ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์
ถ้าหากเส้นทางประวัติศาสตร์มัน ‘เดินเป็นเส้นตรง’ เลือดและน้ำตาของใครต่อใครที่อุตส่าห์ลงทุน ลงแรง กันมาโดยตลอด จนเกิดความเป็นรัฐ เป็นชาติ เป็นประเทศ มันน่าที่จะผลิดอกออกผล เติบโตและพัฒนาไปสู่ความเป็นสหภาพ สหรัฐ หรือความเป็นหนึ่งเดียวโดยมีรัฐบาลโลกเป็นผู้ปกครองในท้ายที่สุด
แต่ดูเหมือนว่าประวัติศาสตร์จะ ‘เดินเป็นวงกลม’ หรือเดินเป็นวัฏจักร วงจร เหมือนกับการหมุนของล้อเกวียน จักรวรรดิอันเคยยิ่งใหญ่เกรียงไกรในอดีต ไม่ว่าจะเป็น อียิปต์ บาบิโลน เปอร์เซีย กรีก โรมัน มาจนกระทั่งจักรวรรดิอังกฤษซึ่งเคยได้ชื่อฉายาถึงขั้น ‘จักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน’ มาบัดนี้…ต่างแตกกระจัดกระจาย กลายเป็นประเทศต่างๆ จนแทบจดจำเค้าโครง รูปร่างหน้าตา ในอดีตแทบไม่ได้
แม้กระทั่งจักรวรรดิสังคมนิยมโซเวียต ที่เคยแผ่อิทธิพลครอบงำประเทศต่างๆ เกือบครึ่งโลก ทุกวันนี้แทบไม่เหลือคราบไคลของความเป็นจักรวรรดิเอาไว้อีกต่อไป เหลือแต่ประเทศรัสเซียที่ต้องวุ่นวายอยู่กับการสู้รบปรบมือกับพวกกบฏ หรือพวกที่คิดจะแยกดินแดนออกไปจากรัสเซีย หลังจากที่ไม่รู้กี่สิบต่อกี่สิบประเทศได้แยกตัวออกไปแล้วก่อนหน้านี้
จักรวรรดิทุนนิยมอย่างสหรัฐอเมริกาเองก็เถอะ นักวิเคราะห์ทางด้านประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และอนาคตศาสตร์จำนวนไม่น้อย แม้แต่ที่เป็นชาวอเมริกันเอง ยังมองเห็นถึงความเป็นไปได้ภายในอนาคตอันใกล้ ที่จักรวรรดิทุนนิยมแห่งนี้ อาจต้องแตกออกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นประเทศอิสระไม่ต่างอะไรไปจากที่จักรวรรดิสังคมนิยมโซเวียตเคยเผชิญมา
หรือกระทั่งประเทศจีน ที่แม้จะอยู่ยง คงทน มาอย่างต่อเนื่องยาวนานนับเป็นพันๆ ปี อาศัยบุญเก่าซึ่งถูกสร้างสมไว้ในอดีต ไม่ว่ามรดกทางประวัติศาสตร์ การประดิษฐ์คิดค้นทางภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณี รวมทั้งระบบรวมศูนย์อำนาจ เป็นเครื่องประคับประคองหล่อเลี้ยงความเป็น ‘จีนเดียว’ มาได้โดยตลอด
แต่ถ้าหากวันหนึ่งวันใดที่บรรดากุมารจีนผู้เติบโตขึ้นมาบนกองเงินกองทอง ท่ามกลางความมั่งคั่งอันเนื่องมาจาก ‘ระบบทุนนิยมที่มีลักษณะพิเศษ’ หรือ ‘ระบบสังคมนิยมที่มีลักษณะพิเศษ’ เกิดโหยหาความเป็นประชาธิปไตย หรือระบอบประชาธิปไตยตามมาตรฐานสากลขึ้นมาจริงๆ โอกาสที่เราจะได้เห็น ‘แผ่นดินใหญ่’ ของจีน แตกกระจัดกระจายออกไปเป็นประเทศฮ่องกง ไต้หวัน หนิงโป ประเทศยูนนาน ประเทศซินเจียง หรือประเทศอุยกูร์สถาน ฯลฯ ใช่ว่าจะไม่มีเอาเสียเลย
การที่ความเป็นไปของโลกมันสวนทางกับความเชื่อเดิมๆ คือแทนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะค่อยๆ ไหลรวมกันเป็นหนึ่งเดียว กลับเกิดการแตกกระจัดกระจายกลายเป็นรัฐเล็กรัฐน้อย หรืออาจไปไกลถึงขั้นหวนกลับไปสู่สภาพดั้งเดิมชนิดต้องแยกย่อยออกเป็นชุมชนต่างๆ แบบเดียวกับสังคมชุมชนเมื่อครั้งอดีต กลายเป็นสังคมที่ไม่มีรัฐปกครอง จึงเป็นเรื่องที่อาจเป็นไปได้
