เช้าวันที่ 16 เมษายน 2017 เกาหลีเหนือประกาศแสนยานุภาพทางการทหาร เนื่องในโอกาสวันครบรอบวันคล้ายวันเกิดปีที่ 105 ของอดีตผู้นำ คิม อิล ซุง ด้วยการทดสอบขีปนาวุธที่เมืองซินโป ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของเกาหลีเหนือ
ในเวลาต่อมา กระทรวงกลาโหมของสหรัฐและเกาหลีใต้ ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวต่างประเทศว่า การทดสอบขีปนาวุธครั้งล่าสุดของเกาหลีเหนือล้มเหลวหลังขีปนาวุธพุ่งขึ้นเพียงไม่กี่วินาที กองทัพสหรัฐเชื่อว่าอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือยังมีประสิทธิภาพไม่สูงพอที่จะสามารถยิงไกลข้ามทวีปไปถึงสหรัฐได้
และนี่คือมุมหนึ่งของบทวิเคราะห์ต่อประเด็นความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี
ศาสตราจารย์ไชยวัฒน์ ค้ำชู อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์ในรายการวิทยุ ‘เช้าทันโลก‘ ทางคลื่นเอฟเอ็ม 96.5 ตั้งคำถามไว้ว่า
ความล้มเหลวในการทดสอบขีปนาวุธที่เกิดขึ้นนั้น น่าสนใจว่า “มันมีการทำให้ล้มเหลวหรือไม่?”
พร้อมไขข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่ว่า เหตุใดผู้นำเกาหลีเหนือทั้งสามรุ่น จึงต้องใช้อาวุธนิวเคลียร์ในการป้องกันตัว
WAY ชวนอ่าน ‘10 ปีนี้ เธอยิงไปกี่ครั้ง: การทดสอบยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ’ เพื่อย้อนดูการทดลองขีปนาวุธที่ยิงไปแล้วถึงห้าครั้ง
มองวิกฤตการณ์คาบสมุทรเกาหลี
ประเด็นข่าวผู้นำเกาหลีเหนือสั่งทดลองขีปนาวุธครั้งล่าสุดและมีรายงานว่าล้มเหลว เป็นข้อสังเกตที่น่าสนใจ เพราะถึงแม้ไม่ได้ทดลองนิวเคลียร์ แต่เขาก็มีการทดลองขีปนาวุธถึงหกครั้ง และการที่สหรัฐส่งกองทัพเรือติดนิวเคลียร์และอาวุธมหาประลัยทั้งหลายเพื่อต้องการกดดันเกาหลีเหนือ ผู้นำเกาหลีเหนือก็ได้แสดงให้เห็นว่าเขาเองก็ไม่ได้เกรงขาม
ข้อสังเกตก็คือ การที่มันล้มเหลวนั้นน่าสนใจว่า ‘มันมีการทำให้ล้มเหลวหรือไม่?’
ผมคิดว่ามันไม่ค่อยน่าเชื่อถือตรงที่ (ขีปนาวุธ) จะทะยานขึ้นมาเพียง 5 วินาทีก็ระเบิด เพราะการทดสอบครั้งก่อนๆ ไม่เคยล้มเหลวถึงขนาดนี้ จึงน่าคิดว่ามันเป็นการจงใจให้เห็นว่า จริงๆ แล้วเกาหลีเหนือก็ไม่ได้มีพิษมีภัยถึงขนาดที่ทดสอบทีไรก็สำเร็จไปทุกที
ทำไมเขาต้องทำเช่นนี้?
