกว่าอาการนี้เลิกได้ ถ้ามีสติ

Q: กลุ่มคนอ่านเว็บไซต์ดราม่าแอดดิคเป็นใคร

A: อย่างกว้างๆ อายุ 18-30 ปี แต่จะเน้นช่วง 18-25 วัยรุ่นกับวัยทำงานเป็นพิเศษ ผมวัดด้วยการใช้เฟซบุ๊ค ผู้ชายมากกว่าผู้หญิงนิดนึง แต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าผู้ชายชอบอ่านเรื่องแบบนี้มากกว่า เพราะต่างกันนิดเดียวจริงๆ

Q: เหตุการณ์แรกๆ ที่จ่ารู้สึกว่าดราม่ามากๆ คืออะไร 

A: กรณีคุณน้ำอบในเว็บไซต์พันทิป ที่เที่ยวบอกคนในเว็บว่าตัวเองเป็นนางในใกล้ชิด เอาเรื่องปั้นน้ำเป็นตัวมาเล่าให้ชาวบ้านฟัง จนมีคนจับได้ ด่าทอกันแล้วเอาไปฟ้องร้อง ออกหมายจับแล้ว ตำรวจก็ยังไม่จับซักที หาตัวไม่เจอ แต่ไปโผล่ในทวิตเตอร์นะ

ผมติดตามตลอด คิดว่าถ้าเอามาทำเป็นหนังน่ะ รายได้มหาศาลเลยเพราะเนื้อหาลึกลับซับซ้อนมีตัวเอก ตัวร้าย ตัวอิจฉา แถมเนื้อหาสมจริงสมจังและพิสดาร ขนาดคนพันทิปเองยังติดตามกันเป็นร้อยเป็นพันเลย ถ้าเอามาเขียนเป็นเรื่องเป็นราวน่าจะเวิร์ค

แต่ตอนแรกผมไม่ได้เขียน คอนเซปท์แรกๆ ของเว็บดราม่าคือเว็บ Dig เป็นเว็บที่ดังก่อนทวิตเตอร์ เฟซบุคจะมา ซึ่งเป็นเว็บที่ให้เราเอาเรื่องน่าสนใจไปแชร์ และถ้าคนสนใจจะกดปุ่มขุด (Dig)  อันไหนน่าสนใจ Dig เยอะก็จะขึ้นทอป แต่หลังๆ  เจ๊งไปแล้ว เพราะสู้ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊คไม่ได้

Q: เหตุผลที่ลงมือทำเพราะอะไร

A: ตังค์มันเหลือและว่าง ก่อนหน้าจะทำเว็บดราม่า ผมก็มีดราม่าส่วนตัว เกี่ยวกับเรื่องหน้าที่การงาน ถ้าเคยอ่านพันทิป จะรู้ว่าตอนนั้นผมเขียนเรื่องอยู่เวรที่โรงพยาบาลประมาณ 6 เดือน กำลังเจอปัญหาขาดแคลนบุคคลากร มีผมทำคนเดียว  เข้าเวรอยู่คนเดียว 6 เดือน ไม่ได้หลับได้นอน ข้าวปลาไม่ได้กิน จนทนไม่ไหว โทรไปบอกสาธารณสุขจังหวัดว่าไม่ไหวแล้ว เห็นใจกันบ้าง แต่เค้าพูดมาอยู่คำเดียวว่า ไม่มีหมอ ต้องทำใจ เพราะมันขาดแคลนทั้งประเทศ จริงๆ ไม่ใช่อย่างนั้น เขาสามารถหาเงินมาจัดจ้างได้ แต่ไม่ทำ

สักพักทนไม่ไหว เลยไปตั้งกระทู้ในพันทิปบอกว่า ผมทนมาอย่างนี้ 6 เดือนไม่ไหวแล้ว ปรากฎคนเข้ามาให้ความสนใจเยอะ จนเรื่องถึงปลัดกระทรวง เรียกสาธารณสุขจังหวัดไปพบ เสร็จแล้วเขาก็โทรมาด่าผมเลย  ผมจำประโยคหนึ่งได้ขึ้นใจเลยว่า “คุณเป็นข้าราชการ เป็นข้ารับใช้ของในหลวงนะ คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะทำอย่างนี้”

