เรื่องที่ บาร์ตโตเรเม ฝากให้ผมไปนอนกับกลุ่มคนไร้บ้านที่เมาสุดๆ นั้น เป็นเรื่องที่บาร์ตถูกต่อว่าจากหลายคนว่า พาผมไปอยู่ในจุดที่เสี่ยงเกิน เรื่องร้ายๆ อาจเกิดขึ้นกับผมได้
คนที่ต่อว่าบาร์ตหนักมากคนหนึ่งก็คือ คริส
เธออายุราวสามสิบกลางๆ ถ้าไม่นับไฝเม็ดโตบนใบหน้า ก็จัดว่า เธอเป็นคนหน้าตาดี มีโครงหน้าสวยและตาที่คม รูปร่างสมส่วนไม่อ้วนไม่ผอม เธอมักใส่เสื้อยืดเข้ารูปและกางเกงยีนส์ ทำให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งบนเรือนร่างของเธอได้ถนัด
ประสบการณ์กับคนไร้บ้านที่ผ่านมาสอนให้ผมเลี่ยงไม่คุยกับหญิงรุ่นๆ เพื่อกันไว้ก่อน เพราะไม่รู้ว่า สาวคนนั้นคบกับใครอยู่ หรือเป็นที่หมายปองของใคร กับคริสก็เช่นกัน เราแค่เห็นหน้ากันที่เชสพลาซ่า และผมสังเกตว่า เธอมักจะเดินไปนอนกับชายหนุ่มรูปร่างผอมตาลึก ดูไม่ยากว่าเขาใช้ยา ยิ่งทำให้ผมไม่แสดงท่าทีอยากคุยกับเธอ
ในช่วงสิบสัปดาห์ของการชิมลางชีวิตข้างถนน ผมนอนที่เบย์วอล์คได้ไม่กี่คืน หลังจากนั้นบาร์ตก็บอกว่า ไม่ต้องเดินไปไกลถึงเบย์วอล์ค นอนที่ฟุตบาทใกล้ๆ ลูเนต้าก็ได้ ผมก็เออออนอนกับบาร์ตและคนอื่นๆ ด้วย ตอนนั้น ผมไม่รู้เลยว่าการนอนตรงนั้น เสี่ยงกับถูกตำรวจจับข้อหาจรจัด (anti-vagrancy law) ซึ่งอาจถูกปรับหรือถูกขังได้ กฎหมายนี้เพิ่งมาถูกแก้ไขในสภาเมื่อปี 2555 ให้การนอนข้างถนนไม่ใช่อาชญากรรม
ในกลุ่มที่ผมนอนด้วยประจำ มี ผม บาร์ต เอ็ดการ์ คริส กับคนอื่นๆ อีกสองสามคน
คืนหนึ่งก่อนจะเอนตัวลงนอน คริสแสดงท่าทีอยากปกป้องผม เธอบอกว่า “บุญเลิศ ไม่ต้องตกใจนะ ถ้ามีตำรวจมา ให้เฉยๆ ไว้”
ผมพยักหน้าแบบงงๆ
“ฉันปกป้องเธอได้ ไม่ต้องกังวล” คริสสำทับ
ผมมองหน้าเธอ แบบไม่เข้าใจนักว่า เธอจะปกป้องผมได้ยังไง
คริสพูดอีกว่า “ถ้ามีตำรวจมา ให้แสร้งว่าเราเป็นผัวเมียกัน เธอเป็นผัวฉัน”
ผมฟังแล้วก็ยิ่งงง คิดอยู่ในใจว่า ‘ฉันเป็นผัวแก แล้วมันจะช่วยได้ยังไง ถ้าตำรวจจะมาจับ’
คริสเห็นผมทำหน้างง ก็พูดเสียงดังขึ้นว่า “แสร้งเฉยๆ แกไม่ได้เป็นผัวฉันจริงๆ”
ผมพยักหน้าแบบพอจะเข้าใจในความปรารถนาดีของเธอแล้ว