เพราะถ้าทำให้สำเร็จมากเกินไป สหรัฐอาจใช้เป็นข้ออ้างในประชาคมโลก ว่าเกาหลีเหนือเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพของภูมิภาคนี้ แต่ถ้าไม่ทดลองเลย ก็เท่ากับว่าเขา (ผู้นำเกาหลีเหนือ) ไม่แน่จริง และถ้าสังเกตดูหลังจากที่รู้ว่าการทดลองล้มเหลว เจมส์ แมตทิส รัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐ ก็ออกมาแถลงว่า “ทรัมป์ได้ทราบผลการทดลองขีปนาวุธแล้ว และไม่มีอะไรที่จะพูดต่อ”
หมายความว่าอะไร? หมายความว่าเขา (เจมส์ แมตทิส) ไม่อยากให้ประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาพูดอะไรที่ยั่วยุหรือก่อให้เกิดการตึงเครียดอีก หรือไม่อย่างนั้นทรัมป์ก็ไม่รู้จะพูดว่าอะไร ในเมื่อเขา (เกาหลีเหนือ) ทดสอบแล้วล้มเหลว แล้วจะไปโจมตีเขาได้อย่างไร อันนี้เป็นประการหนึ่ง
อีกประการหนึ่งคือ ที่ปรึกษาด้านการต่างประเทศ และ ไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐ ที่กำลังเดินทางอยู่ที่เกาหลีใต้ขณะนี้ด้วยเครื่องบิน Air Force II ซึ่งขณะนั้นเกาหลีเหนือกำลังยิงขีปนาวุธขึ้นไปบนอากาศ เขาก็ออกมาพูดเลยว่า “เห็นไหม นี่คือความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
เพราะอะไร? เพราะเขาต้องการให้ลดอุณหภูมิของความตึงเครียด เขาบอกว่าเราไม่จำเป็นต้องตอกย้ำความล้มเหลวของเกาหลีเหนือ และไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ทรัพยากรอะไรที่จะไปต่อต้านความล้มเหลวของเขา ทั้งหมดนี้ต้องการสื่อว่า สหรัฐอเมริกาไม่ต้องการที่จะตอบโต้อะไร
อย่างไรก็แล้วแต่ เป็นที่ยอมรับกันว่า เกาหลีเหนือมีศักยภาพด้านการพัฒนาขีปนาวุธที่สามารถยิงตอบโต้ฐานทัพสหรัฐได้ทั้งหมด สหรัฐก็ต้องชั่งใจแล้วว่า ถ้าคิดโจมตีเกาหลีเหนือขึ้นมาเมื่อไร พันธมิตรของสหรัฐอย่างญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้ ต้องได้รับความเสียหายไม่น้อย
มีทหารของสหรัฐประจำที่เกาหลีใต้ 30,000 คน ที่ญี่ปุ่น 50,000 คน ฐานทัพเหล่านี้อยู่ในรัศมีขีปนาวุธของเกาหลีเหนือทั้งหมด ไม่ต้องพูดถึงรายงานข่าวใน New York Times ล่าสุดที่เขาประเมินว่า เกาหลีเหนือมีอาวุธนิวเคลียร์ที่มีอานุภาพทำลายล้างมากกว่าที่อเมริกาเคยใช้ในฮิโรชิมะถึงสองเท่า
ข่าวนี้จะจริงไม่จริงไม่รู้ แต่การที่มีรายงานเช่นนี้ ประกอบกับที่พูดไปแล้วว่าขีดความสามารถในการตอบโต้ของเกาหลีเหนือมีมากพอ แต่ในระยะยาว เกาหลีเหนือก็คงสู้ไม่ได้ ทั้งเรื่องแสนยานุภาพที่สหรัฐ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ มีอยู่ในขณะนี้