ผมก็สงสัย  ว่าเหตุผลที่พูดมามันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเลย  อันนี้เรียกว่า “ตรรกวิบัติ” คือ หยิบยกเรื่องที่ไม่มีเหตุผลมาใช้ในการถกเถียง เพื่อให้ตัวเองเป็นฝ่ายชนะ อันนี้คือต้นกำเนิดของเว็บดราม่าเลย

ที่สำคัญเพราะผมเห็นว่ามีคนใช้ตรรกวิบัติ เหตุผลส้นตีนๆ เยอะมาก ระหว่างนั้นผมก็ศึกษาอ่านเว็บพันทิปไปเรื่อยๆ ก็พบว่า เออว่ะ ไอ้พวกที่ใช้ความคิดอย่างนี้มันมีเยอะจริงๆ  เอามาทำเป็นเรื่องเป็นราวดีกว่า

Q: คำว่า “ดราม่า” ผุดขึ้นมาคำแรกเลย? มีคำอื่นร่วมท้าชิงหรือไม่

A: คำแรกเลย เพราะเป็นคำที่ฝรั่งใช้มานานพอสมควร ถ้าสมมติมีคนทะเลาะกันฝรั่งก็จะบอกว่า นี่ ดราม่า แต่ตอนนั้นยังไม่มีคนใช้ความหมายนี้ในประเทศไทย  เพราะในเมืองไทยดราม่าคือละคร

ดราม่าที่จะลงเว็บดราม่าได้ คือ เป็นการถกเถียงกันอย่างไร้สาระ ถ้าเถียงกันอย่างมีสาระ มีเหตุผลจะไม่เข้าข่ายเพราะเป็นเรื่องที่เข้าใจกันได้ สามารถแก้ปัญหาร่วมกันได้ แต่ดราม่าต้องเอาแต่ใจ เอาตัวเองถูกเป็นหลัก เถียงกันไปไม่ยอมแพ้

Q: ดราม่าสุดๆ ในความคิดจ่าคือเรื่องอะไร

A: สุดชีวิตเลย คือ คราวดอยของ อันนั้นเป็นอะไรที่น่ารังเกียจที่สุด เป็นดราม่าที่อินที่สุดเท่าที่เคยเขียนมา

เรื่องของเด็กมหิดล ไปเป็นอาสาตอนน้ำท่วมที่ธรรมศาสตร์ แล้วไปขโมยของบริจาคกลับบ้าน โดยใช้ศัพท์น่ารักๆ ว่าดอยของ บอก ใครๆ เค้าก็ทำกัน แล้วยังตั้งกระทู้ เอาภาพตัวเองมาอวด ว่าตัวเองเป็นฮีโร่ เป็นอาสาสมัครช่วยน้ำท่วม โพสต์ภาพตัวเองอย่างหล่อเลย คนก็เข้ามาชาบู(บูชา) ชื่นชม ศรัทธา ทำไปสักพักเริ่มมีคนมาแย้งว่า ไม่จริงอะ มึงน่ะอู้ เวลาอยู่ในศูนย์ก็ไม่ทำงานทำการ เอาแต่เลือกของกลับบ้าน

พอถูกแฉ ไอ้นี่ก็ไม่พอใจ ก็แฉกลับ ไม่ใช่กูคนเดียวที่ทำ เด็กมหาลัยธรรมศาสตร์ทำกันหมดทุกคน เลยเถียงกันไปเถียงกันมา แต่ประเด็นก็คือ ทั้งสองฝ่ายเถียงกันโดยยอมรับว่าทั้งคู่ขโมยของออกจากศูนย์ และเป็นสิ่งที่ทำได้ ไม่ผิด แล้วก็เป็นข่าวใหญ่โต แต่ที่บัดซบที่สุด พอเป็นข่าว อธิการบดีรู้ อธิการบดีบอก เรื่องเล็กน้อย ไม่ต้องเอาผิดใคร

นี่เป็นเรื่องที่บัดซบที่สุดที่เคยเขียนมา คือถ้าคนเป็นครูบาอาจารย์ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรดี อะไรถูก เด็กมันก็เป็นอย่างนี้

