เป็นที่ทราบกันดีว่า ร้อยละ 90 ของแปลงปลูกข้าวโพดและถั่วเหลืองทั่วสหรัฐเป็นพืชดัดแปรพันธุกรรม ไข่ นม และเนื้อในท้องตลาด ล้วนใช้ข้าวโพดและถั่วเหลืองดังกล่าวเป็นอาหารเลี้ยง นอกจากนี้ น้ำมันถั่วเหลืองและแป้งข้าวโพดที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารก็รับรองได้ว่าไม่ปลอด GMO แน่นอน
เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้บริโภคในสหรัฐส่วนใหญ่แทบจะเรียกได้ว่าอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการบริโภคพืชดัดแปรพันธุกรรมได้เลย
สหรัฐกับฝันที่เป็นจริง
อาจเป็นความหวังเล็กๆ ของอเมริกันชน ที่มีบริษัทซัพพลายเชน นาม Clarkson Grain ที่ดำเนินกิจการเกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์มาประมาณ 40 ปี และเมื่อปี 2003 ลินน์ คลาร์กสัน เจ้าของและผู้ก่อตั้ง เริ่มปรับเปลี่ยนมารับผลผลิตที่เป็นอินทรีย์ และที่สำคัญ ปลอด GMO
ไม่นานมานี้ คลาร์กสันเพิ่งได้รับโทรเลขขอบคุณจากลูกค้าต่างชาติรายแรกส่งตรงมาจากญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นคำชมครั้งแรกที่บริษัทของเขาได้รับในรอบ 20 ปีที่ทำธุรกิจด้านนี้มา
“เราส่วนใหญ่ก็ต้องการเงิน แต่อย่างไรเราก็ต้องการทำให้ผู้คนประทับใจด้วยเช่นกัน” ลินน์ คลาร์กสันเน้นว่าธุรกิจของเขาให้ความสำคัญกับผลกำไรก็จริง แต่ความสัมพันธ์กับทั้งเกษตรกรและลูกค้าผู้จัดจำหน่ายตลอดสายพาน ก็เป็นสิ่งที่คลาร์กสันต้องการรักษาให้ยั่งยืน
ชาวไร่ส่วนใหญ่ที่เป็นคู่สัญญากับ Clarkson Grain ล้วนมีพื้นที่เกษตรไม่ไกลจากบ้านเกิดของคลาร์กสัน ในหมู่บ้านเซร์โร กอร์โด เมืองไพแอตต์เคาน์ตี้ รัฐอิลลินอยส์
นี่คือความมุ่งมั่นของบริษัทสหรัฐที่ยืนยันหนักแน่นว่า รับเฉพาะเมล็ดพันธุ์ปลอด GMO เท่านั้น เพราะนั่นคือสิ่งที่ลูกค้าต้องการ
GMO หรือปลอด GMO ดูอย่างไร
ในสหรัฐ คำว่า ‘ปลอดจีเอ็มโอ’ (GMO-free) หมายถึงอนุญาตให้มีส่วนประกอบของพืชดัดแปรพันธุกรรมได้ไม่เกินร้อยละ 0.9
คำถามก็คือ เราจะแยกพืชที่เป็น GMO หรือปลอด GMO ได้อย่างไร
ก่อนที่ผลผลิตข้าวโพดและถั่วเหลืองจะผ่านเข้ามาในโรงงานแปรรูปของ Clarkson Grain ต้องผ่านกรรมวิธีทดสอบการปนเปื้อนของ GMO ด้วยชุดทดสอบที่ทางบริษัทพัฒนาขึ้น ภายใน 5 นาทีจะทราบผลทันทีว่าข้าวโพดหรือถั่วเหลืองดังกล่าวมีส่วนประกอบของโปรตีนที่เป็นข้อบ่งชี้ของการดัดแปรพันธุกรรมหรือไม่ ถ้ามีจะได้ผลทดสอบเป็นบวก
เพราะละอองเกสรจากดอกข้าวโพดสามารถปลิวไปได้ไกล เกษตรกรจึงต้องแน่ใจว่า แปลงปลูกปลอด GMO ของตนห่างจากแปลงที่เป็น GMO อย่างต่ำ 100 ฟุต (30 เมตร)