เพราะถ้าหากมองถึงความเป็นไปของโลกทุกวันนี้ ดูเหมือนว่าประเทศต่างๆ หรือรัฐชาติต่างๆ ชักจะออกอาการเสื่อมโทรม ทรุดโทรม ทำท่าว่าใกล้จะหมดสภาพลงไปทุกที ไม่ว่าจะมองกันในแง่การเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคมก็ตาม โดยเฉพาะเมื่อ ‘โลกาภิวัตน์ยุคใหม่’ ได้ทำให้อำนาจรัฐแต่ละรัฐ มักหนีไม่พ้นต้องถูกควบคุม ถูกจำกัด ถูกแทรกแซง ขัดขวาง ด้วยอำนาจ อิทธิพล และผลประโยชน์ของบรรษัทข้ามชาติ ที่มีสถานะไม่ต่างอะไรไปจาก ‘รัฐบาลโลก’ ไปแล้วในทุกวันนี้…
ความพยายามรวมตัวกันทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ในยุโรปจนกลายมาเป็นสหภาพยุโรปเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา…แต่เมื่อมาถึงทุกวันนี้ หรือในวันที่ภาวะวิฤติเศรษฐกิจกำลังลุกลามไปทั่วทั้งยุโรป สภาวะเช่นนี้ได้ก่อให้เกิดความไม่พอใจต่อชาวยุโรปในแต่ละประเทศเป็นจำนวนไม่น้อย จนการคิดแยกตัวกลับไปสู่ความเป็นประเทศในลักษณะเดิมๆ ชักจะกลายเป็นที่เพรียกหามากขึ้นเรื่อยๆ
ตลอดจนกลุ่มคนซึ่งเกิดความไม่พอใจทั้งต่อความเป็นสหภาพยุโรป รวมทั้งความทรุดโทรม เสื่อมโทรม ภายในประเทศของตัวเอง ถึงขั้นอยากจะล้มเลิกความเป็นประเทศ หรือความเป็นรัฐลงไปโดยสิ้นเชิง ก็กำลังปรากฏตัวให้เห็น อันเป็นที่รู้จักกันในนามพวกอนาร์คิสต์ (Anarchist) ยุคใหม่นั่นเอง
ความคิดและความรู้สึกของคนเหล่านี้ แพร่ออกไปในพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะในโลกที่ไม่มีรัฐ ไม่มีพรมแดน เขตแดน หรือในโลกออนไลน์ทั้งหลาย ก่อให้เกิดพลังในการลุกขึ้นมาต่อต้านพรรคการเมืองแทบทุกพรรค ไม่ว่าฝ่ายค้านหรือรัฐบาลที่เคยมีบทบาทภายในแต่ละประเทศ ปฏิเสธระบอบประชาธิปไตยที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยแม่แบบอย่างอังกฤษหรืออเมริกาก็ตาม เกิดการต่อต้านสถาบันทางเศรษฐกิจระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ สถาบันการเงิน การธนาคารระหว่างประเทศ ที่มีบทบาทอิทธิพลครอบงำโลกทั้งโลกอยู่ในขณะนี้ อย่างเป็นการเป็นงานและเป็นระบบ
เครือข่ายอนาธิปไตยใหม่สามารถเกาะกลุ่มรวมตัว สร้างสายใยเชื่อมโยงระหว่างผู้คนกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย ให้ค่อยๆ พัฒนาตัวเองกลายมาเป็นองค์กร เป็นขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมือง เศรษฐกิจ ชนิดที่สามารถรวบรวมระดมผู้คนนับเป็นหมื่นๆ แสนๆ หรือเป็นล้านๆ ในบางโอกาส ออกมาแสดงบทบาท ความเคลื่อนไหวในแต่ละเรื่องแต่ละกรณี