Q: ดราม่า ทำไมต้อง addict

A: ไม่รู้เหมือนกันมันวาบขึ้นมา เว็บนี้รวบรวมเอาเรื่องดราม่าที่ทำให้คนอ่านแล้วเสพติด คนติดงอมแงม ไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนมากกว่านี้

Q: แล้วจ่าเสพติดหรือเปล่า

A: จริงๆ ไม่ ผมเบื่อมากเลย แรกๆ ก็มันส์อยู่ หลังๆ เบื่อ คิดดูสิการที่ต้องมานั่งอ่านคนงี่เง่าทะเลาะกันทุกวัน หลายปี มันน่าเบื่อไหม น่าเบื่อชิบเป๋งเลย แบบ เฮ้ย มึงเขียนเหี้ยอะไรกันเนี่ย แต่ก็ต้องเขียน เพราะคนรออ่านอยู่เยอะ

Q: ทำเรื่องดราม่า หายเครียดไหม

A: ถ้าได้ด่าชาวบ้าน บางทีก็หายเครียดอยู่ แถมด่าชาวบ้านแล้วได้เงินด้วย อันนี้เป็นเรื่องที่ดีมาก

Q: จริงๆ คนอ่านเพื่อความบันเทิง? 

A: สองอย่าง อ่านเพื่อความบันเทิง กับ อ่านเป็นคติสอนใจ ไม่ให้ตัวเองทำตัวซ้ำรอยพวกดราม่าก็ได้ อยู่ที่คนอ่านเองว่าจะเอาไปใช้แบบไหน

Q: ถ้า addict ใครเป็นผู้ผลิต ผู้ขาย และผู้เสพ

A: คำว่า addict มันอยู่ที่ระดับ ระดับแรก – รู้สึกว่าต้องพึ่งพิงมัน ต่อมา ขาดไม่ได้  ระยะสุดท้าย คือ หามาขาย ผมคือระยะสุดท้าย

Q: ไม่จำเป็นใช่ไหมว่าใครเข้าไปอ่านต้อง addict กันทุกคน

ไม่จำเป็น อ่านคลายเครียดก็ได้ อ่านกันเรื่อยๆ

Q: เคยโดนขู่จะฟ้องด้วย?

A: โดนขู่ไม่หยุด แต่ไม่เคยโดนฟ้อง เพราะส่วนมากเราให้ความร่วมมือ บางทีก็เจรจากันได้ บางทีตำรวจมาขอความร่วมมือ ขอข้อมูลกับเรา เราก็ให้ความร่วมมือ อย่างคดีฟ้องร้อง ตำรวจจะกันเว็บดราม่าไว้เป็นพยาน

เวลาเขียนผมจะพยายามดูให้ชัดเจนว่าเราหมิ่นใครหรือเปล่า เราต้องรู้คอมเมนท์ในเว็บตัวเองตลอดเวลา ผมใช้โทรศัพท์ติดตามความเคลื่อนไหวของเว็บดราม่าตลอด ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นผมก็ลบทิ้งได้เลย ในเฟซบุ๊ค ผมใส่ตัวกรองคำที่เกี่ยวกับการหมิ่นประมาม หมิ่นพระบรมเดชานุภาพเอาไว้ ประมาณ 40 คำ มันจะกรองได้หลายชั้นอยู่แล้ว ต้องระวังตัว

Q: รู้สึกว่ามีคนบ้ามากขึ้นไหม

A: (หัวเราะ) หลังๆ นี่บ้ามากขึ้น แรกๆ ผมคิดว่าเราเอาดราม่าที่มีมานำเสนอ เลยดูเยอะขึ้น แต่ไม่ใช่แล้วว่ะ หลังๆ ผมว่ามันบ้าขึ้นอย่างชัดเจน คือคุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว เหมือนคุยกันคนละภาษา

Q: บอกว่าเป็นผลจากการเมือง?