หากถามว่า ทำไมจึงมองว่าเกาหลีเหนือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงในภูมิภาคนี้ สื่อมวลชนของสหรัฐ และบรรดาผู้นำสหรัฐ ส่วนใหญ่มองว่า ผู้นำเกาหลีเหนือทั้ง ‘สามคิม’ คือตั้งแต่รุ่นปู่ คิม อิล ซุง, รุ่นพ่อ คิม จอง อิล และปัจจุบัน คิม จอง อึน ไม่มีความสมเหตุสมผล เคยถูกมองว่าเป็นหมาบ้า ซึ่งเป็นสมมุติฐานที่ไม่เข้าใจ หรือแกล้งไม่เข้าใจประวัติศาสตร์เกาหลีมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
สิ่งที่ผู้นำทั้งสามทำคือ การตอบโต้สิ่งซึ่งเขาเห็นว่าเป็นภัยคุกคามต่อประเทศของเขา คือเราต้องเข้าใจประวัติศาสตร์เกาหลี จึงจะเข้าใจผู้นำของประเทศเกาหลีเหนือ ถึงแม้นว่าเขาจะเป็นเผด็จการในการปกครองก็ตาม
แต่พฤติกรรมที่มีต่อประเทศของเขาหรือต่อภูมิภาค เขาทำเพื่อปกป้องความมั่นคงของเขา ตั้งแต่สงครามเกาหลีที่มีนายพลแมคอาเธอร์ (ดักลาส แมคอาเธอร์) เป็นคนเสนอให้ประธานาธิบดีทรูแมน (แฮร์รี ทรูแมน) ใช้อาวุธนิวเคลียร์กับเกาหลีเหนือ เดชะบุญที่ทรูแมนตัดสินใจไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์
อย่างไรก็ตาม สหรัฐไม่สามารถเอาชนะเกาหลีเหนือได้ และประเมินศัตรูของสหรัฐหรือเกาหลีเหนือต่ำเกินไป วันแรกๆ ที่แมคอาเธอร์บินจากญี่ปุ่นไปบัญชาการ เขาพูดเลยว่า สหรัฐสามารถจัดการเกาหลีเหนือได้ด้วยมือข้างเดียว
แต่รบไปสามเดือนเท่านั้น แมคอาเธอร์ออกมายอมรับเลยว่า คู่ต่อสู้ (เกาหลีเหนือ) ของสหรัฐนั้นแข็งแกร่ง มีความสามารถตอบโต้สหรัฐได้
กินเวลาถึงสามปี…ทำอย่างไรก็เอาชนะไม่ได้ จนกระทั่งทำข้อตกลงหยุดยิง ตั้งแต่นั้นมาสหรัฐก็เพ่งเล็งเกาหลีเหนือมาโดยตลอด เรื่องการใช้อาวุธนิวเคลียร์ รวมทั้งอาวุธมหาประลัยของเกาหลีเหนือมาโดยตลอด
ในแง่นี้หากผู้นำเกาหลีเหนือไม่มีการเตรียมตัวป้องกันประเทศ ก็จะกลายเป็นผู้นำที่ไม่มีเหตุมีผล พิสดารไปจากผู้นำอื่นๆ ที่ต้องปกป้องประเทศตัวเอง
ฉะนั้น ตามประวัติศาสตร์ สิ่งที่เกาหลีเหนือทำแต่ละครั้งจึงเป็นการสื่อสารไปถึงผู้นำสหรัฐให้ระลึกว่า สิ่งที่เกาหลีเหนือทำอยู่คืออะไร อย่างเช่นกรณีที่ผู้นำญี่ปุ่น ชินโสะ อาเบะ เดินทางไปเยือนทรัมป์ที่คฤหาสน์ของเขา ระหว่างที่กำลังรับประทานอาหารเย็นกัน เกาหลีเหนือจงใจทดลองขีปนาวุธ ยิงไปทางทิศที่มุ่งหน้ายังประเทศญี่ปุ่น
เพราะอะไร?…เพราะตาของอาเบะ คือ โนบุสุเกะ กิชิ ซึ่งเคยต่อสู้กับปู่ของผู้นำของเกาหลีเหนือ เมื่อครั้งที่ญี่ปุ่นไปรุกรานจีนที่แมนจูเรีย ผู้นำเกาหลีเหนือก็ได้ส่งคนไปช่วยจีนต่อสู้ ซึ่งต่อมาตาของอาเบะได้มาเป็นนายกรัฐมนตรีในยุคสงครามเย็น