คริสถามผมอีกว่า ผมมีโทรศัพท์มือถือมั้ย ผมบอกไม่มี
เธอถามต่อ แล้วกระเป๋าตังค์ผมอยู่ไหน ผมบอกว่าอยู่ในกระเป๋ากางเกง ตอนนั้นผมใช้กระเป๋าแบบผ้าที่ไว้ใส่เหรียญ มีซิปรูด เพราะคิดว่าปลอดภัย และดูยาจกดี คือไม่ได้ใช้กระเป๋าหนังแบบที่มีช่องใส่แบงก์ ใส่บัตร ใส่การ์ดอะไร กระเป๋าแบบนั้นดูเหมือนคนมีเงิน
คริสถือจังหวะสอนผมว่า “ถ้าไม่อยากมีปัญหาให้เชื่อฉัน นอนอย่างนี้ อย่าไว้ใจใครทั้งนั้น” ผมเข้าใจว่า เธอเจตนาจะบอกผมว่า ผมไว้ใจบาร์ตและคนอื่นๆ มากเกินไป
“เห็นใช่มั้ย ฉันมีโทรศัพท์มือถือ” เธอพูดพลางชูโทรศัพท์มือถือให้ผมดู เป็นโทรศัพท์มือถือรุ่นที่ดีกว่ารุ่นล่างสุดขึ้นมาหน่อย พอมีหน้าจอให้ถ่ายรูปแบบหยาบๆ ได้บ้าง “รู้ไหมก่อนนอนฉันเก็บโทรศัพท์มือถือไว้ที่ไหน”
ผมส่ายหน้า
“ที่นี่” คริสตอบพลางยัดโทรศัพท์มือถือเข้าไปที่ใต้กางเกงยีนส์ เธอสอดมันไว้ที่ชั้นในของเธอ
ว่าแล้วผมก็ทำตามเธอ กระเป๋าสตางค์ยัดไปที่กางเกงในของตัวเอง และเมื่อไหร่ก็ตามที่ผมนอนแปลกที่ หรือนอนกับคนที่ไม่สนิท ผมก็จะทำแบบนี้
คืนนั้นเราก็นอนหลับดี ไม่มีตำรวจมาจับแต่อย่างใด กระเป๋าสตางค์ผมก็ไม่ถูกขโมย
ต่อมา ด้วยความที่คริสพูดภาษาอังกฤษได้ และเราก็ต่างเห็นหน้ากันที่เชสพลาซ่าอยู่บ่อยๆ เราจึงค่อยๆ สนิทกันทีละน้อย คริสเป็นคนฉลาดมาก เธอวางตัวเก่งในหมู่ชาย ไม่มีผู้ชายคนไหนกล้ายุ่มย่าม เธอบอกผมว่า ผู้ชายที่เชสพลาซ่าทุกคนเป็นแค่เพื่อน เว้นแต่บางคนที่เขาไม่อยากนับเป็นเพื่อน เช่น บาร์ตโตเรเม เพราะดูกักขฬะเหลือเกิน
ผมถามเธอว่า เป็นผู้หญิงและนอนข้างถนนเช่นนี้ ไม่กลัวจะถูกลวนลามหรือละเมิดบ้างเหรอ ผมเคยได้ยินว่า มีผู้หญิงที่เชสพลาซ่าคนหนึ่งถูกข่มขืน คริสได้ฟังแล้วก็หัวเราะ พร้อมกับพูดเสียงดังออกมา จนผมอาย
“เฮ้ย บุญเลิศถามฉันว่า ฉันเคยถูกลวนลามมั้ย…ไม่มี ไม่เคยเลย พวกเราเพื่อนกัน แค่เพื่อน ถ้าฉันบอกไม่ ก็แปลว่า ไม่”
ด้วยความที่คริสฉลาดและเข้มแข็งมาก เธอจึงกลายเป็นคนที่ปกป้องผม ตอนผมอยู่ที่เชสพลาซ่า เพื่อนกลุ่มนี้นำโดยบาร์ต ห่ามและหยาบโลน สิ่งที่ผมไม่ชอบมากที่สุดก็คือ การเขียนรูปลามกลงในสมุดโน้ตของผม ซึ่งผมถือว่าเป็นตำราภาคสนาม เป็นของสูง ไม่ควรมีรูปลามก