A: อย่างแรกเลย แนวคิดแกนนำทั้ง 2 ฝ่าย คือ พันธมิตรและนปช. เค้าไม่ต้องการให้คนของเค้าคิด แต่ต้องการให้คนเชื่อ ถ้าต้องการให้คนเชื่อมากๆ ต้องไม่ให้คนคิด เชื่ออย่างเดียว พวกนี้จะพูดย้ำเรื่องเดิม กรอกหูอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่ง มวลชนของแต่ละฝ่าย ไม่มีใครแยกแยะได้ว่า อะไรถูกอะไรผิด มันเชื่ออย่างเดียวเลย ผมว่าเป็นเรื่องน่ากลัวมาก

ดังนั้นเว็บดราม่า อันดับแรกเลย อย่าเชื่อผม ให้คิดเอาเอง และแสดงความเห็นกันอย่าคล้อยตาม อย่าเชื่อผม เพราะการที่มีคนคล้อยตามหรือเชื่อที่เราพูดมากๆ โคตรน่ากลัวเลย

Q: การทำเว็บ เหมือนเอาความเครียดและความบ้าของแต่ละคนมารวมกัน

A: ประมาณนั้น อย่างแรกคือ มันเป็นพื้นที่ที่สามารถแสดงความบ้าได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องกลัวเสียภาพพจน์ ไม่เหมือนเว็บพันทิป อยากพูดอะไร จัดมา ขอแค่อย่าผิดกฎหมายก็พอ ถึงจะด่าแอดมินไม่มีการลบคอมเมนท์แน่นอน ยกเว้นด่ามาตรา 112 (หัวเราะ)

Q: เคยมีกรณีเถียงกันในเว็บแล้วออกไปมีเรื่องกันข้างนอกไหม

A: มี ตอนแรกเป็นคนในเว็บผมแล้วออกไปทะเลาะกันเค้า เลยออกกฎห้าม แต่ถ้าเป็นคนนอกเว็บบอร์ด แล้วไปดราม่า ทะเลาะต่อยตีอะไรกันต่อ อันนี้ผมรับผิดชอบไม่ได้ ผมรับผิดชอบได้แค่คนในเว็บบอร์ดที่ฟังผมอยู่

Q: ทราบว่ามีคนจ้างให้เขียนโฆษณาด้วย

A: ใช่ ให้เขียนรีวิว หรือให้เขียนดราม่าโฆษณาเพื่อโปรโมทสินค้าให้เค้า อันนี้ผมบอกเลยว่าถ้าทำอย่างนี้เสี่ยงมาก อย่างแรกคือเสี่ยงทำให้สินค้าแรงดิ่งเหวไปเลย เพราะการเอาดราม่ามาใช้ในการโฆษณา ถ้าคุมไม่อยู่ จะเป็นภาพลบกับแบรนด์อย่างสุดๆ

ถ้าจะทำจริงๆ ไปจ้างพวกเอเจนซี่ทำไวรอลมาร์เก็ตติ้งดีกว่า ถ้าออกแบบดีๆ มันได้และไม่มีผลเสียกับแบรนด์มาก

Q: แสดงว่ามีคนเริ่มจับได้แล้วว่า ดราม่า เอาไปขายของได้

A: ใช่ เป็นรายได้ เพราะทุกวันนี้การทำไวรอลมาร์เก็ตติ้ง เน้นดราม่า ทุกวันนี้ไวรอลมาร์เก็ตติ้งอยู่รอบตัวเราแต่เราไม่เห็นเท่านั้นเอง เช่น แมกนั่ม

Q: ดราม่าก็ลึกลับ ซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ

A: ใช่

Q: จะมีอะไรที่ดราม่าจริงๆ โดยไม่มีวาระซ่อนเร้นไหม

A: มี แต่ส่วนมากจะเป็นเรื่องการร้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องผลิตภัณฑ์ไม่ดี อันนี้จะเป็นดราม่าตายตัว ตรงไปตรงมา ผมคิดว่าถ้าบริษัทสามารถแก้ปัญหาการร้องเรียนของผู้บริโภคได้ มันจะเป็นผลดีกับแบรนด์มากกว่า

Q: คนที่อยู่ใน Position อย่างจ่าถือว่าคุมคนได้จำนวนหนึ่งเลย?