นอกจากต้องระวังเรื่อง GMO แล้วชาวไร่ยังต้องระมัดระวังการป้องกันข้าวโพดจากแมลงและศัตรูพืชด้วยสารฆ่าแมลง เพราะอาจทำให้ผลทดสอบเป็นบวกได้เช่นกัน หากทางเจ้าหน้าที่ของ Clarkson Grain พบผลทดสอบเป็นบวกเมื่อไหร่ ผลผลิตล็อตนั้นจะถือว่าใช้ไม่ได้และรถขนผลิตผลคันดังกล่าวจะต้องตีกลับไปยังเกษตรกรต้นทาง
อนาคตปลอด GMO ยังมีหวัง
ในฐานะผู้จัดจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ประจำเมืองที่ธุรกิจมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง คลาร์กสันพยายามหาแหล่งผลิตรายใหม่เพื่อป้อนพืชพันธุ์แก่บริษัทอยู่เรื่อยๆ เขาขับรถไปคุยกับบริษัทอาหารที่ชิคาโก ซึ่งห่างออกไปทางเหนือราว 170 ไมล์ (ประมาณ 275 กิโลเมตร) และได้ทราบว่า ทางเหนือก็กำลังประสบปัญหาด้านมาตรฐานผลผลิต
ถ้าถามเรื่องนี้กับผู้ผลิตอาหารทั่วโลก ร้อยละ 90 จะตอบคุณว่า วัตถุดิบที่เข้ามาในบริษัทมีความแตกต่างหลากหลายกันอย่างมาก ไม่ใช่ในแง่คุณภาพ – แต่เป็นชนิดพันธุ์ และคุณสมบัติที่ไม่ใช่พิมพ์เดียวกัน ซึ่งในแง่อุตสาหกรรมจำเป็นต้องควบคุมคุณภาพผลผลิตให้คงที่มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เมื่อการขนส่งครั้งหนึ่ง มีความหลากหลายของพันธุ์ข้าวโพดครั้งละ 30 ชนิด คลาร์กสันจึงเสนอทางแก้ว่า บริษัทจะซื้อครั้งละชนิดเดียว พันธุ์เดียว แล้วขนส่งไปในแต่ละเที่ยว จะไม่เอามาปะปนกัน เพื่อผลของการแปรรูปที่ได้มาตรฐานเดียวกันทั้งล็อต
Clarkson Grain ผู้จัดจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ และป้อนวัตถุดิบให้กับอุตสาหกรรมอาหารทั้งคนและสัตว์ ทางบริษัทรับจัดหาวัตถุดิบ โดยเฉพาะข้าวโพดและถั่วเหลืองจากเกษตรกรในสหรัฐและแคนาดา
ความต้องการพืชปลอด GMO เพิ่มขึ้นทุกปี คลาร์กสันบอกว่าในปี 2015 บริษัทจะเพิ่มการรับซื้อผลผลิตขึ้นอีกร้อยละ 25
บริษัทอาหารในยุโรปก็มีความต้องการปรับเปลี่ยนวัตถุดิบเป็นข้าวโพดปลอด GMO เช่นกัน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเริ่มต้น หากเมล็ดพันธุ์ล็อตแรกผ่านการตรวจสอบคุณภาพ ยอดสั่งซื้ออาจเพิ่มขึ้นเป็น 100-120 คอนเทนเนอร์ภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า
กิจการของลินน์ คลาร์กสัน อาจเป็นต้นแบบและช่วยกรุยทางให้กับธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่ต้องการต้อนรับ GMO ในโลกที่กำลังจะกลายเป็นตลาดอาหารที่มีวัตถุดิบ GMO เป็นหลัก โดยไม่มีทางอื่นให้ผู้บริโภคได้มีสิทธิ์เลือกใบนี้
ที่มา: npr.org