ตาของอาเบะยังกล่าวไว้ว่า ญี่ปุ่นสามารถมีอาวุธนิวเคลียร์เพื่อป้องกันตัวเองได้ โดยไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ ในเรื่องนี้คงต้องให้ทรัมป์กลับไปดูประวัติศาสตร์ ว่าทำไมญี่ปุ่นยังเคยมีความคิดจะมีอาวุธนิวเคลียร์
อีกกรณีหนึ่งที่ประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง ไปเยือนสหรัฐ ขณะนั้นเกาหลีเหนือก็ทำการทดสอบขีปนาวุธอีกครั้งหนึ่ง ถามว่าเพื่ออะไร? ก็เพื่อส่งสัญญาณให้ทรัมป์ทราบ ว่าการที่จะให้จีนกดดันเกาหลีเหนือ อย่าคิดนะว่าจะทำได้ ถึงแม้ว่าจีนจะกดดันอย่างเป็นทางการ ด้วยการลงมติคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ ก็ทำไปตามมติคณะมนตรีความมั่นคง
ขณะเดียวกัน จีนก็รู้ดีถึงหัวอกของเกาหลีเหนือ เพราะจีนเองก็เคยถูกอเมริกากดดัน ข่มขู่ เมื่อสมัยประธานาธิบดีไต้หวัน เฉิน สุ่ย เปียน ที่พยายามประกาศเป็นเอกราชจากจีน ขณะนั้นสหรัฐส่งเรือบรรทุกเครื่องบิน เข้ามาในบริเวณช่องแคบไต้หวัน เพื่อกดดันไม่ให้จีนใช้กำลังกับไต้หวัน จีนจึงยิงขีปนาวุธจากช่องแคบไต้หวันเพื่อเตือนว่า ถ้าไต้หวันประกาศเอกราชจากจีนเมื่อไร จีนก็จะใช้กำลังตอบโต้
ผู้นำของจีนปัจจุบันจึงเข้าใจว่า สิ่งที่เกาหลีเหนือทำอยู่ในปัจจุบันนั้นเพื่ออะไร ก็เพื่อป้องกันตัวเอง แม้นว่าจีนจะมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่มีประโยชน์ต่อสหรัฐ แต่ก็ไม่ต้องการให้สหรัฐใช้กำลังกับประเทศเกาหลีเหนือ ดังที่จีนเตือนสติเอาไว้ว่า
ถ้าเกิดสงคราม จะไม่มีผู้ชนะอย่างแท้จริง แล้วใครที่ไปยั่วยุให้เกิดสงคราม จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบทางประวัติศาสตร์
สรุปได้ว่า หากเราจะติดตามอย่างเข้าใจ ต้องทราบถึงความเป็นมาของพฤติกรรมเกาหลีเหนือและสหรัฐ
ในอดีตนั้น เกาหลีเหนือและสหรัฐเคยตกลงกันได้ ในสมัย ประธานาธิบดีบิล คลินตัน ว่าเกาหลีเหนือจะเลิกครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ โดยที่สหรัฐต้องตอบแทนด้วยการช่วยสร้างเครื่องปฏิกรณ์พลังงานนิวเคลียร์ทางสันติ ระหว่างนั้นต้องให้น้ำมันดิบต่อเกาหลีเหนือเพื่อจะพัฒนาพลังงานไฟฟ้า และสัญญาว่าจะไม่คุกคามเกาหลีเหนือโดยใช้อาวุธนิวเคลียร์ รวมถึงจะมีการพัฒนาสัมพันธ์ทางการทูตต่อกัน
จนกระทั่งเมื่อเข้าสู่ยุคสมัยของ ประธานาธิบดีจอร์ช บุช ก็ทำให้เกาหลีเหนือกลับมาพัฒนานิวเคลียร์อีกครั้ง เพราะมองว่าเกาหลีเหนือเป็นภัยคุกคาม เป็นแกนแห่งความชั่วร้าย
นี่แหละครับ คือสิ่งที่ทำให้เกาหลีเหนือต้องฟื้นฟูอาวุธนิวเคลียร์เพื่อป้องกันตนเอง