Samui Sound: เยื้องย่างฟังเสียงข้างใน กับ ประมวล เพ็งจันทร์

เรื่อง/ภาพ: kiribun

 

คุณเชื่อในโชคชะตาหรือไม่ สำหรับฉัน… นอกเหนือจากการกระทำที่เชื่อว่าเป็นตัวกำหนดชีวิตแล้ว บางครั้งฉันเลือกที่จะเรียกในสิ่งที่หาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ว่า โชคชะตา

ฉันรู้จักเกาะสมุยครั้งแรกจากสมุดภาพที่เปิดดูในห้องสมุดสมัยมัธยม ต่อมาอีกหลายปีหลังเข้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้วจึงได้มีโอกาสไปเยือนในฐานะคนทำกิจกรรม ถัดจากนั้นเมื่อเรียนจบระหว่างหางานทำก็มีเพื่อนชวนไปรับจ๊อบช่วงสั้นๆ ที่นั่น…

สองสามปีต่อมา จึงได้ไปเยือนอีกครั้งอย่างนักท่องเที่ยวเต็มตัว

และอีกครั้งล่าสุด ในฐานะสื่อมวลชนเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา กับกิจกรรม ‘เดินตามครู: เดินกินห่อ สาวย่าน ตำนานหมุย’ กับ อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ ครุผู้ใช้สองท้าวก้าวย่างเพื่อเรียนรู้ความหมายของชีวิต

ครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่สองกับการเดินรอบเกาะสมุย-บ้านเกิดของอาจารย์ …

มันคงมีเหตุผลบางอย่าง แต่ก็อดจะนึกแปลกใจในการได้มาเยือนเกาะแห่งนี้บ่อยครั้งของตัวเองขึ้นมาไม่ได้ นั่นสินะ ทำไม

ฉันเคยพบอาจารย์ประมวลมาก่อนหน้านี้แล้วครั้งหนึ่ง จากการชักชวนของมิตรสหายที่เคยเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ให้ได้ไปนั่งสนทนากัน ครั้งนั้น กับวันที่ได้พบอาจารย์อีกในวันนี้ สิ่งที่ยังคงเดิมเสมอคือรอยยิ้มจากทั้งดวงตาและริมฝีปาก หลายปีทีเดียวจากการพบเจอครั้งก่อน ริ้วรอยแห่งกาลเวลาแทบจะไม่ปรากฏบนใบหน้าของอาจารย์เลย

อากาศบนเกาะร้อนอบอ้าว ใบไม้แทบไม่ไหวติง แต่การได้นั่งลงสนทนากับอาจารย์ในวันนั้น ประหนึ่งคนใจร้อนรุ่มได้สัมผัสลมเย็นและสายน้ำฉ่ำชื่นที่ทำให้ใจสงบนิ่ง แล้วเวลาก็ไหลเอื่อยไปพร้อมสายลมที่มองไม่เห็น-แต่มีอยู่

วันที่สองของกิจกรรม เป็นการเริ่มขบวนเดินกินห่อฯ ออกสตาร์ท ณ จุดเริ่มต้นที่วัดแหลมดิน ท้องฟ้ายังคงทำท่าเหมือนอัดอั้นตันใจ แต่ในที่สุดฝนก็รินลงมา ขบวนหยุดแวะที่บ้านเก่าแก่หลังหนึ่ง อาจารย์เข้าไปสวัสดีและพูดคุยกับคุณยายเจ้าของบ้านอายุร้อยปีเศษ อายุคุณยายเท่าๆ กับบ้านหลังที่คุณยายอาศัยอยู่ ลูกสาวคุณยายเล่าว่าบ้านหลังนี้น่าจะเป็นบ้านแบบดั้งเดิมที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่หลังบนเกาะนี้

บ้านไม้ยกพื้นสูง ตัวบ้านยาวเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีหน้าต่างรายรอบ มีบันไดปูนเพียงสี่ห้าขั้นเพื่อขึ้นไปยังตัวบ้าน ขณะอาจารย์กำลังสนทนากับคุณยาย ฉันถือโอกาสเดินชมรอบบริเวณบ้านที่ไม่มีรั้วกั้น ถัดไปที่มองเห็นก็เป็นบ้านอีกหลัง อีกหลัง และอีกหลัง… ฉันลองจินตนาการนึกภาพสมัยเมื่อร้อยปีที่ผ่านมา บ้านเรือน ต้นไม้ และผู้คนที่นี่ คงเป็นวิถีแบบพึ่งพากันและกันอย่างสังคมชนบทสมัยก่อนที่เราเคยได้ยินมา เมื่อไม่มีรั้วกั้น เดินไปมาหาสู่ถึงกันได้ เขตแดนในจิตใจก็คงไร้รั้วรอบขอบชิดไม่ต่างกัน

ขบวนเดินออกจากละแวกบ้านผู้คน ผ่านทุ่งนา เห็นควายเล็มหญ้า ด้านหลังเป็นทิวเขา ฉันเดินรั้งท้ายเพราะความอบอ้าวในอากาศพาให้ต่อมเหงื่อในร่างกายถูกขับออกมาจนชุ่มโชกแผ่นหลัง เมื่อเข้าโค้งตามเส้นถนน เห็นอาจารย์ประมวลเดินนำอยู่หัวขบวนลิบๆ จังหวะก้าวยังคงสม่ำเสมอ