A: ไม่อะ ผมไม่คุมใคร การที่จะให้คนคล้อยตามเราหรือเชื่อเรา มันอันตราย สิ่งที่ผมเขียนถือเป็นความรับผิดชอบของผม หลังจากนั้นใครจะเอาไปทำอะไร รับผิดชอบกันเอง โตๆ กันแล้ว

ผมเคยบอกทุกคนที่มาติดต่อโฆษณาแนวนี้ มันไม่สามารถคุมได้ว่า ผลออกมาจะเป็นด้านบวกหรือด้านลบกับแบรนด์ อย่าเสี่ยงดีกว่า

ผู้บริโภคต้องมีภูมิคุ้มกัน ต้องแยกแยะได้ คิดให้เยอะๆ อย่าเชื่ออะไรมาก ใครพูดอะไรมาก็ฟังหูไว้หู คิดหลายๆ รอบหน่อย ไม่ใช่ว่า ใครพูดอะไรมา แชร์ภาพ 1 บาท 1 like แชร์แม่งหมดเลย อันนี้ปัญญาอ่อนเกินแล้ว

Q: ทุกวันนี้ ดราม่า คือหน้าที่แล้ว

A: จริงๆ ถ้าเลือกได้ ผมอยากปิดเว็บเหมือนกันนะ แต่เพราะคนรออ่านเยอะ หลังๆ ก็เลยเขียนไปเรื่อยๆ

ทำไมถึงอยากปิด เพราะบางทีผมอยากพักผ่อน ไปเที่ยวต่างประเทศไกลๆ ทำอย่างนั้นต้องปิดเว็บนานเลย บางทีวันหยุดผมอยากไปเที่ยวแพคกระเป๋าขึ้นเขาบ้าง

Q: ทำไมไม่ปั้นตัวแทนขึ้นมา

A: เคยทำแล้ว พอเขียนปุ๊บโดนฟ้องเลย เพราะเนื้อหาข้ามเส้นไปแล้ว แต่เวลาผมเขียน ผมจะอยู่บนเส้นระหว่างหมิ่นประมาทกับวิจารณ์ ผมจะเกือบๆ ข้ามเส้น
ต้องใช้เซนส์ และเห็นการหมิ่นประมาทมาเยอะ จะรู้ว่าเราจะไม่ข้ามเส้นนั้นตรงไหน ยังไง ระหว่างทำเว็บดราม่าผมศึกษากฎหมาย และ ปรึกษาทนายมาเรื่อยๆ

Q: ความสนุกของการได้เขียนคืออะไร 

A: ถ้าเป็นเรื่องอินๆ ผมเขียน อ่านแล้วก็สนุกดี ก็โอเค แต่บางอันก็เขียนไปงั้นๆ ไม่คิดอะไรมาก แต่บางอันเขียนแบบระอา

ดราม่ามีทุกวัน ปัญหามีอยู่ว่า คุณภาพถึงหรือเปล่า บางวันไม่ถึงผมก็ไม่เขียน น่าเบื่อ

Q: มาตรฐานและคุณภาพอยู่ตรงไหน

A: ถ้าผมอ่านแล้วรู้สึกสนุก ผ่าน ถ้าไม่สนุกก็ไม่ผ่าน บางวันถ้าไม่มีก็เอาเรื่องไม่สนุกมาเขียนก็ได้วะ แต่จัดให้มันแรงๆ ไปเลย

Q: ทำไมดราม่าไปปรากฎอยู่ในเว็บบอร์ดเป็นส่วนใหญ่

A: ถ้ามีคน ก็ต้องมีดราม่าเกิดขึ้น เพราะเป็นเรื่องการขัดแย้งกันระหว่างคน  อยู่ที่ว่าจะใช้เหตุผล ตรรกะที่ดีหรือเปล่า อย่างที่เกิดขึ้นมากมายเพราะคนไทยไม่ใช้เหตุผล ใช้อารมณ์นำ เลยเกิดดราม่าขึ้นทุกที่

Q: เวลาคำพูดของคนผ่านไปยังสื่อออนไลน์ เช่น เฟซบุค ทวิตเตอร์ เว็บบอร์ด คนจะคิดง่ายกว่าพูด จริงๆ หรือเปล่า

