ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อสาธารณประโยชน์ ของสหรัฐอเมริกา (Center for Science in the Public Interest: CSPI) ออกรายงานพฤติกรรมการบริโภคอาหารของชาวอเมริกันว่า ปัจจุบันค่าเฉลี่ยการบริโภคชีสของชาวอเมริกันอยู่ที่ 23 ปอนด์ต่อปี เพิ่มขึ้นจากปี 1970 เกือบสามเท่า
ทำไมคนอเมริกันถึงบริโภคชีสเพิ่มขึ้นกว่าเดิม 3 เท่า?
ไมเคิล มอสส์ อธิบายความไว้ใน The New York Times ว่า เป็นเพราะกระทรวงการเกษตรผลักดันเรื่องนี้ผ่านทางองค์กรที่ส่งเสริมให้อเมริกันชนบริโภคผลิตภัณฑ์นม แม้รัฐบาลจะเตือนภัยที่เกิดจากไขมันอิ่มตัว รวมทั้งไขมันจากนม มานานนับทศวรรษ แต่รัฐบาลเองก็หาทางนำเอาผลิตภัณฑ์จำพวกนมเข้าไปอยู่ในเมนูอาหารของชาวอเมริกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘ชีส’
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ทั้งในรัฐบาลบุชและโอบามา ให้การอนุมัติไว้ในข้อตกลงลับ เพื่อให้องค์กรดังกล่าวทำงานร่วมกับภัตตาคารร้านอาหารต่างๆ ในการส่งเสริมการบริโภคชีส
ชีสหลากหลายชนิด เช่น เชดดาชีส, เปปเปอร์แจ็คชีส, มอสซาเรลลาชีส และครีมชีส “ส่วนผสมเหล่านี้ถูกใส่ลงในมื้ออาหารมากกว่าปกติ 8 เท่าในเมนู อย่าง เคสดีย่า (Quesadilla : อาหารเม็กซิกันที่ใช้แป้งตอร์ติญ่า (Tortilla) ประกบกันโดยมีไส้เป็นชีสอยู่ข้างใน)” ซึ่ง CSPI ลงรายละเอียดนี้ไว้ในรายงาน ซึ่งข้อมูลทั้งหมดยังไม่รวมปริมาณเกลือที่มากกว่าปกติของเมนูดังกล่าวด้วย
องค์กรส่งเสริมให้บริโภคนมดังกล่าว มีชื่อว่า Dairy Management Inc. ใช้งบประมาณปีละ 140 ล้านดอลลาร์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์นมต่างๆ และส่วนหนึ่งก็มาจากกระทรวงเกษตรฯ ที่คณะกรรมาธิการบางคนยินยอมให้นโยบายการตลาดของผลิตภัณฑ์นมต่างๆ ผ่านวาระ และนำไปสู่การเซ็นสัญญาต่างๆ ที่ส่งผลต่อการบริโภคนมโดยตรง
เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา Dairy Management Inc. ออกรายงาน ชี้ว่าคนอเมริกันไม่นิยมดื่มนม “จากปี 1975 ถึง 2010 การบริโภคนมลดลงจาก 28.6 เป็น 20.9 แกลลอน … นี่คือช่วงทุกข์ยากของอุตสาหกรรมนม” ทั้งนี้ Dairy Management Inc. เป็นหุ้นส่วนกับ McDonald, Pizza Hut และ Domino Pizza
********************************************
ที่มา: .theatlantic.com