ภายใต้แนวโน้มความเป็นไปของโลกยุคใหม่ ที่กำลังทำให้ความเป็นรัฐ เป็นชาติ มีแต่จะเสื่อมโทรม ทรุดโทรม ลงไปตามลำดับ ค่อยๆ เกิดอาการล่มสลาย แยกย่อย กระจัดกระจาย ออกไปเป็นชิ้นๆ ระบอบการเมือง การปกครองตามวิถีทางประชาธิปไตย กำลังถูกตั้งคำถามหนักขึ้นเรื่อยๆ ว่ามันเป็นประชาธิปไตยของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน หรือว่าเป็นประชาธิปไตยของพ่อค้า โดยพ่อค้า และเพื่อพ่อค้า
โดยเฉพาะพ่อค้าที่สามารถสะสมทุนจำนวนอภิมหาศาลเอาไว้ในมือ อย่างเช่นบรรดาพ่อค้าในบรรษัทข้ามชาติทั้งหลาย ผู้ซึ่งไม่เพียงแต่จะอาศัยอิทธิพลทางการเงินควบคุมรัฐบาลในแต่ละประเทศเอาไว้ได้เท่านั้น แต่ยังสามารถควบคุมโลกทั้งโลกเอาไว้อีกต่างหาก แต่ก็ด้วยความโลภ ความกระหายอยากในอำนาจและผลประโยชน์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ซึ่งถูกใช้เป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์ของตัวเองมานานแสนนาน ทำท่าว่าใกล้จะถึงกาลล่มสลายตามไปด้วย…
ท่ามกลางสภาพเช่นนี้เอง ย่อมทำให้ ‘ความเป็นอนาร์คิสต์’ ในแต่ละรูป แต่ละแบบ เริ่มหวนกลับมาปรากฏให้เห็นในแต่ละรัฐ แต่ละชาติ แต่ละสังคม แต่ละพื้นที่ เพิ่มขึ้นๆ ในทุกขณะ
ไม่ว่าที่ใดก็ตาม และยุคใดสมัยใดก็ตาม ถ้าหากทุกสิ่งทุกอย่างเข้าสู่ภาวะเละ ความเป็นรัฐและความเป็นชาติไม่สามารถทำหน้าที่เดิมได้อีกต่อไป เมื่อนั้น ‘เมล็ดพันธุ์อนาร์คิสต์’ ซึ่งถูกซุก ถูกฝัง อยู่ภายใน ‘ธรรมชาติแห่งความเป็นมนุษย์’ ก็ย่อมพร้อมที่จะงอกเงย ผลิดอกออกผลไปตามคุณลักษณะของแต่ละสปีชีส์ได้เสมอๆ
โดยเฉพาะเมื่อความเป็นรัฐ เป็นชาติ ในโลกยุคใหม่ ได้ถูกทำให้เสื่อมสลายลงไปด้วยอำนาจของโลก หรืออำนาจของทุนนิยมโลกาภิวัตน์ ซึ่งพยายามย่อยแยกทุกสิ่งทุกอย่างให้กลายเป็นชิ้นส่วนแต่ละชิ้นส่วน เพื่อที่จะหล่อหลอมเข้ามารวมกันใหม่ด้วยอำนาจของทุนและกลไกตลาด ความเป็นปัจเจกบุคคลที่ถูกสร้างและถูกหล่อหลอมขึ้นมาใหม่ มีสภาพไม่ต่างอะไรจากสินค้ายี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งสุดท้ายแล้ว…ก็ยังไม่สามารถให้คำตอบเรื่องเสรีภาพ ความเสมอภาค และภราดรภาพ ได้อย่างเป็นจริงเป็นจัง
และถ้าหากนิยามของคำว่า เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพที่แท้จริง เป็นไปตามความเข้าใจของอนาร์คิสต์ทางการเมือง โลกอนาธิปไตยในอนาคตข้างหน้า คงต้องเป็นไปตามที่นักปรัชญาชาวกรีกอย่างเพลโตและอริสโตเติลได้วาดภาพเอาไว้ นั่นคือโลกที่อุบัติขึ้นมาเนื่องมาจาก…
“สภาวะความล้มเหลวทางประชาธิปไตย ที่ไม่เพียงแต่จะไม่ก่อให้เกิดทางออกใดๆ กับสังคมแต่ละสังคมแล้ว ยังกลับนำไปสู่ความระส่ำระสาย การไม่ยอมรับในตัวบทกฎหมาย อันเป็นกติการ่วมกันในแต่ละสังคม นำไปสู่การกระทำตามความพอใจของฝูงชนที่บ้าคลั่ง นำไปสู่ชีวิตที่ไม่เป็นปกติ และนำไปสู่การอุบัติขึ้นมาของทรราชย์ในท้ายที่สุด…”
——————————————————————–
หมายเหตุ : เรียบเรียงจาก ซ้ายขวาหลีกไป อนาธิปไตยมาแล้ว
โดยสำนักพิมพ์ WAY of BOOK พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2556