บางครั้งพวกเขาพูดตลกกัน ผมไม่เข้าใจ จึงให้พวกเขาวาดรูปประกอบ ผลก็คือได้รูปลามก เมื่อไหร่ที่เห็นคนเริ่มวาดวงกลมสองวง ผมก็เดาได้เลยว่า เต้านมกำลังจะตามมา
ถ้าหน้ากระดาษอีกด้านที่พวกเขาวาดนั้น เป็นหน้ากระดาษเปล่าที่ผมยังไม่ได้จดโน้ต ผมจะฉีกทิ้งทันที เจตนาให้รู้ว่าผมไม่ชอบ แต่พวกเขาไม่เข้าใจสารจากผม นึกว่าผมฉีกกระดาษให้พวกเขาวาดเล่น ผมเปลี่ยนมาใช้วิธีการทำหน้าบึ้งไม่พูด ขณะเห็นใครกำลังขึ้นรูปวงกลม แต่ก็ยังไม่ได้ผล การเงียบ ไม่ออกปากเอะอะโวยวาย กลายเป็นว่าผมยอมรับ
คริสเห็นเข้า จึงถามผม เมื่อเธอเข้าใจ จึงบอกแกมสั่งทุกคนว่า ห้ามวาดรูปลามกลงสมุดโน้ตผม เพราะนี่เป็นสมุดเรียนที่ผมต้องส่งอาจารย์…เธอมีวิธีการพูดที่ดูมีน้ำหนักทีเดียว
คริสเล่าถึงชีวิตก่อนหน้านี้ของเธอว่า เธอหากินด้วยการทำเล็บ ผมเคยเห็นผู้หญิงในสวนหิ้วกล่องพลาสติก ภายในมีขวดยาทาเล็บหลายสีพร้อมกรรไกรตัดเล็บ และมีดคว้านทำความสะอาดเล็บ ที่เห็นแล้วน่าหวาดเสียว เพราะคว้านลึกทีเดียว แต่เธอบอกว่า ช่วงนี้น้ำยาทาเล็บหมดแล้ว เธอไม่มีทุนจะซื้อใหม่ จึงต้องอยู่เฉยๆ ไปพลางก่อน
พร้อมบอกผมว่า เจสันที่เห็นเดินกับเธอนั้นใช้ยา และลักขโมยบางครั้ง เขากลัวตำรวจ ต้องให้เธอเป็นเพื่อน เวลาตำรวจมา แล้วก็แบ่งเงินให้เธอใช้
แต่บาร์ตกระซิบบอกผมว่า ถ้าผมสนใจคริส ก็ไม่ยาก เธอพร้อมไปกับใครที่จ่ายตังค์ให้เธอ ผมเคยถามเรื่องนี้กับคริสเหมือนกัน เธอบอกว่า เธอไม่ได้ขึ้นห้องนอนกับใคร แค่มีคนที่เชสพลาซ่าคนไหนอยากชวนเธอไปดื่มในบาร์ เธอก็แค่ไปนั่งดื่มเป็นเพื่อนเท่านั้น
“เท่านั้นเอง” เธอย้ำ ส่วนผมยังทำท่าสงสัยว่า ไปเป็นเพื่อนดื่มอย่างเดียวก็ได้เงิน 500 เปโซ แล้วจริงเหรอ เธอตอบว่า แล้วแต่ผมจะคิด
คริสเสริมว่า ตำรวจหลายคนที่โรงพักย่านนั้น เคยเป็นลูกค้าทำเล็บของเธอมาก่อน ด้วยเหตุนี้ เธอจึงไม่กลัวตำรวจ และถึงได้เสนอช่วยผมว่า ถ้าตำรวจมาจับ ให้บอกว่าเป็นผัวเธอ ไม่ได้เป็นคนไร้บ้าน