ผ่านเข้าสู่ถนน เลี้ยวเข้าทางเดินแคบสู่ป่าหญ้าย่อมๆ ทางเริ่มลาดชันขึ้น หัวใจทำงานหนัก พาให้รู้สึกราวกับมีใครมาคอยฉุดดึงเสื้อไว้ด้านหลังไม่ให้ก้าวต่อ ต้นไม้สองข้างทางเริ่มร่มครึ้ม ได้ยินเสียงหัวใจชัดเจน มันเต้นหนักหน่วงพร้อมกับการสู้รบในใจ จะไปต่อหรือจะหยุด แต่เราก็แค่หยุดพักหายใจ แล้วค่อยๆ ก้าวเดินตามขบวนข้างหน้าไปตามจังหวะที่เป็นของเรา

ขบวนไปหยุดพักกันที่ ฝายลิปะน้อย ต้นธารเป็นน้ำตกขนาดย่อม และเราพักกินข้าวกลางวันกันที่นี่

หลังกินข้าว คณะสื่อฯ ก็นั่งล้อมวงกันบนโขดหินโดยมีอาจารย์ประมวลร่วมนั่งพูดคุย ได้ข้าวได้น้ำเข้าไปก็ค่อยคลายเหนื่อย

ช่วงหนึ่ง อาจารย์พูดถึงจุดประสงค์ของการมาเดินให้ฟังว่า

“การเดินครั้งนี้เดินเพื่อปลุกจิตให้ตื่นรู้สภาวะธรรมในใจเราเอง รู้ธรรมชาติที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา คำว่าตื่นรู้สภาวะธรรมนั้นคือ จริงๆ เมื่อเกิดอะไรขึ้นในใจเรา จิตใจจะมีสมรรถนะที่จะรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่เราควรเก็บไว้ อะไรคือสิ่งที่เราควรปลดปล่อยให้มันผ่านไป ถ้าเรานั่งอยู่เฉยๆ หรือไปอยู่ในสภาวะนิ่งสงบ เราจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสรู้ความหมายของอารมณ์ที่เข้ามา เหมือนกับเราเดินไปในที่ที่มีความหลากหลาย มีคนเป็นจำนวนมาก แต่จริงๆ เราก็มีความปรารถนาจะพบคนบางคนเท่านั้นเอง

และเมื่อเราได้พบคนคนนั้นในท่ามกลางผู้คนหลากหลาย เราก็สามารถสื่อสารสนทนากันได้ ผมเข้าใจว่าเมื่อเราอยู่ในที่แบบนี้ พบอารมณ์ที่มันผุดปรากฏขึ้นโดยที่เราไม่ได้คิดไว้ล่วงหน้า เราไม่รู้ว่าเราจะเจออะไร และเราก็ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าอะไรต่อไปจะมาปรากฏอยู่ แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะรู้ก็คือ เมื่อเราสัมผัสเหตุการณ์วันใด เราจะรู้ใจของเราเองว่าใจของเรามีความแช่มชื่นเบิกบานไหม

จบการสนทนากับอาจารย์ประมวลในบ่ายวันนั้น ทีมสื่อฯ แยกไปทำกิจกรรมอื่นต่อ ส่วนอาจารย์ประมวลกับผู้ที่มาร่วมเดินในครั้งนี้ ยังคงเดินต่อ จนไปสิ้นสุดการเดินรอบเกาะในวันที่ 1 พฤษภาคมที่จะถึงนี้

เช้าวันรุ่งขึ้น มีเวลาได้เดินลงไปสำรวจชายหาดตรงข้ามที่พักเล็กน้อย อากาศยังคงอับลม คลื่นยังคงซัดเข้าหาฝั่ง ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินเมื่อวานหายไปหมดแล้ว นึกถึงคำพูดของอาจารย์ที่ว่าอาจารย์มักจะสนทนากับธรรมชาติรอบตัวเสมอ ก้อนหิน ดิน ต้นไม้ น้ำ อาจารย์บอกว่า ผมคุยกับเขารู้เรื่อง แล้วอาจารย์ก็หัวเราะจนตาหยีในแบบฉบับของอาจารย์ “บางคนเขาว่าผมบ้า”

ฉันนั่งลง ฟังเสียงคลื่น มีเสียงลมวู้ๆ ผ่านเข้าหู จึงลองเริ่มต้นพูดคุยดูบ้าง

“เป็นไงบ้างทะเล ฉันเคยมาที่นี่หลายครั้งแล้ว แต่เราไม่เคยคุยกันเลย และเธอเองก็ไม่รู้จักฉัน การที่เราจะรับรู้ถึงสภาวะการมีอยู่ของกันและกันได้ ไม่ใช่แค่เห็นด้วยตาว่ามีอยู่…

“วันนี้ฉันได้พูดคุยกับเธอ จึงได้รู้ว่าที่ผ่านมาเธอพยายามสนทนากับฉันมาตลอด”


ติดตามกิจกรรม ‘เดินตามครู: เดินกินห่อ สาวย่าน ตำนานหมุย’ ได้ที่ เดินตามครู

 

Author

คีรีบูน วงษ์ชื่น
นักพิสูจน์อักษร

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า