A: ต้องมองในมุมของคนที่เล่นเน็ตด้วย คนเล่นเน็ตมี 2 แบบ แบบแรกคือ เค้าจะมองว่าอินเตอร์เน็ตเป็นโลกที่ไม่ใช่ชีวิตจริง เค้าจะทำอะไรก็ได้ เป็นคนดีหรือเหี้ยสุดชีวิตก็ได้ แต่อีกกลุ่มจะมองว่าอินเตอร์เน็ตคือชีวิตจริงของเค้า เป็นเพียงช่องทางหนึ่งในการสื่อสาร คนกลุ่มนี้จะทำเหมือนในชีวิตจริง เขียนก็เขียนเหมือนอย่างที่คิด เหมือนอย่างที่พูดในชีวิตจริง เพราะเขาเข้าใจว่าถ้าทำอะไรผิดพลาดในนี้ จะมีผลกับชีวิตเค้าและมีผลทางกฏหมายด้วย

เมื่อก่อนกลุ่มแรกมีมากกว่า แต่ตอนนี้กลุ่มหลังมีมากขึ้นแล้ว ปัจจุบันแนวโน้มที่แตกต่างกันก็ลดลง ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ค เป็นแค่ช่องทางสื่อสารเหมือนโทรศัพท์

Q: แสดงว่าถ้ามีดราม่าในเว็บบอร์ดก็จะกลายเป็นดราม่าในชีวิตจริงแล้ว?
A: ถูกต้อง

Q: แต่ถ้าเวลาคนออกมาเจอหน้ากัน ก็จะไม่ดราม่ากัน?

A: ก็ไม่เชิง ที่การเมืองหนักๆ ทุกวันนี้ก็เพราะดราม่าไม่ใช่เหรอ

กรณี กรณ์ กับ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ คู่นี้ก็เคยดราม่ากัน ชีวิตจริงก็ด่ากัน พอมีเฟซบุ๊ค ยิ่งด่ากันง่ายเข้าไปใหญ่ ไม่แตกต่างอะไรมากเพราะเป็นช่องทางสื่อสารหนึ่งเท่านั้นเอง แทนที่จะไปด่าตามสื่อก็จะๆ ในทวิตเตอร์ เฟซบุ๊คเลย

คือคนจะดราม่ากัน ไม่ว่าสื่อไหนก็ทำได้ ถ้ามีแค่กระดานชนวนอยู่หน้าหมู่บ้าน ก็ไปเขียนด่ากันได้ ส่วนคอนเซปท์ผม ก็ไปเอากระดานชนวนนั้นมาเขียนต่ออีกรอบหนึ่ง

Q: ประโยชน์เว็บดราม่าแอดดิคคืออะไร

A: มีรายได้ ส่วนประโยชน์ต่อคนอื่นๆ ไปคิดกันเอาเอง เหมือนมอร์ฟีน ถ้าฉีดในระดับหนึ่งก็สามารถคุมอาการปวดได้ ถ้าใช้เกินก็จะความดันต่ำ มีอาการทางระบบประสาท ติดยาได้ อยู่ที่คนนำไปใช้ ผมให้เว็บดราม่าไปแล้ว ให้สังคมไปแล้ว ใครจะเอาไปใช้อะไรก็เรื่องของคุณ แต่ผมรับผิดชอบในส่วนของผมว่าจะไม่ให้ดราม่าล้ำเส้น ใครจะเอาไปใช้ยังไง ไม่เกี่ยวกับผมแล้ว

Q: คิดจะทำต่อไปเรื่อยๆไหม

A: จนกว่าจะหมดแรง (ตอบทันที)  จนกว่าประเทศไทยจะแยกเป็น 2 รัฐ ผมว่าแยกแน่นอนแต่ไม่รู้เมื่อไหร่ ถ้าถึงจุดนั้น ผมไม่รู้ว่าเว็บดราม่าและประเทศไทยจะเป็นยังไงต่อ ไม่สงครามกลางเมืองก็แบ่งแยกดินแดน

Q: การที่ประเทศคลี่คลายได้ต้องเกิดสงครามกลางเมืองก่อน ?