เรื่องสุดท้ายที่ผมจะคุยกับคนไร้บ้านก็คือ เรื่องภูมิหลังชีวิตของพวกเขา เรื่องพวกนี้ ถ้าไม่สนิทจริง อย่าหวังว่าคนไร้บ้านจะเล่าเรื่องจริงให้ฟัง กับคริสก็เช่นกัน เราค่อยๆ สนิทกัน จนกลายเป็นปรับทุกข์กัน แล้วเธอก็เล่าเรื่องชีวิตของเธอให้ฟัง
คริสพูดตรงๆ ว่า เธอเคยมีผัวสองสามคนแต่แยกทางกันแล้ว ตอนนี้เธอยังโสด แต่ก็มีลูกติดกับผัวคนสุดท้ายสองคนให้ญาติเลี้ยงอยู่ที่คาวิเต้ (Cavite) จังหวัดที่อยู่นอกเมโทรมะนิลาไปแล้ว เธอยังไปๆ กลับๆ ที่นั่น อาทิตย์ละครั้ง หรือไม่ก็อาทิตย์เว้นอาทิตย์ ไม่ไปกลับทุกวันให้เปลืองค่ารถ
ถึงคริสจะนอนริมฟุตบาท แต่ด้วยความที่เธอยังมีลูกให้คิดถึง มีบ้านให้กลับ แม้จะนานๆ ครั้งก็ตาม เธอจึงไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไร้บ้าน
ส่วนภูมิหลังชีวิตเธอนั้น เธอเกิดในครอบครัวที่พ่อแม่แยกทาง และโตมากับน้าที่ไม่ได้รักเธอ เพราะเธอไม่ใช่ลูกแท้ๆ สุดท้ายก็เลยออกจากบ้านน้า เพราะถูกน้าขู่ว่าจะเรียกตำรวจมาจับฐานขโมยแหวนของน้า แต่เธอยืนยันว่า เธอไม่ได้ทำ จากนั้นก็ต้องออกจากบ้าน ทำงานสารพัด เช่น พนักงานทำความสะอาด เด็กขายของ กระทั่งมาถึงลูเนต้า
ที่ลูเนต้า คริสมาเจอผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นเจ้าของแผงขายของภายในสวน และก็อยู่กินเป็นผัวเมีย แต่สุดท้ายแผงขายของนี้ถูกไล่รื้อ เพราะทางสวนต้องการปรับปรุงพื้นที่ ประกอบกับมีเรื่องระหองระแหง ชายผู้นี้ก็ไปมีเมียใหม่ ส่วนเธอก็หากินด้วยตัวเอง จากการทำเล็บ
ผมคุยกับคริสกับว่า ที่ฟิลิปปินส์มีคนไร้บ้านมากกว่าคนไทยมาก คริสบอกว่า ก็แหงน่ะสิ ที่นี่คนตกงานเยอะกว่า พอพ่อแม่ตกงาน ทะเลาะกัน แยกทาง เรื่องร้ายๆ ก็ตกมาถึงลูก
“ฉันสามารถบอกได้ว่า ฉันรู้จักทุกคนที่นี่และแทบทุกคนก็มาจากครอบครัวแตกแยก ถ้ามีครอบครัวที่ดีก็คงไม่ต้องมาอยู่ที่นี่” แล้วคริสก็สารภาพว่า ครั้งแรกที่เธอเห็นผม และยังไม่รู้ว่าผมเป็นใคร เธอคิดในใจว่า ‘มาอีกละ คนหน้าใหม่ คงมาจากครอบครัวแตกแยกที่ไหนสักแห่ง’
พร้อมตบด้วยประโยคคมๆ ว่า “พวกเราทุกคนล้วนมาจากครอบครัวแตกแยก เพราะฉะนั้น เราจึงมาสร้างครอบครัวใหม่ที่นี่ มาหาเพื่อนใหม่ที่นี่ เราถึงสบายใจกว่าที่จะอยู่ที่นี่”