A: ไม่ ไม่เกิด ถ้าเกิดสงครามกลางเมืองเมื่อไร ประเทศฉิบหายทันที เอาแกนนำ มวลชนทั้งหมดมาจับเข่าคุยกัน ว่าเราจะเอายังไงต่อไปกับประเทศไทย ถ่าด่ากันไปด่ากันมาอย่างนี้ ไม่มีทางลงเอยกันได้ ตราบใดที่แกนนำทั้งสองฝ่ายไม่เลิกปลุกปั่นให้คนเชื่อ แต่ต้องให้คนคิดและกลับมานั่งคุยกัน

อย่างแนวทางของรัฐบาลตอนนี้ที่โดนด่าเพราะมัดมือชก ปรองดองๆ นี่ไม่ใช่ เพราะการปรองดองต้องเกิดจากความเข้าใจ อย่างรวันด้าที่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันหลายแสนคน แต่พอเกิดการเลี่ยนแปลงทางการเมือง คนที่เคยฆ่าอีกชนเผ่าหนึ่ง มานั่งคุยกัน  ให้เขาสารภาพผิด และทำความเข้าใจกับญาติของคนที่เขา จากนั้นให้เค้าเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม พอออกมาก็กลับมาอยู่ร่วมกันได้เพราะเขาเข้าใจกัน ไม่ใช่มัดมือชกให้ทุกคนปรองดองกัน

ประโยคให้คนไทยรักกัน ปรองดองกัน ผมโคตรเกลียดเลย มันดัดจริตมาก ไม่ช่วยแก้ปัญหาแต่เอาปัญหาไปซุกไว้ใต้พรม  รอให้มันระเบิดออกมา ทุกวันนี้ต้องหันหน้าเข้าหาความจริงและเผชิญหน้ากัน กล้าพูดถึงระบบสถาบัน ถ้าสังเกตหลังๆ เว็บดราม่าเสนอเรื่องสถาบันบ่อยขึ้น ในประเด็นรักมากเกินไปหรือต่อต้านสถาบันมากเกินไป ผมเขียนดราม่าทั้งสองฝ่าย ฝ่ายที่รักคือรักแบบบ้าคลั่ง ใครพูดอะไรหาว่าหมิ่นไปหมด เรื่องโกหกอย่างดาไลลามะก็ยังเชื่อเป็นตุเป็นตะ แล้วก็ด่า ขณะที่พวกล้มเจ้าก็ให้ร้ายมากมาย เช่น พวกที่โพสต์เรื่องน้ำท่วมเพราะในหลวงไม่ใหสร้างเขื่อน อันนี้อุบาทว์ เพราะในหลวงเป็นเจ้าของนโยบายสร้างเขื่อนเยอะมาก

พวกล้มเจ้า กับ คลั่งเจ้า ต้องหาจุดยืนที่ลงตัวกัน คุยกันหาทางออกซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ให้ออกนอกประเทศ ยิ่งทำให้ขัดแย้งรุนแรงกันมากขึ้น

Q: จ่าเคยโดนเอาเข้าพวก?

A: มี โดนเอาเข้า นปช.ประจำ ก่อนหน้านี้ผมเคยเชื่อเพื่อไทย แต่พอเห็นนโยบายหลายอย่าง ตาสว่างเลยเว้ย ไม่มีพรรคไหนจริงใจกับประชาชนซักคน ผมก็ถอยออกมาและวิจารณ์ไปตามเรื่องตามราว ไม่เข้าข้างใคร

ผมอยากให้ทุกคนถอยออกมาจากจุดที่เชียร์แบบไม่ลืมหูลืมตา แล้วกลับมามองว่าคนที่เราเชียร์อยู่ มันทำเพื่ออะไร เพื่อตัวเอง เพื่อพรรคตัวเองหรือนักการเมืองหรือเปล่า

Q: ที่บอกว่า drama addict เป็นยา จริงๆ เป็นวัคซีนเพิ่มภูมิคุ้มกันให้คนด้วยใช่ไหม

A: เป็นแอนตี้บอดี ให้คนรู้ว่าเกิดอะไร ไม่ควรทำอะไร แต่ถ้าทำตามก็ตัวใครตัวมันนะ

Author

WAY

Author

กองบรรณาธิการ
ทีมงานหลากวัยหลายรุ่น แต่ร่วมโต๊ะความคิด แลกเปลี่ยนบทสนทนา แชร์ความคิด นวดให้แน่น คนให้เข้ม เขย่าให้ตกผลึก ผลิตเนื้อหาออกมาในนามกองบรรณาธิการ WAY

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า